Login to MeghaBook
icon 0
icon เติมเงิน
rightIcon
icon ประวัติการอ่าน
rightIcon
icon ออกจากระบบ
rightIcon
icon ดาวน์โหลดแอป
rightIcon
5.0
ความคิดเห็น
3K
ชม
21
บท

เมื่อของเลหลังมาเจอกัน อีกคนเดี้ยงเพราะอุบัติเหตุ อีกคนก็ตกงาน ไร้คู่ ปฏิบัติการเก็บตก เพื่อให้เป็นวิวาห์เลหลังจึงเกิดขึ้น +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ “รอให้คุณเดินได้ก่อนไหมเราค่อยมีเซ็กซ์กัน” “เฮ้ย! ไม่ดี” สามีร้องเสียงหลง “ก็ถ้าเกิดมีเซ็กซ์กันแล้วฉันท้อง คุณเดินไม่ได้ ฉันต้องเลี้ยงลูกคนเดียวก็ลำบากแย่เลยสิ” เคยอ่านจากที่ไหนสักแห่งว่าคู่รักกันหากฝ่ายหญิงเอ่ยถึงลูก อีกคนจะหมดอารมณ์ใคร่ทันที น่าจะใช้กับเขาได้ “ฉันจะป้องกัน เธอก็ป้องกันด้วย เด็กไม่ได้เกิดกันง่าย ๆ ขนาดนั้นหรอก” “ไม่เอา ฉันกลัว การป้องกันไม่ให้เด็กเกิดมาที่ดีที่สุด คือเราต้องไม่มีเซ็กซ์กัน” มิเรียมแจง “โว้ย!” ภาษรคำราม ปล่อยมือจากร่างอ้อนแอ้นทั้งบนและล่าง “เธอคิดว่าฉันจะมีเมียเพื่อตั้งไว้บนหิ้งบูชาหรือยังไง” เสียงลมหายใจในความมืดของเขาฮึดฮัด “มันชักจะมากไปแล้วนะ” หญิงสาวนึกหน้าเขาออกเลย มันต้องบึ้งมากแน่ ๆ เรียกว่าแทบจะกินหัวเธอ “ฉันอธิบายความน่าจะเป็นต่างหาก ไม่ได้บอกว่าจะไม่มีอะไรกับคุณ แต่มันยังไม่ถึงเวลา” “ฉันต้องแข็งแรงขนาดไหนเธอถึงจะยอมมีเซ็กซ์ด้วย” +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

บทที่ 1 คนตกงานและคนโดนแฟนทิ้ง

มันเป็นเช้าเหมือนทุกวัน หากแค่เจ็ดโมงเช้า แต่ดวงอาทิตย์กลับแผดแสงกล้า ทำให้เหงื่อออกจนเครื่องสำอางที่แต่งมาชักจะเลือน มอเตอร์ไซค์วินเจ้าประจำก็ขาดช่วง เอาเฉพาะคิวเธอพอดี ไม่เป็นไร มิเรียมปลอบใจตัวเอง นี่แค่เจ็ดโมงเช้า อย่างไรเธอก็ไม่ไปทำงานสายหรอก ซึ่งมีวินอีกคันขับกลับมาพอดี

“พี่จะไปโรงงานดีบีใช่ไหม” มิเรียมพยักหน้า “รีบขึ้นมาเลยพี่ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”

คนขับเร่งเครื่องแสดงความด่วนจริง หญิงสาวกระโดดขึ้นเบาะเกาะหลังไปโดยพลัน หน้าโรงงานประตูปิด มีคนงานออกันเป็นร้อย

“เกิดอะไรขึ้น” เธอจ่ายเงินวินแล้วรีบสาวเท้าเข้ากลุ่ม

“เราโดนลอยแพ” สาวนางหนึ่งในชุดฝ่ายผลิตเล่าพร้อมคิ้วตก

“โรงงานปิดแล้ว เจ๊ง”

อีกเสียงช่วยย้ำสถานการณ์ มิเรียมเปิดกระเป๋า ควานหามือถือเพื่อโทรหาหัวหน้า

“พี่คะ เราโดนโรงงานลอยแพแล้วเหรอคะ”

(“เออ ก็อย่างที่เห็น พี่เพิ่งได้ข่าวเหมือนกัน”)

ประตูเหล็กหน้าโรงงานสั่น เพราะคนงานหลายคนเขย่า พร้อมตะโกนให้ผู้บริหารออกมาคุยเรื่องค่าแรงที่เหลือ ไม่เช่นนั้นจะฟ้องกรมแรงงาน

“ใจเย็น ๆ ก่อนนะทุกคน ตอนนี้อยากให้กลับบ้านกันไปก่อน เดี๋ยวเจ้านายจะเรียกให้มาคุยอีกครั้ง” หัวหน้ารปภ.พูดใส่โทรโข่ง

“พวกกูไม่กลับ...กูไม่ไป”

คนงานด้านนอกตะโกนก้อง มีรถตำรวจเปิดหวอมาระงับเหตุ

“กลับไปฟังสถานการณ์ที่บ้านเถอะน้อย”

หัวหน้าแนะ เล่นเอามิเรียมแทบหมดกำลังใจ ไร้แรงเดิน นี่เธอกำลังจะเป็นคนตกงานโดยไม่รู้ตัวหรือไร

ไม่รู้ว่าตอนนั้นกลับห้องมาได้ยังไง เพราะไม่รู้ตัวเลย จนมีนาหรือนิดหน่อย ผู้เป็นน้องสาวโทรมาตอนเก้าโมงเช้า นั่นแหละ

“ว่าไง”

(“เห็นข่าวโรงงานพี่ออกทีวี พ่อกับแม่บอกว่าถ้าไม่มีงานทำก็ให้กลับมาอยู่บ้านเถอะ”)

บ้านเธอมีสวนผลไม้และที่นาให้คนเช่านิดหน่อย พอเลี้ยงตัวได้และพอกิน ไม่ได้ลำบากอะไร

“ถ้าโรงงานปิดจริง พี่จะหางานใหม่”

(“ช่วงโควิด เศรษฐกิจแบบนี้เนี่ยนะ หนูได้ยินข่าวเขาเล่าว่าปีนี้เผาหลอก ปีหน้าเผาจริง พี่กลับมาบ้านเราเถอะนะ มาตั้งหลักก่อนก็ได้”)

ปลายประโยคเสียงอ่อนลง แต่มิเรียมยังอยากสู้ ยังไม่อยากยอมแพ้ เธอเอาแต่เรียน ทำงานนั่งโต๊ะมาตลอด งานในไร่ในสวนไม่ถนัด ผิดกับมีนาที่เรียนเกษตรมาโดยตรง

“เดี๋ยวดูอีกที”

และวันนั้นทั้งวันก็ไม่เป็นจะทำอะไร เพราะเอาแต่ฟังข่าว ซึ่งแต่ละข่าวที่ได้ฟังและอ่านก็เหมือนกันทุกช่อง

ทว่าข่าวตอนเย็นก็ทำให้ใจแป้ว ในไลน์แผนกเธอบอกว่าโรงงานปิดแน่แล้ว ตัวเจ้าของโรงงานหนีหนี้ไปไต้หวัน แผนกการเงินยังพอจะจ่ายเงินเดือนที่ค้างให้ได้หนึ่งเดือน ส่วนที่เหลือต้องไปฟ้องเอา

มิเรียมเอาสมุดบัญชีธนาคารทุกเล่มมาปรับ เหลือเงินแค่แสนเดียว เพราะเงินเก็บก็เอาไปดาวน์คอนโดหมด เพิ่งผ่อนได้ปีเดียว อีกนานเลยกว่าจะหมด ถ้าเงินก้อนตรงนี้หมดเธอคงอยู่กรุงเทพได้ไม่นานแน่

(“พี่น้อยกลับมาเถอะค่ะ พ่อกับแม่มีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย คอนโดนั่นถ้าอยากเก็บไว้พ่อแม่ก็จะจ่ายให้”) มีนาโทรมาเป็นรอบสอง หลังฟังข่าวในรอบวันสรุปว่า โรงงานที่เธอทำปิดแน่นอน

“เรื่องสำคัญอะไร”

พ่อแม่ยังไม่แก่ ท่านจะแบ่งสมบัติแล้วหรืออย่างไร

“มาเถอะน่า เดี๋ยวก็รู้เอง”

น้องทิ้งปริศนา มิเรียมจบสายแล้วถอนหายใจ ในสถานการณ์วิกฤติเช่นนี้ กลับไปบ้านสักพักคงจะดี เก็บเงินไว้ผ่อนคอนโด ส่วนค่ากินอยู่ก็อาศัยข้าวพ่อแม่ไปก่อน หากถึงบ้านเกิดเธอแล้วต้องชวนมีนาไปทำบุญเสียหน่อย เผื่ออะไร ๆ ในชีวิตจะดีขึ้น

ทันทีที่พ่อกับแม่เจอหน้าลูกสาวคนโตก็ดีใจมาก โผเข้ามากอดมิเรียมเลยเมื่อมาถึงบ้าน

“หิวไหม กินอะไรมาหรือยัง เดี๋ยวเย็นนี้แม่จะทำแกงคั่วหอยขมของโปรดน้อยให้”

น้ำลายในปากเธอสอ ไม่ได้กินเมนูนี้มานานมากแล้ว หาใครทำแกงรสนี้ได้ดีเหมือนแม่เป็นไม่มี

“กิจการท่าข้าวของเถ้าแก่วิชัยกำลังขยาย เลยรับคนเพิ่ม น้อยไปสมัครดูไหมล่ะ” พ่อเล่าขณะครอบครัวกินอาหารเย็น

“จริงด้วย ไม่ได้ไปเยี่ยมเถ้าแก่นานแล้ว จะได้ไปดูอี้ด้วย”

“อี้มันเป็นอะไรคะแม่”

อี้ หรือภาษรเป็นลูกชายเถ้าแก่วิชัย เพื่อนร่วมโรงเรียนของเธอ ก่อนทุกคนจะแยกย้ายกันไปเรียนต่อมหาวิทยาลัย และแยกย้ายกันไป

“เรียกมันได้ยังไง เขาเป็นพี่ลูกนะ”

เธอยักไหล่ ไม่สนแม่ที่เอ็ด

“อายุมากกว่ากันไม่กี่เดือนเอง”

เธอไม่ชอบเขานัก ภาษรมักเป็นหัวโจกชอบแกล้งเด็กผู้หญิง ถือว่าตัวเองรูปหล่อ พ่อรวย เรียนเก่ง ทำตัวใหญ่คับโรงเรียน ชวนหมั่นไส้ยิ่งนัก

“พี่อี้เกิดอุบัติเหตุ กระดูกแตกยับทั้งตัว ตอนนี้นั่งรถเข็น”

“เมื่อไร”

มือที่กำลังจะตักข้าวเข้าปากชะงัก ถึงไม่ชอบหน้าแต่พอได้ฟังข่าวร้ายก็อดใจหายไม่ได้

“ปีที่แล้ว รักษาอยู่โรงพยาบาลในกรุงเทพตั้งนาน เพิ่งกลับมาอยู่บ้านสามเดือนนี้เอง”

น้องเคี้ยวข้าวแก้มตุ่ยตอบ

“พรุ่งนี้ไปเยี่ยมพี่เขากับแม่ไหม ว่าจะเข้าเมืองไปซื้อของพอดีเลย”

ด้วยเหตุที่ว่างไม่มีอะไรทำ จึงยอมไปกับแม่แต่โดยดี หลังจากกินมื้อเย็นก็เป็นเวลาพักผ่อน มิเรียมกับมีนานอนห้องเดียวกัน ระหว่างรอน้องอาบน้ำเธอก็เล่นมือถือ

“โห คอนโดพี่สวยจัง คงหมดค่าแต่งไปหลายหมื่นน่ะสิ”

คนอายุน้อยกว่าแอบย่องมาข้างหลัง ชะโงกดูมือถือซึ่งมีรูปห้องในคอนโด

“ใช่ พี่กะจะเอาไว้อยู่เป็นโสดเก๋ ๆ”

ด้วยอายุเลยมาจนป่านนี้ แถมยังไม่มีแฟน เธอจึงวางแผนอนาคตไว้เสร็จสรรพ

“ถามจริงอยู่กรุงเทพตั้งนาน พี่น้อยไม่มีคนมาจีบบ้างเหรอ” น้องสาวเดินมานั่งเตียงตนเอง บนศีรษะยังโพกผ้าขนหนูอยู่

“ไม่อะ พี่ทำงานโรงงาน ทั้งแผนกมีแต่ผู้หญิง วิศวกรที่เห็น ๆ มีแต่พวกกินเหล้าจัด ๆ กันทั้งนั้น”

“อีกไม่กี่ปี พี่ก็สามสิบแล้วนา ไม่เหงาเหรอ”

“ไม่เลย พี่สามสิบยังแจ๋วจ้ะ ไปอาบน้ำแหละ”

มีนามองตามพี่สาวที่อายุมากกว่าตนห้าปี มิเรียมเป็นคนง่าย ๆ สบาย ๆ สมัยเรียนใช่ว่าจะไม่มีคนมาจีบ แต่เจ้าตัวชอบเรียนหนังสือมากกว่า

พอทำงานก็เป็นประเภทไม่ชอบเที่ยว จึงอยู่เป็นโสดมาถึงขนาดนี้ จนพ่อกับแม่ต้องวางแผนกัน ถ้าเจ้าตัวรู้จะเป็นยังไงนะ มีนาเช็ดผมพลางคิด

แต่แล้วไลน์ก็เด้งเตือนว่ามีข้อความเข้าจากแฟนหนุ่ม หญิงสาวจึงเบนความสนใจมายังคนรัก

บ้านเถ้าแก่วิชัย อยู่ในตัวอำเภอ กินอาณาเขตหลายไร่ มีรั้วสีขาวสูง บ้านเป็นตึกแบบยุโรป ตัดกับสนามหญ้ากว้างสีเขียว มีเสาโรมันหน้าบ้าน มีวงเวียนประดับรูปปั้นปลาโลมาพ่นน้ำพุ บ้านนี้จัดว่าหรูและสวยที่สุดในอำเภอ อวดศักดาความมีบารมีและเงินหนาของเจ้าของได้เป็นอย่างดี

ตอนที่แม่พาเข้าไป เห็นรถจอดอยู่ไม่กี่คัน รถกระบะคันที่ใหม่ที่สุดของบ้านมิเรียมดูเล็กไปถนัดตา เมื่อเทียบกับรถยุโรปที่จอดอยู่ในโรงรถ เธอคะเนจากความใหม่ของรถว่าเจ้าของน่าจะเป็นลูกชายของบ้าน เนื่องจากจำได้ลาง ๆ ตอนเถ้าแก่วิชัยมาโรงเรียนว่า เขาขับรถยุโรปอีกยี่ห้อหนึ่งที่เป็นดาวสามแฉก

วันนี้อยู่แต่ซ้อ สาวมากวัยทั้งสองเมาท์เรื่องโน้นเรื่องนี้กันสนุก เธอปั้นยิ้มจนหน้าเมื่อย

“พ่ออี้เป็นยังไงบ้างคะซ้อ”

แม่กวาดตาไปทั่วบริเวณ เจ้าของบ้านผู้ร่ำรวยคิ้วตก ถอนหายใจยาว

“เหมือนเดิม อีอยู่ที่สนามโน่น” นางพยักหน้าไปแถว ๆ พื้นที่สีเขียว ๆ

“นิ่ง ซึม ไม่ยอมทำอะไร อั๊วละกลุ้มใจ” แล้วซ้อก็มองพินิจเธอ “อาอี้อีดื้อ ถ้าเด็กกว่านี้หน่อยล่ะก็อั๊วจะหยิกให้เนื้อเขียว ตอนนี้ทำอะไรไม่ได้มีแต่ต้องปล่อยอีไป”

“เขาเจออุบัติเหตุแล้วเจ็บหนักมากเหรอคะ”

ประมวลผลจากที่มีนาเล่า ภาษรกระดูกแตกยับ ต้องอยู่โรงพยาบาลหลายเดือน เพิ่งกลับมาพักฟื้นที่บ้านได้ไม่นาน อาการน่าจะหนักหนามากอยู่

“หนูน้อยไปเยี่ยมอาอี้สิ เป็นเพื่อนกันนี่ อีนั่งอยู่ในสวนน่ะ”

แม่พยักหน้าให้ทำตาม มิเรียมจึงค่อยออกมาจากวงสนทนาได้ บ้านนี้เธอมาเพียงไม่กี่ครั้ง เป็นตอนมีงานทั้งนั้น วันธรรมดาจึงเงียบเหงา ข้างกระถางดอกชวนชม ร่างใครคนหนึ่งนั่งอยู่ รถเข็นสีเงินมันปลาบต้องแสงแดดขึ้นประกาย ต้องเป็นเขาแน่ ๆ

“สวัสดี”

คนบนรถเข็นหันมามองเธอหน้าบึ้ง ตายาวรีออกแววขุ่น หรือเธอมารบกวนการพักผ่อนของเขากัน

อ่านต่อ

หนังสือที่คุณอาจชอบ

หนังสืออื่นๆ ของ เฌอเลียร์

ข้อมูลเพิ่มเติม
บท
อ่านเลย
ดาวน์โหลดหนังสือ