เธอ...ที่ไม่คิดจะรัก

เธอ...ที่ไม่คิดจะรัก

BVMEOW

5.0
ความคิดเห็น
24.2K
ชม
66
บท

ความจำเป็นบางอย่างทำให้เธอต้องหาที่พึ่ง และ 'เขา' ก็เป็นผู้ถูกเลือก

บทที่ 1 ปฐมบทคนไม่คิดจะรัก

วันแรกของเดือนกุมภาพันธ์ วันสุดท้ายที่อรัณย์จะมีบิดาร่วมหายใจอยู่บนโลกใบนี้

ข่าวการเสียชีวิตของผู้เป็นพ่อที่จากไปอย่างสงบ ทำให้บุตรชายคนโตของสิริพัฒนาเคว้งคว้างเหลือคณา เกือบห้านาทีเห็นจะได้ที่เขาค้างเติ่งอยู่ที่เดิม น่าแปลกที่น้ำตามิได้หลั่งไหลเพื่อสนองแก่ความเสียใจ แต่ความโศกที่ก่อตัวขึ้นกลับอัดแน่นอยู่ในตัวชายหนุ่มจนเกิดความอึดอัด

คล้ายว่าเบื้องหน้าไร้แสงสว่างไปชั่วขณะ อนธการได้ปกคลุมไปทั่วบริเวณทั้งๆ ที่เพิ่งเป็นเวลาเก้าโมงเช้า

อาจจะด้วยความเป็นลูกชายหรืออะไรก็มิทราบ แต่เขาไม่มีความสนิทชิดเชื้อกับผู้เป็นพ่อมากนัก ทว่าสายใยแห่งความรักก็มีอยู่จริง และการจากไปของบิดาราวพรากจิตวิญญาณของเขาไปจนเหลือเพียงกายหยาบ

อรัณย์ทรุดตัวลงนั่งบนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง ลมหายใจติดขัดคล้ายมีก้อนบางอย่างจุกอยู่ที่ลำคอ

ภาพของพ่อที่คอยถามไถ่ พูดคุย และคอยทำงานหนักเอาเบาสู้เพื่อเลี้ยงครอบครัว รอยยิ้มยามได้บ้านหลังใหม่จากน้ำพักน้ำแรงของลูกชายอย่างเขา รถคันใหม่ที่เขาซื้อให้แทนรถบุโรทั่งที่เป็นมรดกตกทอดตั้งแต่รุ่นปู่ ทุกๆ อย่างต่างไหลเข้ามาในหัวอย่างกับถูกโปรแกรมตั้งไว้

เขาไม่สนิทกับพ่อ ไม่ได้หมายความว่าไม่รัก แต่เหมือนเขาจะลืมไปเลยว่าชีวิตนั้นสั้นเหมือนหนึ่งฟูมฟองของหยดน้ำ ที่หยดลงไปบนใบบัวบอน ใช้เวลาอยู่บนนั้นจนชีวิตสุกงอม สุดท้ายก็ล่วงหล่นกลับคืนสู่พื้นดิน เขาลืมไปเสียสนิทว่าชีวิตเป็นเช่นนั้น เวลาที่มีมากมายจึงไม่ได้บอกกับพ่อไปว่ารัก

คำสั้นๆ คำเดียว เขากลับใช้เวลาทั้งชีวิตของพ่อที่จะเอ่ย และทั้งๆ ที่มีเวลามากขนาดนั้น เขากลับไม่ได้พูดออกไป มาเสียดายเอาก็ตอนที่ท่านไม่อยู่เพื่อรอฟังอีกแล้ว

ภายในบ้านเช่าคล้ายมีมวลอากาศแสนน่าอึดอัดแทรกตัวอยู่ทุกพื้นที่ เขาหายใจถี่ๆ ก่อนพยายามตั้งสติ ในเมื่อความสูญเสียได้เกิดขึ้นแล้ว เขามีเพียงต้องยอมรับ เพราะคงไม่มีใครเอาชนะความตายได้ พ่อเขาเองก็เช่นกัน

อรัณย์โตขึ้นแล้ว ยอมรับความสูญเสียได้ดีขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่เสียใจยามต้องประสบพบเจอกับเรื่องราวเช่นนั้น เขาไม่ฟูมฟาย ไม่ตีอกชมลมและปฏิเสธความจริงว่าพ่อยังอยู่ แต่เลือกที่จะยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยใจที่แสนกำสรด

อรัณย์ต่อสายหาเจ้านายเพื่อแจ้งข่าวให้ทราบ เขาจำต้องเดินทางกลับไปยังอำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ซึ่งเป็นบ้านเกิดเมืองนอนเพื่อไปให้ทันรดน้ำศพผู้เป็นบิดา หลังปราชญาธิปทราบข่าวการจากไปของคนสำคัญในชีวิตลูกน้อง เขาก็ตั้งใจจะไปร่วมงานด้วยอย่างไม่ลังเล

รวมถึงอัสมา ภรรยาแสนรักของเจ้านาย ด้านพี่ๆ น้องๆ ในกลุ่มการทำงานทั้งสามก็ไม่ต่าง พี่ใหญ่อย่างชยางกูรเพิ่งหายขาดจากอาการแพ้ท้องแทนเมียมาหมาดๆ ทว่าพอรู้ข่าวก็พาภรรยาท้องอ่อนมาปักหลักรอที่บ้านเจ้านาย ดิฐากรขอปิดร่ำเมรัยเพื่อไปร่วมงาน เจ้าของอย่างวรัสยาก็ยินดี เพราะตัวเธอกับสามีและลูกๆ ก็ตั้งใจที่จะไปร่วมไว้อาลัยกับผู้เสียชีวิต ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญของคนสนิทชิดเชื้ออย่างอรัณย์

แม้แต่นักการเมืองหนุ่มอย่างธนบดีและภริยาก็ยังสละเวลาเพื่อไปกับทุกคน

ทุกชีวิตรวมตัวกันอยู่ที่บ้านของปราชญาธิป เพื่อเตรียมตัวออกเดินทางให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้

เพื่อความสะดวกเนื่องด้วยมีคนจำนานมาก จึงเลือกที่จะเดินทางด้วยรถใครรถมัน เว้นก็แต่ดิฐากรและอรัณย์ที่เลือกใช้รถคันเดียวกันเพราะเป็นหนุ่มโสด ไม่มีครอบครัวเหมือนใครอื่นเขา

ขบวนรถขนาดย่อมออกเดินทางจากนครนายกในช่วงสายของวัน รถคันแรกเป็นของอรัณย์ ซึ่งจำเป็นต้องนำทางให้คันอื่นๆ ได้ไปยังบ้านของเจ้าตัว

ดิฐากรที่นั่งอยู่ข้างคนขับเอ่ยขึ้นหลังจากเงียบอยู่นาน “มึงไหวไหม กูขับให้ก็ได้นะ”

“ไหว”

“ไม่ต้องฝืนก็ได้”

“ไม่ได้ฝืน กูขับไหวจริงๆ”

ความเงียบเข้ามามีบทบาท แต่แล้วผู้จัดการร่ำเมรัยก็ทำลายมันลง

“ถ้าไม่ไหวก็บอก กับทุกเรื่องเลยน่ะ”

สารถีเพียงแค่ให้ความเงียบได้ทำงาน แล้วจึงตอบออกไปสั้นๆ “ขอบใจ”

สองหนุ่มจึงไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีก คนหนึ่งจมอยู่กับความคิดของตัวเอง อีกคนคอยอยู่ข้างๆ ไม่ห่างไปไหน เพียงเท่านั้นคนที่สูญเสียบุคคลสำคัญก็พอได้อุ่นใจที่ยังมีมิตรภาพดีๆ ไม่ใช่แค่กับเพื่อนสนิทคนนี้ แต่ทุกๆ คนทำให้เขารู้สึกว่าเขาไม่ได้โดดเดี่ยว โลกนี้ยังมีคนที่เป็นครอบครัวต่างสายเลือดอยู่อีกหลายคน

คนที่ไม่ได้เป็นญาติ ไม่ได้เกี่ยวพันทางสายเลือด แต่รักและเคารพกันเหมือนคนในครอบครัว ก็คงไม่พ้นคนเหล่านี้ที่สละทุกอย่างตรงหน้าเพื่อมากับเขา

นัยน์ตาหวานจดจ้องไปยังร่างของชายหนุ่มที่แต่งกายด้วยชุดสีดำ ซึ่งเป็นเช่นนี้มาสามวันแล้ว

เสียงใสเอ่ยขึ้น “เมื่อคืนพี่ไปงานศพมาเหรอ”

เธอก็ได้ข่าวมาบ้างว่าพ่อของเพื่อนสมัยเด็กของคนตรงหน้าเสียชีวิต ‘เพื่อน’ ของเขาคนนั้นเธอก็พอจะรู้จัก ในอดีตเคยเห็นหน้าค่าตามาบ้าง รู้จักชื่อเพราะได้ยินคนอื่นๆ เรียกขาน แต่ไม่ได้รู้จักกัน ทั้งเขาและเธอจึงไม่ถูกนับเป็นคนรู้จักกันไปโดยปริยาย ด้วยเหตุนั้นงานศพพ่อของเขา เธอถึงไม่ได้ไปร่วมไว้อาลัย ต่างกับพี่ชายคนนี้ที่ไปตั้งแต่คืนแรก และคงจะไปจนถึงวันฌาปนกิจด้วยซ้ำ

ที่สำคัญเธอคร้านจะออกไปพบปะผู้คน รู้อยู่แก่ใจว่าหากเจอหน้าเธอแล้ว ชาวบ้านจะพูดอะไร

เรื่องแสลงหูพรรค์นั้นเธอไม่อยากจะได้ยินเลยจริงๆ

คนเพิ่งตื่นพยักหน้ารับส่งๆ “ฝากร้านหน่อยนะ บ่ายครึ่งลูกค้ามา ค่อยเข้าไปปลุก”

“อื้อ” ในขณะที่ ‘พี่ชายคนสนิท’ ทั้งยังพ่วงตำแหน่ง ‘เจ้านาย’ ตั้งท่าจะเดินเข้าห้องนอนที่อยู่ด้านใน โดยที่ด้านนอกถูกปรับให้เป็นร้านสัก เธอก็เอ่ยรั้งเขาไว้เสียก่อน “แล้ววันนี้จะกินข้าวอะไร”

“ผัดพริก”

“ไข่ดาวไม่สุก?”

“เก่ง” ว่าพร้อมยกนิ้วโป้งให้น้องสาวที่ตนเอ็นดู ด้านคนเก่งนึกฉงน ก็ไม่ว่าจะทานอะไร เขาจะต้องสั่งไข่ดาวไม่สุกทุกครั้ง ถ้าเธอไม่รู้ก็แปลก “น้ำแดงขวดหนึ่งด้วย งั้นเข้ามาปลุกพี่สักบ่ายสิบห้าแล้วกัน จะได้กินข้าวก่อนสัก”

รับคำเสร็จสรรพ เจ้าของร้านสักนามว่าถิรมันก็เดินกลับเข้าไปในส่วนของที่พัก ภายในร้านจึงเหลือเพียงลูกจ้างอย่างเธอ ลูกค้าส่วนมากไม่ค่อยมาแบบวอล์คอิน แต่เป็นการนัดแนะผ่านช่องทางออนไลน์ นัดวันกันเรียบร้อยถึงจะมา โดยส่วนมากเป็นเช่นนั้น และส่วนน้อยที่เดินดุ่มๆ มาสักก็หวังให้เจ้าของร้านลงเข็มให้

เธอมั่นใจว่าตัวเองก็ทำได้ไม่แย่ แต่เหมือนจะไม่เป็นที่ยอมรับจากคนอื่นๆ เท่าที่ควร วันๆ จึงมีหน้าที่ดูแลร้านให้ถิรมัน ออกแบบลายสักเพื่อเป็นทางเลือกให้กับลูกค้า จะได้ลงมือสักเองก็นานทีปีหน ส่วนมากเป็นพวกเด็กวัยรุ่นที่อยากลองสัก ถิรมันจึงใช้พวกนั้นเป็นหนูทดลองให้แก่ลูกจ้างคนนี้

มันก็ออกมาดี แต่ให้ดีเท่าถิรมันเป็นคนทำคงเป็นไปได้ยาก เธอเข้าใจ รอยสักอยู่ติดตัวไปทั้งชีวิต ใครๆ ก็อยากให้มันออกมาสวยถูกใจ เพราะเธอเองก็มีรอยสักอยู่ตามเนื้อตามตัวไม่ใช่น้อย

เนินอก ข้อมือ แขน ต้นคอ กกหู แผ่นหลัง หน้าท้อง สีข้าง ข้อเท้า และอีกสารพัดจุดที่สามารถสักได้ เธอไม่เคยลังเลที่จะวาดลวดลายลงบนผิวหนัง เรื่องนี้นับเป็นความชื่นชอบเดียวที่เธอมีก็ว่าได้

เพราะนอกจากการสัก ชีวิตนี้ก็ไม่เหลืออะไรให้รู้สึกชอบอีกแล้ว

สาวน้อยช่างสักในชุดเสื้อกล้ามสีขาวเข้าคู่กับกางเกงยีนขาสั้น อาศัยช่วงเวลาว่างระหว่างวันในการออกแบบลายสัก เสียงเพลงเบาๆ ถูกเปิดคลอเพื่อสร้างบรรยากาศ ทว่าประตูกระจกที่ถูกเปิดโดยคนด้านนอกก็เรียกความสนใจให้ต้องหันไปมอง ริมฝีปากถูกเม้มเข้าหากันอย่างทันท่วงทีที่สายตาสบเข้ากับคนมาใหม่

เสือเข้ม...บุคคลผู้เข้าออกคุกเป็นว่าเล่น และเป็นถึงลูกน้องคนสนิทของ ‘ชายผู้นั้น’

“วันนี้เสี่ยกลับมาแล้ว เลิกงานให้ไปหาเสี่ยที่บ้าน”

หญิงสาวรับคำในลำคอไปส่งๆ เพื่อยุติบทสนทนาให้ไวที่สุด

“ถ้าไม่ติดขัดอะไร รับสายเสี่ยด้วย”

“น้องทำงานอยู่ค่ะ ปิดเสียงไว้”

เธอเห็นตั้งแต่สายแรกยันสายที่สาม หรือสี่ ก็ไม่แน่ใจนัก แต่ไม่มีสักนิดที่คิดอยากรับสายเพื่อพูดคุยกับเจ้านายของคนตรงหน้า ตอนได้ข่าวว่าจะไปทำธุระกงการที่เชียงราย เธอยังแอบแช่งให้ตกเหวตายอยู่ทุกลมหายใจ มีหรือที่เห็นสายเรียกเข้าของคนพรรค์นั้นแล้วจะกดรับ

ฝัน-ไป-เถอะ

ชายฉกรรจ์ไม่ได้ตอบอะไร เพียงตวัดสายตาคมเข้มมองสาวน้อยที่เจ้านายหมายปองอยู่เกือบนาที คนถูกมองก็เลิกคิ้วสูงเป็นเชิงถาม ทว่าก็ไร้วาจาใดที่เสือเข้มจะเอื้อนเอ่ย แล้วเขาก็เดินจากไป ทิ้งไว้เพียงลมหายใจหนักๆ ของช่างสักที่กระแทกไล่หลัง

เมื่อได้อยู่คนเดียวอีกครั้ง เธอก็เริ่มลงมือทำงานต่อ ช่วงนี้เธอสนใจรูปงู จึงพยายามออกแบบเกี่ยวกับงูเป็นส่วนใหญ่ มีคนที่เลือกลายของเธอไปใช้จริงๆ ออกมาสวยงามน่าพึงพอใจทั้งลูกค้า ทั้งช่างสักและคนออกแบบ ได้แต่หวังว่าสักวันหนึ่งเธอจะได้สักลายที่ตนออกแบบให้คนอื่นและได้รับคำชมอย่างล้นหลาม เหมือนอย่างที่ถิรมันได้รับ

รอยสักทุกรอยของเธอเป็นผลงานของเขา และรอยต่อไปก็เช่นกัน เธอตั้งใจจะให้พี่ชายสักงูให้สักตัว

ประมาณเที่ยงครึ่งเธอก็วางมือจากงานที่ทำอยู่ เพื่อออกไปซื้อข้าวให้ทั้งตัวเองและเจ้านายที่ร้านอาหารตามสั่งร้านประจำ อาจจะเพราะเป็นเวลานี้ รถจึงเยอะผิดหูผิดตา แต่ดูอย่างไรวันนี้ก็ดูจะเยอะเป็นพิเศษ

หญิงสาวกวาดตามองดูซีดานหรูสัญชาติยุโรปหลากหลายคันที่จอดอยู่หน้าร้าน เป่าปากโต้ลมอย่างนึกทึ่ง...ผู้ดีที่ไหนหนอช่างติดดิน กินข้าวข้างทางกับเขาก็เป็นแฮะ

มอเตอร์ไซค์จอดลงหน้าร้าน ใช้สายตาสอดส่องไปด้านในก็เห็นว่าที่นั่งถูกจับจองเกือบหมด ดีหน่อยที่เธอมักซื้อกลับไปทานที่ร้านสัก ไม่อย่างนั้นคงประหม่าน่าดู

เธอไม่ได้เป็นโรคกลัวคนหรืออะไรทำนองนั้น แค่ชื่นชอบการอยู่กับคนหมู่น้อยที่สนิทใจ

ร่างระหงก้าวเดินเข้าไปในร้านอาหารตามสั่ง ทุกๆ การขยับกายของหญิงสาวเรียกสายตาของผู้คนให้หันไปมองได้เป็นอย่างดี สายลมเอื่อยๆ พัดปะทะผิวกายจนผมสีดำขลับปลิวมาปรกหน้า มือบางจึงยกขึ้นมาปัดป่ายเส้นผมให้พ้นใบหน้านวล

หารู้ไม่ การกระทำนั้นสามารถสะกดสายตาคนมองได้เป็นอย่างดี

“โพธารามนี่มันเมืองคนสวยสมคำร่ำลือจริงๆ”

ดิฐากรโพล่งขึ้น แต่ใครเล่าจะกล้าออกความคิดเห็น ในเมื่อมีเจ้าของหัวใจนั่งขนาบข้างกันทุกคน จะเว้นก็เสีย ‘คนโพธาราม’ ด้วยกันเองที่ยังคงครองโสดไม่ต่างจากผู้พูด

อรัณย์ปรายตามองคนมาใหม่เพียงครู่สั้นๆ ก่อนจะหันกลับไปทิศทางเดิม ทำราวกับคนสวยที่เพิ่งย่างกรายเข้ามาไม่น่ามองน่าแลสักนิด

คนมาใหม่ใช่ว่าจะไม่รับรู้ถึงสายตาคนรอบข้าง จึงพยายามไม่หันไปสบตาใครเข้า มุ่งตรงไปหาแม่ค้าอย่างไม่รีรอ “ของน้องเป็นข้าวผัดกุ้ง ส่วนของพี่จีนเป็นผัดพริกไข่ดาวไม่สุกค่ะ”

หญิงวัยกลางคนเงยหน้าจากกระทะมามองเจ้าของเสียง ระบายยิ้มให้ลูกค้าขาประจำอย่างเป็นมิตร อีกไม่นานแม่เด็กนี่จะเป็นหนึ่งในคนใหญ่คนโตของพื้นที่ ด้วยอิทธิพลของคนที่กำลังจะเป็นสามีของเธอแล้ว หล่อนย่อมต้องดีต่อแม่ช่างสักไว้

“ผัดพริกหยวกหรือผัดพริกแกงล่ะ”

“อ้าว น้องไม่ได้ถามมาด้วย เขาสั่งแค่ผัดพริก” ระหว่างนั้นเธอก็ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือ “เดี๋ยวน้องโทร. ถามก่อนแล้วกันค่ะ”

“ได้ๆ นั่งรอก่อนนะ วันนี้ลูกค้าเยอะ”

สาวน้อยช่างสักพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม หมุนตัวไปหวังจะจับจองที่นั่งที่ยังว่าง มือก็ถือโทรศัพท์แนบหูไว้เพื่อรอสาย ขณะนั้นเอง สายตากลับปะทะเข้ากับใครบางคน...ใครบางคนที่แม้ไม่ได้เจอกันนานหลายปี เธอก็ยังจำเขาได้

พี่ชายคนนั้น...คนที่ชื่ออาร์ม

⋆ ˚。⋆୨୧˚ ˚୨୧⋆。˚ ⋆

นิยายชุด ‘เธอ...’ ที่เกี่ยวข้องกัน

➊ เธอ...ที่ไม่น่าไปหลงรัก (จัด X ผักกาด)

↬Status :: จบแล้ว

➋ เธอ...ที่ไม่โปรดปราน (โปรด X อัสมา)

↬Status :: จบแล้ว

➌ เธอ...ที่ไม่เข้าตา (เฉื่อย X ก้าน)

↬Status :: จบแล้ว

➍ เธอ...ที่ไม่คิดจะรัก (อาร์ม X ตี้)

↬Status :: จบแล้ว *มี EBOOK*

➎ เธอ...ที่ใจมิใฝ่หา (ดิน X มิ้ม)

↬Status :: จบแล้ว *มี EBOOK*

➏ เธอ...ที่ต้องสงสัยว่าจะไม่ถูกรัก (ใบ X เอื้อ)

↬Status :: จบแล้ว *มี EBOOK*

อ่านต่อ

หนังสืออื่นๆ ของ BVMEOW

ข้อมูลเพิ่มเติม

หนังสือที่คุณอาจชอบ

เมียผมน่ารักจัง

เมียผมน่ารักจัง

Penn Tofallis
4.9

กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"

ข้าคือดาวมงคลน้อยหลินลู่ฉี

ข้าคือดาวมงคลน้อยหลินลู่ฉี

มาชาวีร์
4.5

เมื่อยมทูตหน้าใหม่ดึงวิญญาณมาผิดดวง เพื่อรักษาไว้ซึ่งสมดุลของโลกวิญญาณ หลินลู่ฉีผู้มีปราณมงคลในยุคปัจจุบัน จึงถูกส่งไปยังต่างโลก สวมร่างเด็กน้อยวัยสามขวบ ที่เพิ่งถูกงูกัดตายด้านหลังอารามเต๋า เจ้าอาวาสไม่อาจยอมรับวิญญาณสวมร่างได้ แต่เมื่อขับไล่วิญญาณร้ายออกจากร่างกายไม่ได้ จึงจำเป็นต้องขับไล่คน ออกจากอารามแทน ++++ "อนิจจาวาสนาเด็กน้อยได้ดับสิ้นลงแล้ว จี้คงเตรียมพิธีสวดส่งวิญญาณให้นางเถอะ" นักพรตเฒ่าสั่งการลูกศิษย์ตัวน้อย หันหลังหมายจะเดินกลับไปยังที่พักของตน "ขอรับท่านอาจารย์" จี้คงขานรับคำสั่ง หันไปเตรียมสิ่งของสำหรับทำพิธีสวดส่งวิญญาณผู้ตาย ทว่าผ่านไปเพียงอึดใจเดียว "อ๊ากกก ! มีผี !" เสียงกรีดร้องดังลั่น ร่างเล็ก ๆ ของเขาวิ่งไปหลบอยู่ด้านหลังผู้เป็นอาจารย์ "จี้คงมีอะไร" "นะนางลืมตาขอรับท่านอาจารย์" เด็กน้อยชี้นิ้วสั่น ๆ ไปที่ศพบนพื้น "ว่าอย่างไรนะ" นักพรตเฒ่ารีบตรงไปคุกเข่าอยู่ด้านข้างศพ เห็นเปลือกตาของนางขยับไปมา ก่อนจะปรือลืมขึ้นอย่างลำบากยากเย็น "นี่มัน...เป็นไปไม่ได้" รีบคว้าข้อมือของเด็กน้อยมาจับชีพจรดู ดวงตาของนักพรตเฒ่ามืดมนลงในทันที แตะนิ้วทำนายชะตา นี่มันคือการสลับร่างเปลี่ยนวิญญาณ ดึงตัวลูกศิษย์ถอยหลังไปสามก้าว "ผีร้ายตนไหนกล้ามาสวมร่างคนตาย จงออกไปเสีย !" ผีร้ายที่ว่ากำลังมึนงงกับเหตุการณ์ตรงหน้า จำได้ว่าเธอกำลังขับรถกลับบ้าน ใช่แล้ว เกิดอุบัติเหตุขึ้น มีรถบรรทุกเสียหลัก พุ่งมาชนรถของเธอ จากนั้นทุกอย่างก็ดับวูบไป ท่าทางเหม่อลอยไร้สติของนางทำนักพรตเฒ่าหวาดระแวงในทันที เตรียมหยิบยันต์ป้องกันภูตผีออกมา ขณะที่เด็กน้อยยกฝ่ามือของตัวเองขึ้นเพ่งมองอย่างประหลาดใจ ดวงตาคู่กลมน้อยกลอกกลิ้งไปมาอย่างสับสน นิ้วมือสั้น ๆ นี่มันอะไร ขยับปลายเท้าเข้าหากัน ขาก็สั้น พลิกฝ่ามือตัวเองไปมา สีหน้าคล้ายคนอยากร้องไห้ นี่มันโลกถล่มใส่หัวของเธอหรืออย่างไรกัน เปรี๊ยะ ! ยันต์ขับไล่ภูตผีถูกปาใส่นางสุดแรง ก่อนที่มันจะปลิวร่อนลงไปกองอยู่บนพื้น ยันต์ไม่เกิดการเผาไหม้ ผีร้ายยังคงอยู่ในร่างกายของเด็กน้อย "เจ้า ๆ ๆ ออกไปจากร่างของนางเดี๋ยวนี้ !" นักพรตเฒ่าชี้นิ้วพร้อมดึงยันต์สายฟ้าฟาดออกมาอีกแผ่น นี่นับเป็นยันต์ที่ทรงพลังที่สุดของเขาแล้ว รีบปาใส่เด็กน้อยสุดแรง เปรี๊ยะ ! ทว่าไร้ผลอยู่ดี... ตาเฒ่านี่เล่นตลกอะไรกัน... [นิยาย3เล่มจบ 252ตอน]

หยางเสี้ยว หนูน้อยหัวใจแกร่ง

หยางเสี้ยว หนูน้อยหัวใจแกร่ง

จิ้งจอกสะท้านหม้อไฟ
5.0

มังกร หนุ่มหล่อหน้าใสลูกชาวไร่ชาวนา อายุ 22 ปี ที่ได้รับทุนเรียนดีจนจบมหาวิทยาลัย ได้แบกร่างกายพาหัวใจอันแตกสลายกลับบ้านเกิดทันทีในวันที่จบการศึกษา เพราะบิดามารดาได้เสียชีวิตกระทันหันทั้งคู่หลังจากกลับจากการนำข้าวไปขายและโดนสิบล้อที่เบรคแตกเสียหลักพุ่งชนรถของพ่อแม่ของมังกร เมื่อสูญเสียพ่อและแม่ไปอย่างกระทันหันเขาจึงกลับบ้านเกิดเพื่อไปทำไร่ทำนาสานฝันของพ่อแม่และนำความรู้ที่ได้เรียนมากลับมาพัฒนาที่ดินมรดกในบ้านเกิด หากแต่ว่ามังกรยังไม่ทันได้ทำอะไรเขากลับตายลงอย่างไม่ทันตั้งตัว ตายแบบไม่ตั้งใจและไม่เต็มใจที่สุด เขาจำได้เพียงแค่ว่าหลังจากเดินทางกลับมาถึงบ้านเกิดเขาได้ไปไหว้พ่อกับแม่ที่วัดในหมู่บ้าน แล้วก็กลับมานอนแต่พอเขากลับตื่นขึ้นมาในร่างของเด็กชาย อายุ 8ขวบ กับบ้านพุๆพังๆ เขาตื่นมาในร่างของคนอื่นไม่พอ แล้วเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่นี่มันที่ไหน และใครพาเขามา แล้วมังกรจะทำยังไงต่อไปกับชีวิตที่อยู่ในร่างเด็กชายยากจนคนนี้ มาติดตามชีวิตใหม่ของมังกรกันต่อไปค่ะ

หลินซือเยว่ผู้นี้ มีสามชะตาในคราเดียว

หลินซือเยว่ผู้นี้ มีสามชะตาในคราเดียว

มาชาวีร์
5.0

หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง

บท
อ่านเลย
ดาวน์โหลดหนังสือ
เธอ...ที่ไม่คิดจะรัก
1

บทที่ 1 ปฐมบทคนไม่คิดจะรัก

01/08/2024

2

บทที่ 2 ว่าที่สตรีหมายเลขสาม (1)

01/08/2024

3

บทที่ 3 ว่าที่สตรีหมายเลขสาม (2)

01/08/2024

4

บทที่ 4 ว่าที่สตรีหมายเลขสาม (3)

01/08/2024

5

บทที่ 5 ว่าที่สตรีหมายเลขสาม (4)

01/08/2024

6

บทที่ 6 ว่าที่สตรีหมายเลขสาม (5)

01/08/2024

7

บทที่ 7 ดั่งเจ้านกโผบิน (1)

01/08/2024

8

บทที่ 8 ดั่งเจ้านกโผบิน (2)

01/08/2024

9

บทที่ 9 ดั่งเจ้านกโผบิน (3)

01/08/2024

10

บทที่ 10 ดั่งเจ้านกโผบิน (4)

01/08/2024

11

บทที่ 11 ดั่งเจ้านกโผบิน (5)

01/08/2024

12

บทที่ 12 เพียงผีเสื้อขยับปีก (1)

13/08/2024

13

บทที่ 13 เพียงผีเสื้อขยับปีก (2)

13/08/2024

14

บทที่ 14 เพียงผีเสื้อขยับปีก (3)

13/08/2024

15

บทที่ 15 เพียงผีเสื้อขยับปีก (4)

13/08/2024

16

บทที่ 16 เพียงผีเสื้อขยับปีก (5)

13/08/2024

17

บทที่ 17 มุมอับอันลับดาว (1)

13/08/2024

18

บทที่ 18 มุมอับอันลับดาว (2)

13/08/2024

19

บทที่ 19 มุมอับอันลับดาว (3)

13/08/2024

20

บทที่ 20 มุมอับอันลับดาว (4)

13/08/2024

21

บทที่ 21 มุมอับอันลับดาว (5)

13/08/2024

22

บทที่ 22 เขตปกครองพิเศษ (1)

13/08/2024

23

บทที่ 23 เขตปกครองพิเศษ (2)

13/08/2024

24

บทที่ 24 เขตปกครองพิเศษ (3)

13/08/2024

25

บทที่ 25 เขตปกครองพิเศษ (4)

13/08/2024

26

บทที่ 26 เขตปกครองพิเศษ (5)

13/08/2024

27

บทที่ 27 สวมรอยพระเอก (1)

13/08/2024

28

บทที่ 28 สวมรอยพระเอก (2)

13/08/2024

29

บทที่ 29 สวมรอยพระเอก (3)

13/08/2024

30

บทที่ 30 สวมรอยพระเอก (4)

13/08/2024

31

บทที่ 31 สวมรอยพระเอก (5)

13/08/2024

32

บทที่ 32 พ่อหนุ่มนาเกลือ (1)

13/08/2024

33

บทที่ 33 พ่อหนุ่มนาเกลือ (2)

13/08/2024

34

บทที่ 34 พ่อหนุ่มนาเกลือ (3)

13/08/2024

35

บทที่ 35 พ่อหนุ่มนาเกลือ (4)

13/08/2024

36

บทที่ 36 พ่อหนุ่มนาเกลือ (5)

13/08/2024

37

บทที่ 37 พี่มีแต่ให้พี่มีแต่ยอม (1)

13/08/2024

38

บทที่ 38 พี่มีแต่ให้พี่มีแต่ยอม (2)

13/08/2024

39

บทที่ 39 พี่มีแต่ให้พี่มีแต่ยอม (3)

13/08/2024

40

บทที่ 40 พี่มีแต่ให้พี่มีแต่ยอม (4)

13/08/2024