เจ้าสาวลวงรัก

เจ้าสาวลวงรัก

B.J.BEN

5.0
ความคิดเห็น
834
ชม
21
บท

เพราะเป็นตัวซวยของครอบครัว เธอจึงถูกส่งไปอยู่กับยาย แต่ย่าผู้เกลียดชังของเธอก็ขอให้เธอแต่งงานกับคู่หมั้นของพี่สาวฝาแฝด เธอจำต้องรับเงื่อนไขของผู้เป็นย่าเพราะคุณยายป่วยหนัก เพื่อยื้อชีวิตของคุณยายที่รักและดูแลเธอมาตลอด ดังนั้นเธอจึงยอมแต่งงานกับเขา

บทที่ 1 1

ท้องฟ้าสีคราม ท้องน้ำสะท้อนแสงแดดยามเช้าอันแสนสดใส บ้านเรือนไทยหลังใหญ่ตั้งอยู่ริมลำคลองอันเงียบสงบ ห่างไกลจากความวุ่นวายของเมืองใหญ่ ขวัญเนตรนั่งอยู่ที่โต๊ะไม้เก่าๆ ข้างๆ คุณยายที่เลี้ยงดูเธอมาแต่อ้อนแต่ออด นอกจากจะมีม้านั่งไม้ยาวที่ตั้งอยู่ข้างบ้าน บ้านเรือนไทยยังถูกตกแต่งด้วยไม้ลวดลายไทยแบบดั้งเดิมที่แสดงถึงความงามของวัฒนธรรมโบราณ

“ช่วงนี้คนสั่งขนมกันเยอะมากเลยนะคะคุณยาย” ขวัญเนตรพูดกับผู้เป็นยาย

ขวัญเนตรเพิ่งเรียนจบด้านวิทยาศาสตร์การอาหารมาจากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง

เธอตั้งใจว่าเรียนจบ จะกลับอยู่ดูแลคุณยายที่บ้าน เปิดร้านขายขนมเล็ก ๆ สร้างอาชีพให้ตัวเอง เพราะคุณยายไม่มีใคร เธอไม่อยากทิ้งท่านเอาไว้เพียงลำพัง อีกอย่างเธอก็รับจ๊อบทำวิจัยให้กับอาจารย์มหาวิทยาลัย แต่ช่วงนี้ไม่มีงาน เธอจึงรับออร์เดอร์ขนมมาทำแทน

“ใช่จ้ะ เพราะเรานั่นแหละหาลูกค้าให้ยาย”

คุณยายพูดเสียงอ่อนโยน แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่น มือหยาบกร้านจากการทำงานหนักทั้งชีวิตหยิบจับทุกอย่างด้วยความคล่องแคล่ว จัดการกับวัตถุดิบและเครื่องมือทำขนมอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

ขวัญเนตรหันไปมองคุณยายด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักและเคารพ

“ลูกค้าสั่งขนมตาลมากเป็นพิเศษค่ะคุณยาย เพราะติดใจฝีมือของคุณยาย” ขวัญเนตรยิ้มให้กับคุณยาย สายตาของเธอเต็มไปด้วยความรักใคร่

“ขนมตาลต้องหอมหวานและนุ่มนิ่ม มะพร้าวก็ต้องหอมหวานมันอร่อย ไม่แก่จนเกินไป ไม่อ่อนจนเกินไป” คุณยายพูดไปพลางหยิบลูกตาลโตนดที่เพิ่งเก็บมาจากต้นข้างบ้านมาจัดการเตรียมเอาไว้

ขวัญเนตรเริ่มเตรียมวัสดุและอุปกรณ์ข้างๆ คุณยาย เธอรู้ดีว่าแต่ละขั้นตอนนั้นสำคัญมาก การทำขนมไทยไม่ใช่แค่การผสมแป้งและน้ำตาล แต่มันคือการทำให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ รักษาความอร่อยและความสมบูรณ์แบบตามวิธีดั้งเดิม

“ต้องใส่น้ำตาลโตนดจากต้นที่เราเพิ่งเก็บมาเมื่อวานนี้นะจ๊ะ เพราะมันหวานและหอมที่สุด” คุณยายบอกกับหลานสาวพลางจัดการคนแป้งกับน้ำตาลอย่างชำนาญ

ขวัญเนตรหันไปมองน้ำในคลองที่ใสสะอาด และแสงแดดยามเช้าที่เริ่มส่องผ่านต้นไม้ใหญ่ไปกระทบกับผิวน้ำ ทำให้เกิดภาพที่งดงามและสงบเงียบ เธอรู้สึกเหมือนว่าเวลาเดินไปช้าๆ ผ่อนคลายและมีความสุขอย่างประหลาด

การทำขนมไทยกับคุณยายเป็นเหมือนการเชื่อมต่อกับอดีตที่เต็มไปด้วยความทรงจำดี ๆ ระหว่างเธอกับท่าน

เมื่อก่อนคุณยายหาบขนมไปขายที่ตลาด บ้างก็รับทำขนม เธอไปช่วยขายขนมแต่เด็ก รู้จักผู้คนแถวนี้ดี ใคร ๆ ก็ติดใจขนมไทยโบราณของคุณยายแทบทั้งสิ้น

“เดี๋ยวทำเสร็จแล้ว ก็เก็บลงในตะกร้าหวาย แล้ววางให้เย็นก่อน เพราะถ้ายังอุ่นอยู่มันจะไม่คงตัว”

ขวัญเนตรทำตามขั้นตอนทุกอย่าง อย่างระมัดระวัง คอยใส่ใจทุกรายละเอียด

บรรยากาศในบ้านเรือนไทยริมคลองช่างอบอุ่นและผ่อนคลาย

เสียงน้ำไหลในคลองและเสียงนกร้องท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ที่ตั้งอยู่ริมชายฝั่งเพิ่มความสุขใจให้กับวันนั้น แม้แต่สายลมที่พัดผ่านก็ยังทำให้รู้สึกเหมือนกับเวลาผ่านไปอย่างช้าๆ และทุกอย่างที่เกิดขึ้นในบ้านหลังนี้เป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำที่ไม่อาจลืมเลือน

"จำไว้นะ ทำทุกอย่างด้วยความรัก ความพยายาม ความใจเย็น แล้วขนมจะออกมาหอมหวานอร่อยเสมอ" คุณยายบอกอีกครั้งขณะมองดูหลานสาวกำลังทำงานด้วยความตั้งใจ

ขวัญเนตรยิ้มรับ ตั้งใจทำขนมตาลอย่างแข็งขัน คุณยายของเธอทำขนมได้หลากหลาย แล้วแต่ลูกค้าจะสั่ง หากมีจำนวนมากก็จะเริ่มเตรียมกันตั้งแต่เย็นของอีกวัน เช่นขนมใส่ไส้ที่ต้องเตรียมตัดใบตอง และไม้กลัดให้มีขนาดห่อเท่า ๆ กัน

ขณะที่ขวัญเนตรกำลังตั้งใจผสมแป้งและน้ำตาลตามขั้นตอนที่คุณยายบอกอย่างระมัดระวัง มือเล็กๆ ของเธอกำลังปั้นขนมตาลอย่างพิถีพิถัน ทุกอย่างดูเหมือนจะ

ราบรื่นจนกระทั่งคุณยายล้มหมดสติลงใกล้ๆ กับที่เธอนั่งอยู่

“คุณยาย... คุณยายเป็นอะไรไปคะ” ขวัญเนตรถามด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก ใบหน้าของท่านเริ่มซีดจนเห็นได้ชัด

“คุณยาย!” ขวัญเนตรร้องเสียงหลง รีบประคองร่างของคุณยายขึ้นมา แต่มันหนักเกินกว่าที่เธอจะรับไหว

หญิงสาวรู้สึกเหมือนโลกทั้งโลกกำลังจะหยุดหมุน

ขวัญเนตรรู้ตัวว่าต้องการความช่วยเหลือ เธอวิ่งออกไปที่หน้าบ้าน รีบตะโกนเรียกหาคนช่วยจากบ้านข้างๆ แต่ในขณะเดียวกันนั้น มือของขวัญเนตรก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจากกระเป๋าและรีบโทร. เรียกรถพยาบาลโดยด่วน

ขวัญเนตรรีบวิ่งกลับไปหาคุณยาย เธอจับมือคุณยายไว้แน่น พลางพูดด้วยเสียงสะอื้น

“คุณยาย... อย่าเป็นอะไรนะคะ เดี๋ยวรถฉุกเฉินก็มาแล้วค่ะ” ภายในใจของขวัญเนตรเต็มไปด้วยความกลัว ความกังวล ความหวาดหวั่นจนแทบขาดใจ แต่เธอพยายามตั้งสติให้มากที่สุด คุณยายได้ให้ชีวิตและความรักกับเธอมากมาย เธอไม่อยากให้ท่านเป็นอะไรไป

เพื่อนบ้านมาช่วยประคองคุณยายเอาไว้ พร้อมทั้งช่วยกันปฐมพยาบาล

ในเวลาต่อมา รถพยาบาลก็มาถึงบ้านเรือนไทยริมคลอง เจ้าหน้าที่การแพทย์ช่วยหามคุณยายขึ้นเปลในทันที ขวัญเนตรตามไปติดๆ ด้วยหัวใจสั่นไหว ไม่รู้จะทำอะไรได้มากไปกว่าการมองดูคุณยายถูกพาขึ้นรถ

อ่านต่อ

หนังสืออื่นๆ ของ B.J.BEN

ข้อมูลเพิ่มเติม
วิวาห์คลั่งรัก

วิวาห์คลั่งรัก

สมัยใหม่

5.0

เมื่อโชคชะตาบังคับให้เขาและเธอซึ่งเป็นคู่กัดต้องกลายเป็นคู่แต่งงานแบบสายฟ้าแลบ! ระหว่างอดีตที่เต็มไปด้วยการปะทะคารม กับปัจจุบันที่ต้องใช้ชีวิตร่วมชายคา... เรื่องวุ่น ๆ จึงเริ่มต้นขึ้น ตั้งแต่แปรงสีฟันยันหัวใจ เขา...ผู้ชายเจ้าเล่ห์ ขี้แกล้ง และขี้หวงอย่างหนัก เธอ...หญิงสาวปากแข็ง ขี้ประชด แต่แอบอ่อนโยนในทุกความใส่ใจ จากบ้านไม้ริมคลอง กลายเป็นสนามรักและสงครามขนาดย่อม ที่ไม่มีใครยอมใคร แต่หัวใจสองดวงกลับเริ่มเปลี่ยนไปทีละนิด... เพราะบางที...โชคชะตาอาจไม่ได้บังคับ แต่มันอาจกำลังพาเขาและเธอ... กลับมายังที่ที่เรียกว่า "บ้าน" ด้วยกัน

คู่หมั้นไร้เสน่หา

คู่หมั้นไร้เสน่หา

โรแมนติก

5.0

เมื่อข่าวฉาวบิดเบือนเปลี่ยนหญิงสาวให้กลายเป็นคนที่เขาเกลียด และเมื่อคำสัญญาเก่าของผู้ใหญ่ พาเธอกลับมาในฐานะ ‘คู่หมั้น’ ที่เขาไม่ต้องการ ลลิล สาวสวยผู้สง่างามและเข้มแข็ง ต้องเผชิญแรงกดดันจากคนในครอบครัว รวมถึง กวิน ชายหนุ่มผู้เย็นชา ผู้มองเธอด้วยสายตาดูแคลน…แต่ไม่อาจละสายตาได้เลย ในความเงียบงันระหว่างพวกเขา...กลับมี ‘หัวใจ’ ที่ค่อย ๆ เรียนรู้กันอย่างไม่รู้ตัว จากความเข้าใจผิด กลายเป็นความผูกพัน จากการดูแคลน กลายเป็นการปกป้อง และจาก ‘คู่หมั้นไร้เสน่หา’ กลายเป็น ‘ผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขารัก’

หนังสือที่คุณอาจชอบ

หลินซือเยว่ผู้นี้ มีสามชะตาในคราเดียว

หลินซือเยว่ผู้นี้ มีสามชะตาในคราเดียว

มาชาวีร์
5.0

หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง

สามีเป็นถึงเศรษฐีพันล้าน

สามีเป็นถึงเศรษฐีพันล้าน

Davin Howson
5.0

ในวันแต่งงาน เจ้าบ่าวของเฉียวซิงเฉินหนีไปกับผู้หญิงอีกคน เธอโกรธมาก จึงสุ่มหาชายคนหนึ่งมาแต่งงานด้วยทันที "ตราบใดที่คุณกล้าแต่งงานกับฉัน ฉันก็ยอมเป็นเมียคุณ" หลังจากแต่งงาน เธอได้ค้นพบว่าสามีของเธอคือลูกชายคนโตของตระกูลลู่ที่ขึ้นชื่อว่าไร้ประโยชน์ ชื่อลู่ถิงเซียว ทุกคนเยาะเย้ยว่า "เธอยนี่ช่วยไม่ได้จริงๆ" และผู้ชายที่ทรยศเธอก็มาเกลี้ยกล่อมว่า "ไม่เห็นต้องทำร้ายตัวเองเพราะฉันหรอก สักวันเธอต้องเสียใจแน่ๆ" เฉียวซิงเฉินหัวเราะเยาะและโต้ตอบว่า "ไปให้พ้น ฉันกับสามีรักกันมาก" ทุกคนต่าก็คิดว่าเธอเป็นบ้า ไปแล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อตัวตนที่แท้จริงของลู่ถิงเซียวถูกเปิดเผย ที่แท้เขาเป็นคนรวยอันดับต้นๆในโลก ในการถ่ายทอดสดทั่วโลก ชายคนนี้คุกเข่าข้างเดียว ถือแหวนเพชรมูลค่าหลักพันล้าน และพูดช้าๆ ว่า "คุณภรรยา ชีวิตที่เหลือนี้ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ"

ลิขิตรักภรรยาตัวร้าย

ลิขิตรักภรรยาตัวร้าย

จิ้งจอกสะท้านหม้อไฟ
5.0

เว่ยจื้อโหยวลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งพบว่าตนอยู่ในยุคสมัยที่ไม่คุ้นเคยสิ่งรอบกายดูโบราณล้าหลัง โลกโบราณที่ไม่มีในประวัติศาสตร์โลก ยังไม่ทันได้เตรียมใจก็ถูกส่งให้ไปแต่งงานกับชายยากจนที่ท้ายหมู่บ้าน สาเหตุที่เว่ยจื้อโหย่วถูกส่งมาให้แต่งงานกับชายที่ขึ้นชื่อว่ายากจนที่สุดในหมู่บ้านนั้น เพราะนางเกิดไปต้องตาต้องใจเศรษฐีผู้มักมากในกามเข้า เพื่อหาทางหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกบ้านใหญ่ขายไปเป็นอนุภรรยาของเศรษฐีเฒ่า พ่อแม่ของนางจึงยอมแตกหักจากบ้านใหญ่และท่านย่าที่เห็นแก่ตัวและลำเอียงเป็นที่สุด ด้วยเหตุนี้พ่อแม่ของนางจึงตัดสินใจยกนางให้กับอวิ๋นเซียว ชายหนุ่มที่แสนยากจนข้นแค้น ที่เพิ่งเสียบิดามารดาไป อีกทั้งยังทิ้งน้องชายน้องสาวเอาไว้ให้เขาเลี้ยงดู นอกจากนี้ยังมีป้าสะใภ้มหาภัยที่คอยแต่จะมารังแกเอารัดเอาเปรียบสามพี่น้อง สิ่งที่ย่ำแย่ที่สุดไม่ใช่ป้าสะใภ้มหาภัย แต่ มันคืออะไรแต่งงานนางไม่ว่ายังไม่ทันได้เข้าหอสามีหมาดๆ ก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารในสงครามระหว่างแคว้น มันไม่มีอะไรเลวร้ายไปมากว่านี้อีกแล้วสำหรับ เว่ยจื้อโหยว หากสามีทางนิตินัยของนางตายในสนามรบ ก็ไม่เท่ากับว่านางเป็นหม้ายสามีตายทั้งที่ยังบริสุทธิ์หรอกหรือ แถมยังต้องเลี้ยงดูน้องชายน้องสาวของอดีตสามีอีก สวรรค์เหตุใดถึงได้ส่งนางมาเกิดใหม่ในที่แบบนี้

บท
อ่านเลย
ดาวน์โหลดหนังสือ