Login to MeghaBook
icon 0
icon เติมเงิน
rightIcon
icon ประวัติการอ่าน
rightIcon
icon ออกจากระบบ
rightIcon
icon ดาวน์โหลดแอป
rightIcon
เล่ห์รักรานใจ

เล่ห์รักรานใจ

ลิลเอง

5.0
ความคิดเห็น
360
ชม
33
บท

“ไอ้พี่ระยำ! แกทำอะไรแววฉันจะฆ่าแก! แล้วนี่แววอยู่ไหนหา! บอกมาเดี๋ยวนี้นะว่าเอาแววไปไว้ไหน?” “นั่นเสียงคุณทศนี่?” นอกจากความงุนงงว่าทศยุทธ์มาได้ยังไง ความสงสัยใคร่รู้ยังมากพอที่จะชะงักเท้าที่เกือบจะวิ่งออกไปหาชายหนุ่มทั้งสอง เมื่อมีเสียงถามฟังใจเย็นขัดขึ้น “ทำไมนายถึงคิดว่าอวภาส์จะมาอยู่ที่นี่?” “ไม่อยู่ที่นี่แล้วจะไปอยู่ไหน เจ้าของร้านขายข้าวที่อยู่ข้างหอพักแววบอกว่าเห็นแววขึ้นรถมากับผู้ชายคนหนึ่ง จากที่ฟังบรรยายรูปร่างหน้าตาไม่น่าเป็นคนอื่นไปได้ พี่ทำอย่างนี้ได้ยังไง...” “ฉันทำอะไรไม่ทราบ?” “ยังจะถามอีกรึก ก็ที่คิดจะแก้แค้นผม อาจจะรวมถึงแม่ของผมด้วยผ่านแววนะสิ อย่านึกว่าผมไม่รู้เท่าทันนะ พี่กับคุณแม่ของพี่ก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก เห็นแก่ตัว ใจดำ! ใครจะเป็นจะตายไม่สนขอให้ตัวเองได้สะใจเป็นพอ พี่รู้ว่าผมรักแววใช่ไหมล่ะ? พอผมไม่อยู่ก็เลยฉวยโอกาสหลอกล่อให้แววหลวมตัวหลวมใจ พอได้สมใจแล้วก็คงเขี่ยทิ้ง จะความสาวความบริสุทธิ์อะไรยังไงก็คงไม่มีความหมายสำหรับพี่ ในเมื่อสิ่งที่พี่ต้องการคืออยากให้ผมเจ็บใจ อาจจะหวังเลยไปว่าถ้าผมไม่มีความสุข แม่ผมก็คงพลอยทุกข์ไปด้วยล่ะสิ!” “ก็ดูเหมือนว่านายจะมองอะไรๆ ได้ทะลุปรุโปร่งนี่” เสียงที่เคยมีกังวานทุ้มนุ่มน่าฟัง บัดนี้นอกจากจะฟังกระด้างเย็นชา ยังเต็มไปด้วยแววหยันเยาะ “คุณยอมรับอย่างนั้นหรือคะ ว่าที่ผ่านมาคุณมีวัตถุประสงค์แค่ให้ได้ตัวแวว เพื่อคุณจะได้แก้แค้นคุณทศ ซึ่งแววก็ไม่รู้ว่าคุณสองคนมีเรื่องแค้นเคืองอะไรกัน?” “แวว...” ทศยุทธ์แทบจะผวาเข้าไปหาหญิงสาว “ถ้าอยากเชื่ออย่างนั้นก็ตามใจ” มัชฌันหันมาตอบคนที่เข้ามาหยุดอยู่เบื้องหลังเขาด้วยเสียงห้วน ประกายตาไม่เหลือแววหวานๆ หรือแม้แต่กระแสอ่อนเอื่อยอีกต่อไป อวภาส์เห็นว่าการที่เขาไม่แก้ตัว เท่ากับเป็นการยอมรับ หล่อนมองเขาอย่างไม่เชื่อตา <> หล่อนไม่คิดจะรักใครง่ายๆ แต่จำต้องยอมรับกับตัวเองว่า หัวใจที่เคยอิสระไม่ยอมแม้แต่จะแง้มเปิดรับชายใด บัดนี้ ไม่เพียงแต่แง้มรับ หากเปิดกกว้างให้ผู้ชายคนนี้ก้าวเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผย แล้วเขาก็ทำให้หล่อนดำดิ่งสู่นรกานต์ ฝากนิยาย “พันแสงจันทร์” ด้วยนะคะ^^__^^

บทที่ 1 ตอนที่ 1

เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือ ทำให้ชายหนุ่มร่างสูงเพรียวที่เพิ่งเดินเข้าประตูเลื่อนเปิด-ปิด อัตโนมัติได้ไม่กี่ก้าวชะงัก

สีหน้าที่ปรากฏเพียงแวบแล้วเลือนหายไวยิ่งกว่าแสงฟ้าแลบ... เอือม ระคนหงุดหงิด ปนขันนิดๆ หลังจากดูหน้าจอเครื่องมือสื่อสารทันสมัยที่ควักจากกระเป๋าเสื้อนอกด้านใน

คงจะเป็นสายเรียกเข้าที่ไม่สามารถตัดทิ้ง หรือทำเป็นไม่ได้ยินเสียงสัญญาณเรียกเข้าได้ จึงหยุดรับ

“ผมอยู่ที่พาราไดซ์ บรีซ ... ครับ... คนเดียว อ้อ! มีเหมือนกันครับ สาวๆ สวยๆ ทั้งนั้นเลย”

ดวงตาคมสีสนิมเหล็กกล้าตวัดมอง ‘สาวๆ สวย’ ทำเอาเหล่าบรรดาผู้แอบมอง เนื่องจากความชื่นชมในร่างสูงตรงผึ่งผาย รวมไปถึงใบหน้าสะอาดคมสัน เริ่มจะปรากฏเงาเขียวจางๆ ของไรหนวดเคราบริเวณคาง สันขากรรไกร ถึงกับพากันทำหน้าเขินๆ

“ยังไม่รู้เลยครับ...”

เสียงมีกังวานน่าฟังพูดเรื่อยๆ ในระดับความดังปกติของเสียงพูดคุยทั่วๆ ไป พอที่ใครเดินเฉียดเข้ามาใกล้ในรัศมีเมตรสองเมตรจะพลอยได้ยิน

“โธ่...แม่ครับ ผมโตแล้วนะ หมดเวลาที่จะต้องรีบเข้านอนก่อนสี่ทุ่มมาหลายปีดีดัก”

หญิงสาวสองคนที่อยู่หลังเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ซึ่งทั้งมองและเงี่ยหูฟังตั้งแต่แรกเห็นชายหนุ่มเดินเข้ามากระทั่งหยุดรับโทรศัพท์ พากันลอบถอนใจ...โล่งอก เมื่อรู้ว่าคนที่โทรมา และชายหนุ่มก็ตอบกลับไปคล้ายรายงานตัวกรายๆ คือมารดาของเขา ... คุณแม่ ... ไม่ใช่แม่คุณ

“เถอะครับ...”

เสียงมีกังวานชวนฟัง ผ่านหูผู้คนที่เดินไปมา รวมถึงสองสาวเบื้องหลังโต๊ะประชาสัมพันธ์

“ไม่ต้องรอ กลับเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น... ครับ ... ครับ! ผมรู้... แค่นี้นะฮะ”

นอกจากจะกดตัดสายทันทีที่จบประโยค โทรศัพท์มือถือยังถูกปิด ตัดการติดต่อสื่อสารทุกรูปแบบ

ดวงตาสีน้ำตาลคมจัดๆ แต่กลับถูกหล่อไว้ด้วยธารน้ำผึ้งหอมหวาน ช่างเป็นดวงตาที่มีอานุภาพให้สาวน้อยสาวใหญ่ที่สบด้วยสะทกสะท้านเอาง่ายๆ กวาดมองไปรอบๆ ก่อนกลับมามองสองสาวที่นั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์

รอยยิ้มเก๋แฝงแววขันนิดๆ ปรากฏบนริมฝีปากบางได้รูปงาม ราวจะมอบเป็นกำนัลทดแทนแววนิยมชมชื่นวาบไหวบนดวงตาของสองสาว ก่อนลำขายาวตรงจะก้าวยาวๆ นำร่างสูงเพรียวไปยังทิศทางที่ตั้งใจไว้แต่แรก ปล่อยให้สองหญิงผู้นิยมในความหล่อเหลาพากันถอนใจเฮือก... แล้วก็อีกเฮือกตามไปพร้อมหัวใจที่ทำท่าจะลอยตาม

เพียงก้าวแรกที่ย่างเข้าไปใน บลู-มูน ดินเนอร์คลับ ก็ปะทะเข้ากับบรรยากาศอันหวานหอม

เสียงท่วงทำนองหวานระคนเศร้า‘ซัม แวร์ มาย เลิฟ’ กำลังพลิ้วจากแกรนด์ เปียโนสีดำเป็นมันที่มุมห้อง ซึ่งเป็นที่ตั้งของวงออร์ฟิอุสในค่ำคืนนี้

บนเปียโนหลังนั้นมีแก้วคอนยัคใบโตปากกว้างตั้งอยู่ เขาเห็นธนบัตรหลายใบซ้อนกันอยู่ก้นแก้ว

เทียนสีแดงห้าเล่ม ปักเรียงอยู่บนเชิงเทียนทองเหลืองมันวับ

แสงเทียนทั้งห้าเล่ม จับซีกหน้าคนที่กำลังเล่นเปียโนแจ่มชัดพอสมควร

หล่อนเป็นสาว...ที่ดูยังไม่เต็มสาว ผิวนวลจัด ดูเนียนแน่นละเมียดละไม ผมดำยาวถูกรวบโหย่งๆ ไว้เบื้องหลัง ปล่อยให้บางส่วนรุ่ยร่ายเหมือนจงใจที่ข้างแก้มและซอกหู เน้นใบหน้าเพรียวคมมีเครื่องหน้าที่เหมาะเจาะรับกันไปหมดอย่างน่าทึ่ง ไม่ว่าไรคิ้วสวยโค้งไปตามแนวเปลือกตาทั้งคู่ สันจมูกโด่งงามรับกับริมฝีปากบางอ่อนช้อยดูพริ้มเพราสีชมพู

เรือนร่างโปร่งบาง... บางจนดูระเหิดระหง อยู่ในชุดสีชมพูจางเกือบขาว แบบเรียบง่าย แต่ก็ดูสะอาด บริสุทธิ์ไปทั้งตัว

มีคนเดินไปที่เปียโน ธนบัตรในมือถูกหย่อนลงในแก้วคอนยัค

ชายหนุ่ม เจ้าของร่างเพรียว สูงตรงผึ่งผาย ทรุดตัวลงนั่งเงียบๆ

เทียนสีแดงเดี่ยวบนโต๊ะส่องแสงในวงจำกัด กลิ่นหอมของกุหลาบแดงจรุงอยู่ในอากาศ

ดวงตาสีน้ำตาลเข้มคมระคนแววหวาน มองเลยไปยังนักดนตรีบนเวทีคนอื่นๆ ที่ล้วนแต่เป็นชาย และอายุอานามก็ล่วงเลยวัยกลางคนแทบทั้งนั้น ตั้งแต่คนเล่นเบส สีไวโอลิน เล่นกีตาร์ และอีเล็กโทน ที่ดูหนุ่มหน่อยก็มือกลอง แต่ถึงอย่างนั้นก็น่าจะเลยสามสิบไปหลายปี

ชายหนุ่มเลื่อนสายตากลับมายังคนที่กำลังพรมนิ้วอยู่บนคีย์ขาวสะอาด แล้วหยุดนัยน์ตาทั้งคู่ไว้ที่นั่น หาได้เลื่อนเลยไปยังจุดอื่นใดอีกต่อไป

แสงเทียนทั้งห้าเล่มเหมือนจะส่องสว่าง เจิดจรัสขึ้นอีกเท่าตัวในความรู้สึกของเขา

‘เมโลดี้ ออฟ เลิฟ’ เพิ่งจะเริ่มต้น ... เขาหยิบกระดาษเช็ดมือ เขียนชื่อเพลงเป็นภาษาอังกฤษลงไปบนนั้น ก่อนส่งให้บริกรที่ยกเครื่องดื่มมาวางบนโต๊ะ

เขายกแก้วใสบรรจุแชมเปญขึ้นจิบ ตามองตามบริกรเดินตรงไปยังเปียโนสีดำมุมห้อง

ไม่นานเลย หลังจาก ‘เมโลดี้ ออฟ เลิฟ’ จบอย่างสวยงาม ... ‘วาย ดู ไอ เลิฟ ยู โซ’ ที่สุดแสนหวานก็พลิ้วแผ่วขึ้น

ชายหนุ่มปล่อยให้รอยยิ้มซ่านปรากฏที่มุมปากและดวงตาอย่างลืมตัว ขณะบอกตัวเองว่าฝีมือหล่อนไม่เลวเลย

อ่านต่อ

หนังสือที่คุณอาจชอบ

หนังสืออื่นๆ ของ ลิลเอง

ข้อมูลเพิ่มเติม
บท
อ่านเลย
ดาวน์โหลดหนังสือ