ซีรีส์คู่รักข้างรั้ว

ซีรีส์คู่รักข้างรั้ว

B.J.BEN

5.0
ความคิดเห็น
ชม
22
บท

"มะนาว" ครูสอนโยคะสายสุขภาพที่รักความสงบ ย้ายมาอยู่บ้านใหม่หวังจะมีชีวิตเรียบง่าย…แต่ดันต้องเจอเพื่อนบ้านข้างรั้วอย่าง "ภูผา" วิศวกรหนุ่มเสียงดังที่ชอบทำอะไรปั่น ๆ จนเธอหงุดหงิดไม่เว้นแต่ละวัน เสียงเพลง เสียงเลื่อย เสียงหัวเราะของเขา คือสิ่งที่เธออยากปิดประตูหนี แต่แปลก…เมื่อไรที่มันหายไป หัวใจกลับโหวงเหวงราวกับขาดอะไรบางอย่าง รั้วที่กั้นอาณาเขต อาจกั้นบ้านได้…แต่กั้นหัวใจไม่ได้เลย

บทที่ 1 1

เสียงใบไม้เสียดสีกันในยามเช้าเหมือนคนกระซิบปลอบใจ มะนาววางเสื่อโยคะสีเขียวบนชานไม้หน้าบ้านใหม่ สูดลมหายใจยาว ๆ ให้ปอดรับกลิ่นดินชื้นหลังฝนเมื่อคืน ทั้งซอยเงียบสงบ มีเพียงเสียงนกเขาไกล ๆ จนกระทั่ง

เสียงกีตาร์ที่ดังขึ้นทำให้ความสุขสงบจางหายไปในทันที

มะนาวนิ่งค้างในท่าภูเขา ค่อย ๆ หันไปทางรั้วไม้สีน้ำตาลด้านข้างที่สูงท่วมหัว เพลงดังจนรู้สึกถึงจังหวะบนพื้นเสื่อ

โอเค... เพื่อนบ้านคนใหม่ของเธอคงตื่นเช้าเพื่อซ้อมคอนเสิร์ตกลางสนามหญ้า

“สูดลมเข้า เอาความหัวร้อนออก” เธอกระซิบกับตัวเอง พยายามผ่อนลมหายใจยาว ๆ อีกครั้ง

เสียงกีตาร์ลากยาวพลิ้วลงสู่ท่อนฮุค เสียงร้องชายสดใสและดังพุ่งตามมา

“โอ๊ย!” มะนาวถึงกับสะบัดมือ หลุดจากท่าต้นไม้ เกือบเสียหลักเหยียบกระถางโรสแมรี

โทรศัพท์ดังขัดอารมณ์ เธอจิ้มรับสาย

“ว่าไงแหวนแก้ว”

เสียงหัวเราะของเพื่อนสนิทดังมาตามสาย

“ย้ายบ้านใหม่เป็นไงบ้างคะ แม่ครูโยคะสายสงบ”

“สงบมาก ถ้าตัดเสียงคอนเสิร์ตลานเบียร์ข้างรั้วทิ้งไปได้” มะนาวตอบหน้าตาย กรอกตาไปมา พลางถอนหายใจยาวเหยียด

“อ้าว” แหวนแก้วลากเสียงยาว

“ไหน ๆ เปิดลำโพงให้ฟังหน่อย”

มะนาวยกโทรศัพท์ขึ้นเหนือหัว เสียงดนตรีทะลุผ่านลำโพงโทรศัพท์จนปลายสาวหัวเราะคิก

“ได้ยินยัง”

“อืม....” แหวนแก้วครางรับ

“อย่าเพิ่งหงุดหงิด ใจร่ม ๆ เข้าไว้ ต่อไปอาจจะเป็นเพื่อนบ้านที่ดี ได้คุยกันทุกวัน”

“ใครจะคุยกับหมอนั่นกัน” มะนาวกลอกตาไปมา

“ฉันวางก่อนนะ ขอไปสงบสติอารมณ์ก่อน”

“โอเคจ้ะ” แหวนแก้วตอบรับเสียงหวาน

มะนาวกดวางสาย พยายามดึงสติกลับมาที่ลมหายใจ แต่ท่อนโซโล่กีตาร์ก็ไต่โน้ตลื่นปรื๋อจนความสงบไต่ตามไม่ทัน ในที่สุดมะนาวตัดใจม้วนเสื่อโยคะ พับความหวังเรื่องเช้าอันเงียบสงบเอาไว้ แล้วเดินลงบันไดไปยังหน้าบ้าน

ประตูไม้บานเล็กที่รั้วฝั่งข้าง ๆ เปิดออกพอดี ผู้ชายรูปร่างสูงในเสื้อยืดสีเทาเปื้อนคราบน้ำมันยืนกอดกองสายไฟไว้เต็มสองแขน แถมยังมีหูฟังพาดคออยู่

เขาชะงักเมื่อเห็นมะนาว

“สวัสดีครับ” เขาเอ่ยทักทาย เธอสะบัดหน้าหนี

“เพลงดังไปหน่อย ขอโทษทีครับ”

“หน่อย” มะนาวยิ้มสุภาพแบบกัดฟัน

“มันไม่หน่อยเลยค่ะ”

ชายหนุ่มเกาท้ายทอย

“ผมกำลังเทสต์ลำโพงที่ซ่อมอยู่ ดันลืมปรับโวลุ่ม ถ้าอย่างนั้นต้องขอโทษอีกครั้งครับ รอบหน้าจะพยายามเบาลงนะครับ”

“ขอบคุณค่ะ” มะนาวตั้งใจว่าจะจบแค่นี้ แต่สายตากลับไปจับที่ป้ายชื่อบ้านฝั่งโน้น

“บ้านภูผา” ตัวอักษรไม้แกะสลักติดอยู่บนกำแพง เธอพึมพำ

“ภูผา”

“ครับ” เขาเงยหน้าขึ้นมายิ้ม ดวงตาเป็นประกายซน ๆ

“ชื่อบ้านเพราะดีค่ะ” เธอเผลอชม

“ฉันมะนาว เพิ่งย้ายมาอยู่บ้านหลังนี้ ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ”

“ผมภูผาครับ ยินดีต้อนรับเพื่อนบ้านใหม่ครับ ถ้ามีอะไรให้ช่วยบอกได้เลยนะครับ หรือถ้าเสียงรบกวนก็ตะโกนบอกได้นะครับ”

“ตะโกนยังไงก็ไม่น่าจะชนะลำโพงพี่หรอกค่ะ” เธอยิ้มบาง แต่ปลายเสียงสะบัดนิด ๆ ทำเอาภูผาต้องหัวเราะออกมา

“โอเค ผมจะปรับปรุงครับ” ว่าแล้วเขาก็ยกกองสายไฟกลับเข้าบ้าน เพลงเงียบลงอย่างน่าอัศจรรย์ ซอยกลับมาสงบเฉียบจนได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเอง

มะนาวถอนใจอย่างโล่งอกและเขินนิด ๆ กับความปากกล้าของตัวเอง เธอกลับขึ้นชานบ้าน คลี่เสื่ออีกครั้ง ตั้งใจจะเริ่มท่าใหม่อย่างใจเย็น คราวนี้มีความนิ่งสมใจ ท้องฟ้าสดใสขึ้นเรื่อย ๆ จนแดดอุ่น ๆ ลูบไล้ผิวแก้มเบา ๆ

สายหน่อย มะนาวขับรถคันเล็กออกไปซื้อของเข้าบ้าน ร้านชำหัวมุมซอยมีป้ายผ้าสีซีดปลิวไหว เธอผลักประตูไม้เข้าไปอย่างเบามือ

“อ้าว หน้าคุ้น ๆ บ้านใหม่ท้ายซอยนั่นใช่ไหมหนู” ชายวัยห้าสิบกว่าในเสื้อเชิ้ตลายสก็อตเอ่ยทักทาย

“ยินดีต้อนรับจ้ะ”

“สวัสดีค่ะลุง หนูชื่อมะนาวค่ะ เพิ่งย้ายมาเมื่อวาน” เธอยิ้ม

“ขอซื้อนม ขนมปัง ไข่ แล้วก็ปลั๊กพ่วงค่ะ”

“ได้ ๆ” ลุงชัยขยับตัวอย่างคล่องแคล่ว หยิบของทีละอย่าง

“บ้านใหม่ใกล้ ๆ ภูผาใช่ไหม”

มะนาวชะงัก

“ลุงรู้ได้ไงคะ”

“รู้สิ” ลุงหัวเราะอย่างภูมิใจ

“ไอ้ภูมันเสียงดัง ใครอยู่ข้าง ๆ ต้องมีบ่น”

ลุงชัยวางปลั๊กพ่วงลงบนเคาน์เตอร์

“เสียงดังจริงค่ะ” เธอเห็นด้วย ก่อนหัวเราะแห้ง ๆ จ่ายเงินแล้วรีบหิ้วถุงกลับ

บ่ายวันเดียวกัน เธอขนกล่องหนังสือขึ้นชั้นบน พอวางกล่องสุดท้ายก็ปวดช่วงหลังจนต้องยืดตัว พลันได้ยินเสียงเครื่องยนต์หน้าบ้าน เธอโผล่หน้าไปจากหน้าต่าง เห็นภูผากำลังยืนเปิดฝากระโปรงรถตัวเอง มือหนึ่งคีมคีบสายไฟ อีกมือจับไฟฉาย เขาเงยหน้ามาพอดี

“ทำอะไรอยู่ครับ ให้ช่วยไหม” เพราะได้ยินเสียง เขาคิดว่าเธอน่าจะกำลังขนของอยู่

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันอุ๊ย!” กล่องอีกใบลื่นจากมือ ตุ้บ! หนังสือโยคะกับสมุดวาดรูปปลิวกระจาย

“ให้ช่วยไหมครับ” ไม่ทันขาดคำ ภูผาก็โผล่มาที่บันไดหน้าบ้าน

“ระวังหลังนะครับ เดี๋ยวช่วยยก” เขาหยิบกล่องขึ้นด้วยท่าทางสบาย ๆ

“ขอบคุณค่ะ” มะนาวยืนกอดสมุดแนบอก

“เมื่อตอนเช้าบ่นพี่ไปเยอะเลย ขอโทษนะคะ”

“ไม่เป็นไรเลยครับ ผมผิดเอง เปิดเพลงดังจริง” เขายิ้ม

“ขอโทษแทนลำโพงด้วย”

มะนาวเผลอยิ้มตาม

“รับทราบค่ะ” ทั้งสองช่วยกันยกของขึ้นชั้นบนสี่ห้าเที่ยว คุยกันเรื่องต้นไม้ในสวนและเส้นทางวิ่งออกกำลังในหมู่บ้าน ภูผาเอ่ยถึงหมาจรหน้าปากซอยชื่อข้าวปั้นที่เขาแอบซื้อไส้กรอกให้ประจำ ทำให้เขาดูอ่อนโยนขี้เล่นในเวลาเดียวกัน เมื่อจัดของเรียบร้อย ภูผาก็เช็ดเหงื่อเบา ๆ

อ่านต่อ

หนังสืออื่นๆ ของ B.J.BEN

ข้อมูลเพิ่มเติม
ซีรีส์สามีกะทันหัน

ซีรีส์สามีกะทันหัน

โรแมนติก

5.0

จาก "เพื่อนบ้านห้องข้าง ๆ" ที่ไม่เคยกินเส้นกัน กลับกลายเป็น "คนบนเตียงเดียวกัน" เพียงเพราะค่ำคืนที่เมามาย เขา จิตรกรอิสระสายหน้ามึน ที่ชอบทำอาหาร วาดรูป และกวนหัวใจเธอทุกวัน เธอ นักเขียนสาวปากแข็ง ที่พยายามบอกตัวเองว่าไม่สนใจเขา ทั้งที่หัวใจเต้นแรงทุกครั้งที่โดนกอด จากการงอแงเรียกร้องความรับผิดชอบ กลายเป็นการตามตื้อจนได้อยู่ห้องเดียวกัน จากคำว่า "คู่กัด" กลายเป็น "คู่ชีวิต" ที่หวานจนทะเลยังต้องอาย "ข้าวเช้าวันนี้ ฉันทำให้เธอเอง" "อย่ามาทำเป็นแฟนฉันนะ!" "ไม่ต้องทำเป็นหรอกฉันเป็นจริง ๆ" เรื่องราวรักวุ่น ๆ ปนร้อนแรงของคนสองคน ที่เริ่มจากความกวน แต่จบลงด้วยความรักสุดหัวใจ

นิยายชุด ทาสรักคุณชายมาเฟีย

นิยายชุด ทาสรักคุณชายมาเฟีย

โรแมนติก

5.0

1. ทาสรักคุณชายมาเฟีย เธอ... ชมพูพริ้ง คุณหนูผู้เพียบพร้อมทั้งรูปลักษณ์ ฐานะ และการศึกษา กลับต้องตกกระไดพลอยโจนเข้าไปช่วยชายแปลกหน้าที่บาดเจ็บกลางตรอก ไม่รู้เลยว่าคืนนั้น จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของพันธนาการหัวใจ... เขา... คมน์ เคมินธาดา มาเฟียหนุ่มทายาทธุรกิจพันล้าน ผู้ไม่เคยศรัทธาในคำว่ารัก แต่หลังจากคืนที่เธอช่วยชีวิต เขากลับนอนไม่หลับถ้าไม่มีเธออยู่ข้างกาย หนึ่งคนหนีเพราะกลัวหัวใจตัวเองจะหวั่นไหว อีกคนกลับตามตื้ออย่างแนบเนียนในชื่อของ "การทำงาน" จากผู้ช่วยจำเป็น... กลายเป็นคนที่ขาดไม่ได้ เมื่อศัตรูทางธุรกิจกลายมาเป็นคู่ชีวิต และความรักครั้งนี้ไม่ใช่แค่เกมมาเฟีย แต่คือ "ชีวิตทั้งชีวิต" ของเขา "ผมไม่ได้อยากได้คุณมาเป็นลูกน้อง ผมอยากได้คุณมาเป็นเมียต่างหาก คุณหนูชมพูพริ้ง" 2. เจ้าาสาวนิรนาม เธอ...หญิงสาวที่ยอมแต่งงานกับมหาเศรษฐีหนุ่มเพราะ โชคชะตาและหนี้สิน เขา...ทายาทหนุ่มผู้ไม่เชื่อในดวงชะตา มองว่าการแต่งงานนี้เป็นแค่เรื่องไร้สาระ แต่ใครจะรู้ว่า... เจ้าสาวที่ไร้ตัวตนในใจของเขา จะกลายเป็นคนเดียวที่เขารักหมดใจ ห้าปีแห่งสัญญาและความห่างเหิน เมื่อโชคชะตาเล่นตลกให้ทั้งคู่ต้องกลับมาอยู่ใต้หลังคาเดียวกันอีกครั้ง หัวใจที่เคยเย็นชาเริ่มละลายลงทีละน้อย จากเจ้าสาวจำเป็น... กลายเป็น "เจ้าสาวตัวจริง" ที่เขาอยากครอบครองตลอดไป แต่เมื่อถึงวันที่เธอขอ "หย่า" เขาจึงเพิ่งรู้ว่า สิ่งที่กลัวมาตลอดไม่ใช่การแต่งงาน...แต่คือการ "เสียเธอไป" 3. เจ้าสาวอนุรักษ์ เธอ… "ศิริลดา" หญิงสาวที่ต้องแต่งงานกับคู่หมั้นซึ่งไม่เคยเจอหน้า เขา… "อนุรักษ์" ชายหนุ่มผู้สูญเสียการมองเห็นจากอุบัติเหตุ การแต่งงานที่เริ่มจาก "หน้าที่" กลับกลายเป็นเรื่องราวที่อบอุ่นที่สุดในชีวิต เพราะในความมืดที่เขาเผชิญ มีเพียงเสียงหัวเราะและมืออบอุ่นของเธอที่คอยนำทาง และในวันที่เขา "มองเห็นอีกครั้ง" เขากลับเลือกจะ "แกล้งมองไม่เห็น" เพื่อจะพิสูจน์ว่าผู้หญิงคนนี้ รักเขาจากใจจริงหรือแค่สงสาร แต่สิ่งที่เขาได้เห็น ไม่ใช่เพียง "ใบหน้า" ของเธอ หากคือ "หัวใจ" ที่สว่างกว่าทุกแสงในโลก เรื่องราวของชายตาบอดปากแข็ง กับหญิงสาวฉลาดอบอุ่น ที่คอยปราบพยศกันด้วยเสียงหัวเราะ ความห่วงใย และความรัก จะทำให้คุณยิ้ม อมยิ้ม และอบอุ่นหัวใจ "ในวันที่มืดมิด...เธอคือแสงสว่างเดียวที่เขาเห็น" "ในวันที่มองเห็น เขาก็ยังอยากมองเห็นแค่เธอคนเดียว"

หนังสือที่คุณอาจชอบ

ทะลุมิติมาเป็นภรรยาตัวน้อยของสามีพิการ

ทะลุมิติมาเป็นภรรยาตัวน้อยของสามีพิการ

มาชาวีร์
4.8

เจ้าของร่างเดิมถูกท่านย่าตัวเอง ขายให้ชายพิการด้วยเงินเพียงห้าตำลึง จึงคิดสั้นไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทำให้วิญญาณของเซี่ยซือซือทะลุมิติมาเข้าร่างแทน ชีวิตในโลกนี้บิดามารดาล้วนตายไปแล้ว เหลือเพียงน้องสาวกับน้องชายร่างกายผอมแห้งหิวโซสองคน เธอต้องช่วยพวกเขาให้รอด ก่อนจะถูกคนชั่วพวกนี้ขายทิ้งไปแบบเธอ 1 : ทะลุมิติ แคว้นจ้าว หมู่บ้านตระกูลแซ่อวี่ ภายในบ้านสกุลเซี่ย “ท่านพี่รีบกินเร็วเข้า” เสียงเด็กเล็กดังก้องอยู่ข้างหูอย่างน่ารำคาญ ว่าแต่ฉันมีน้องชายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน รู้สึกได้ถึงอะไรแข็ง ๆ มาแตะที่ริมฝีปาก ทว่ายังลืมตาไม่ขึ้น “ท่านพี่กินสิ ๆ” เซี่ยซือซือรู้สึกหนักอึ้งไปทั้งศีรษะ พยายามที่จะเปิดดวงตาขึ้นมอง เจ้าของเสียงเล็ก ๆ ด้านข้าง “ท่านพี่ ๆ ท่านพี่อย่าตายนะ ลืมตาสิท่านพี่” “นังตัวดีออกมาเดี๋ยวนี้นะ !” เสียงเอะอะโวยวายดังหนวกหูเซี่ยซือซือเป็นอย่างมาก ปัง ๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรื่อย ๆ เซี่ยซือซือลืมตาขึ้นจนได้ พลันสมองกลับมีเรื่องราวพรั่งพรูเข้ามาไม่ขาดสาย จนต้องกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด อ๊าก ! “พี่รอง !” เด็กน้อยเซี่ยซือหยางในวัยสามหนาวเรียกพี่สาวพร้อมเบะปากอยากร้องไห้ “ท่านพี่ !” เซี่ยซานซานทิ้งบานประตูที่ตัวเองดันไว้ หันกลับมาดูพี่สาวด้วยความตกใจ “ท่านพี่ ๆ ท่านเป็นอะไร อย่าทำให้พวกข้าตกใจสิท่านพี่ !” ผลัวะ ! มีคนถีบประตูบานเก่าผุพังเข้ามาภายในห้อง เด็กทั้งสองรีบเข้าไปขวางผู้บุกรุกไม่ให้ทำร้ายพี่สาว แม่เฒ่าเซี่ย เซี่ยจิ่วเม่ย หน้าตาแลดูดุร้าย ไม่ใช่หญิงชราใจดีแต่อย่างใด ด้านหลังของแม่เฒ่าเซี่ยยังมีลูกสะใภ้บ้านใหญ่ กับบ้านรองเดินตามมา ท่าทางดุดันเอาเรื่อง “ไอ้พวกบ้านสามตัวดี กล้าลักขโมยอาหารเอาไว้กินเอง ยังเห็นแม่เฒ่าอย่างข้าอยู่ในสายตาหรือไม่ ไอ้พวกหมาป่าตาขาว ดูซิวันนี้ข้าจะจัดการพวกเจ้าอย่างไร” “ท่านย่าพวกข้าไม่ได้ขโมยนะ นี่เป็นหมั่นโถวของท่านพี่ ท่านพี่ไม่สบายข้าแค่เก็บไว้ให้ท่านพี่เท่านั้นเอง” เซี่ยซานซานยังเป็นเด็กหญิงวัยสิบหนาว แต่นางข่มความกลัวตอบโต้ผู้ใหญ่ในบ้านออกไป “หึ กฎบ้านก็มีบอกอยู่แล้วถ้าพลาดมื้ออาหารไปก็คืออด แต่พวกเจ้ากลับแหกกฎ แอบยักยอกอาหารเก็บไว้กินเอง ยังมีหน้ามาเถียงท่านแม่อีก ท่านแม่ท่านต้องลงโทษคนบ้านสามนะเจ้าคะ ไม่เช่นนั้นข้าไม่ยอมจริง ๆ ด้วย ตอนนั้นยวี่เฟยของข้านางได้พลาดมื้อเย็นไป ท่านก็ไม่ให้นางกินนะเจ้าคะ” สะใภ้บ้านรองนามว่าจงอี้ซิน ย้อนรำลึกถึงเรื่องลูกสาววัยแปดปีของตัวเองขึ้นมา “ดูเจ้าเด็กพวกนี้สิท่านแม่ กางแขนปกป้องพี่สาวตัวเอง ช่างน่าสมเพชไม่รู้จักสำเหนียกกำลังตัวเอง ถุย !” หลินพ่านเอ๋อสะใภ้บ้านใหญ่มองดูเด็กทั้งสองพร้อมถ่มน้ำลายใส่ตรงหน้า แม่เฒ่าเซี่ยมองลูกสะใภ้ทั้งสองสลับกันไปมา เดินตรงไปกระชากหมั่นโถวเย็นชืดแถมแข็งปานหิน ออกจากมือของเซี่ยซือหยาง “แง ๆ ๆ” เด็กน้อยถูกแย่งของกินของพี่สาวไป ถึงกับแผดเสียงร้องลั่น “เจ้าคนชั่ว ! เอามานะ ของท่านพี่ข้า” กำปั้นน้อย ๆ ทุบไปยังต้นขาของแม่เฒ่เซี่ย “เจ้าเด็กเนรคุณกล้าตีข้ารึ นี่นะ !” แม่เฒ่าเซี่ยเตะทีเดียวเซี่ยซือหยางก็กระเด็นไปติดกับผนังห้อง “น้องเล็ก !” เซี่ยซานซานรีบวิ่งไปอุ้มน้องชายขึ้นมากอดไว้ด้วยความตกใจ “ท่านย่า น้องเล็กยังเด็กไม่รู้ความ เหตุใดท่านถึงได้ใจร้ายเช่นนี้” “แง ๆ ๆ” เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยฟังแล้วน่าสงสารจับใจ ดวงตาที่ปิดไว้ก่อนหน้าของเซี่ยซือซือ ลืมขึ้นหลังจากค้นพบว่า ตัวเองได้ทะลุมิติมายังอดีตอันไกลโพ้นแล้วจริง ๆ หลังจากหลับตาลืมตาอยู่หลายหน เรียบเรียงความคิดที่ไหลเข้ามาไม่ยอมหยุด เมื่อค่อย ๆ จัดการกับมันได้ ความเจ็บปวดที่ศีรษะก่อนหน้าจึงบางเบาลง และมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเฉยชา ครบสูตรของการทะลุมิติจริง ๆ มีท่านย่าผู้ชั่วร้าย ขนาบข้างด้วยป้าสะใภ้เลวทั้งสอง ครั้นหันไปมองน้องสาวในวัยสิบขวบของตัวเองกับน้องชายตัวน้อย ทั้งตัวดำเมี่ยมเหมือนไม่ได้อาบน้ำมาเป็นเดือน ร่างกายผอมแห้งเหลือแต่กระดูก เสื้อผ้าเก่าขาดมีรอยปะชุนเต็มไปหมด เส้นผมแห้งกรังเหมือนไม่ผ่านน้ำมานาน ยกมือของตัวเองขึ้นมาดู ไม่ได้มีสภาพต่างกันแม้แต่น้อย ครั้นเงยหน้ามองป้าสะใภ้ใหญ่ร่างกายอวบอ้วนเต็มไปด้วยก้อนไขมัน ป้าสะใภ้รองแม้ไม่ได้อ้วนแต่ก็ไม่ได้ผอม ยิ่งแม่เฒ่าเซี่ยด้วยแล้ว ร่างกายบึกบึนเหมือนคนกินดูอยู่ดีมาตลอด “ท่านแม่ดูอาซือมองท่านสิเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่เห็นสายตาเย็นเยียบของคนที่นอนอยู่บนเตียงก็อดแปลกใจไม่ได้ ดูเยือกเย็นจนไม่น่าไว้ใจ “เจ้าอย่าคิดว่ากระโดดน้ำตายแล้วทุกอย่างจะจบนะอาซือ ข้ารับเงินคนบ้านถานมาแล้ว ถ้าเจ้าตายข้าจะให้อาซานไปแทนเจ้า” คำพูดของแม่เฒ่าเซี่ยทำให้ดวงตาของเซี่ยซือซือเบิกกว้าง ท่านย่าของนางขายนางให้คนบ้านถานในราคาแค่ห้าตำลึง เจ้าของร่างเดิมไม่อยากไปเป็นเมียคนพิการ เลยไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทว่าเธอที่มาจากยุคปัจจุบันกลับเข้ามาแทนที่เจ้าของร่างนี้ เจ้าของร่างเดิมว่ายน้ำไม่เป็น จึงได้ขาดอากาศตายใต้น้ำ แต่เธอที่เข้ามาสวมร่างกลับพาร่างนี้ขึ้นมาจากน้ำได้ โชคชะตาคงเล่นตลกให้เธอกับเจ้าของร่างเดิมมีชื่อเดียวกัน “ท่านย่าอาซานยังเด็กนัก ท่านอย่าได้ทำเช่นนั้นเลย” นานมากกว่าที่นางจะเอ่ยออกมา “มันอยู่ที่เจ้าอาซือ ข้าขอเตือนเอาไว้ อีกสองวันคนบ้านถานจะมารับตัวเจ้าแล้ว อย่าให้เกิดเรื่องขึ้น ไม่อย่างนั้นข้าจะส่งอาซานไปแทนเจ้า แล้วขายซือหยางทิ้งเสีย” แม่เฒ่าเซี่ยจ้องหน้าเซี่ยซือซือแบบอาฆาต เด็กนี่ก่อนหน้าดูอ่อนแอไร้ทางสู้ ทำไมวันนี้ถึงได้ดูแปลกตาไปนัก “ท่านแม่เจ้าคะ ท่านจะลงโทษคนบ้านสามเรื่องหมั่นโถวนี่อย่างไรเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่ยังไม่ยอมปล่อยสามพี่น้องไปง่าย ๆ “พรุ่งนี้งดอาหารบ้านสาม” แม่เฒ่าเซี่ยเอ่ยแล้วหันหลังเดินออกจากห้องของเด็กน้อยทั้งสามไป โดยมีสะใภ้ใหญ่เดินตามไปด้วย “พวกเจ้าได้ยินแล้วใช่ไหม จำใส่หัวเอาไว้ดี ๆ ด้วยล่ะ” สะใภ้รองหมุนตัวตามหลังไปติด ๆ “ท่านพี่ต่อไปท่านอย่าทำเช่นนี้อีกนะเจ้าคะ ข้ากับน้องเล็กจะทำอย่างไร ถ้าท่านไม่อยู่” เซี่ยซานซานปล่อยเสียงร้องไห้ในทันที

ทางใหม่ เริ่มใหม่

ทางใหม่ เริ่มใหม่

Beckett Grey
4.5

ซ่งจิ่งถังรักฮั่วอวิ๋นเซินอย่างลึกซึ้งนานถึงสิบห้าปี แต่ในวันที่เธอคลอดลูกกลับตกอยู่ในอาการโคม่า ขณะที่ฮั่วอวิ๋นเซินกระซิบข้างหูเธออย่างอ่อนโยนว่า "ถังถัง อย่าฟื้นขึ้นมาอีกเลย สำหรับฉัน เธอไม่มีค่าอะไรอีกแล้ว" ซ่งจิ่งถังเคยคิดว่าสามีของเธอเป็นคนอ่อนโยนและรักใคร่ตัวเอง แต่จริงๆ แล้วเขามีแต่ความเกลียดชังและใช้ประโยชน์จากเธอเท่านั้น และลูกๆ ที่เธอเสี่ยงชีวิตให้กำเนิด กลับเรียกหญิงสาวคนอื่นว่า 'แม่' ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนต่อหน้าที่เตียงคนไข้ของเธอ เมื่อซ่งจิ่งถังฟื้นขึ้นมา สิ่งแรกที่เธอทำคือการตัดสินใจหย่าขาดอย่างเด็ดขาด! แต่หลังจากหย่าแล้ว ฮั่วอวิ๋นเซินจึงเริ่มตระหนักว่า ชีวิตที่ผ่านมาของเขาเต็มไปด้วยเงาของซ่งจิ่งถัง หญิงคนนี้กลายเป็นความเคยชินของเขา เมื่อพบกันอีกครั้ง ซ่งจิ่งถังปรากฏตัวในที่ประชุมในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ เธอเปล่งประกายจนทุกคนต้องหันมามอง หญิงคนนี้ที่เคยมีแต่เขาในใจ บัดนี้กลับไม่แม้แต่จะมองเขาอีก ฮั่วอวิ๋นเซินคิดว่าเธอแค่ยังโกรธอยู่ ถ้าเขาเอ่ยปากพูดนิดหน่อย ซ่งจิ่งถังจะต้องกลับไปหาเขาแน่นอน เพราะเธอรักเขาหมดหัวใจ แต่ต่อมา ในงานหมั้นของผู้นำคนใหม่ของตระกูลเพ่ย เขาเห็นซ่งจิ่งถังสวมชุดแต่งงานหรูหรา ยิ้มอย่างเปี่ยมสุขและกอดแน่นเพ่ยตู้พร้อมสายตาที่เต็มไปด้วยความรักใคร่ ฮั่วอวิ๋นเซินอิจฉาจนแทบคลั่ง เขาตาแดงก่ำและบีบแก้วจนแตก เลือดไหลไม่หยุด...

การจากลาครั้งที่เก้าสิบเก้า

การจากลาครั้งที่เก้าสิบเก้า

Gavin
5.0

ครั้งที่เก้าสิบเก้าที่ ‘เจต’ ทำให้ฉันใจสลาย คือครั้งสุดท้ายของเรา เราสองคนเคยเป็นคู่รักดาวเด่นของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ รัชดา อนาคตของเราถูกวางแผนไว้อย่างสวยหรูว่าจะเข้าเรียนที่จุฬาฯ ด้วยกัน แต่แล้วในช่วงปีสุดท้ายของม.ปลาย เขากลับไปหลงรักผู้หญิงคนใหม่ที่ชื่อ ‘แคท’ เรื่องราวความรักของเรากลายเป็นละครน้ำเน่าราคาถูกที่น่าเบื่อหน่าย เต็มไปด้วยการทรยศของเขาและการขู่ว่าจะเลิกอย่างไร้ความหมายของฉัน ในงานเลี้ยงจบการศึกษา แคท ‘บังเอิญ’ ดึงฉันตกลงไปในสระว่ายน้ำกับเธอ เจตกระโดดลงไปช่วยโดยไม่ลังเลแม้แต่วินาทีเดียว เขากลับว่ายผ่านฉันที่กำลังตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอดไปอย่างไม่ใยดี แล้วโอบแขนรอบตัวแคทก่อนจะพาเธอขึ้นจากสระอย่างปลอดภัย ขณะที่เขาช่วยพยุงเธอขึ้นจากสระ ท่ามกลางเสียงเชียร์ของเพื่อนๆ เขาหันกลับมามองฉันที่ตัวสั่นเทา มาสคาร่าไหลเป็นทางสีดำอาบแก้ม “ชีวิตเธอ ไม่ใช่ปัญหาของฉันอีกต่อไป” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาเหมือนน้ำในสระที่ฉันกำลังจะจมดิ่งลงไป คืนนั้นเอง บางสิ่งในตัวฉันก็แตกสลายลงอย่างสมบูรณ์ ฉันกลับบ้าน เปิดโน้ตบุ๊ก และคลิกปุ่มยืนยันสิทธิ์เข้าศึกษาต่อ ไม่ใช่ที่จุฬาฯ กับเขา แต่เป็นมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ คนละฟากฝั่งของกรุงเทพฯ

บท
อ่านเลย
ดาวน์โหลดหนังสือ