Login to MeghaBook
icon 0
icon เติมเงิน
rightIcon
icon ประวัติการอ่าน
rightIcon
icon ออกจากระบบ
rightIcon
icon ดาวน์โหลดแอป
rightIcon
5.0
ความคิดเห็น
96
ชม
12
บท

ดวงใจในไอรัก...เป็นเรื่องราวของ ‘บรูซ’ และ ‘คิมซอนมิน’ สองศิลปินชื่อดังจากทางฝั่งฮอลลีวู้ดและเกาหลีใต้ พวกเขาเจอกันเพราะงานภาพยนตร์ที่มีโอกาสได้เล่นร่วมกัน วินาทีแรกที่สองหนุ่มสบตาทั้งคู่ก็รู้เลยว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติ พวกเขาตกหลุมรักกัน ซึ่งมันเป็นความรักต้องห้ามที่ไม่มีวันจะมาบรรจบกันได้ ทั้งสองจะทำอย่างไรในเมื่อหัวใจได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ซ้ำยังปัญหาร้อยแปดประการที่โถมใส่พวกเขาจนยากที่จะหาทางออก มาร่วมกันค้นหาบทสรุปของบรูซและคิมซอนมินกันนะครับ “ผะ...ผมทำให้ชีวิตคุณ ขะ...เขวหรือเปล่า” “ทะ...ทำไมคุณถึงพูดอย่างนั้นล่ะ ?” ซอนมินตกใจ หันขวับมาจ้อง “อะ...อนาคตคุณกำลังจะไปได้สวย ตะ...แต่พอเราเจอกันทุกอย่างก็วูบดับลง” “บะ...บรูซ !!!” “...” “คะ...คุณอย่าพูดอย่างนี้อีกนะ ผมไม่เคยมีความคิดอะไรแบบนี้เลย !” “ฮะ...ฮึก...” บรูซสะอึกสะอื้น “คุณเองก็ยังยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อผมเหมือนกัน มะ...ไม่ใช่เหรอ ?” “ชะ...ใช่ครับ ตะ...แต่มันต่างกัน ผะ...ผมอยู่ในวงการนี้มาตั้งแต่สามขวบ ผิดกับคุณ...ที่เพิ่งจะสร้างชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมาได้ไม่กี่ปี คะ...คุณไม่เสียดายหรือไง !” ซอนมินจอดรถตรงข้างทาง ตะโกนก้องด้วยความเจ็บช้ำ “ทะ...ทำไมคุณถึงดูถูกความรู้สึกผมขนาดนี้ !!!” “ฮือออออ...” ที่สุดแล้วนักแสดงหนุ่มก็ร้องไห้โฮ ละล่ำละลักอย่างหมดอาย “ผะ...ผมกลัว กะ...กลัวจะเสียคุณไปไง !”

บทที่ 1 แรกพบสบตา

นิวยอร์ก วันที่ 3 มีนาคม

บูรซ ไปเปอร์ นักแสดงฮอลลีวู้ดชื่อดังเดินทางมายังบริษัทค่ายหนังยักษ์ใหญ่อย่าง ‘World C Entertainment’ พร้อมกับโรส ผู้จัดการส่วนตัว

ชายหนุ่มร่างสูงเพรียวลม ผิวขาวจัด ผมทอง นัยน์ตาสีฟ้าใส ใบหน้าหล่อเหลาราวกับเทพบุตร วัยเพียงยี่สิบห้าปี ก้าวเดินฉับๆ ตรงไปที่ห้องประชุมกลัวว่าจะไปไม่ทัน

“ไม่ต้องรีบก็ได้บรูซ เดี๋ยวหกล้ม !” โรส...สาวใหญ่วัยสี่สิบปี ผมฟูฟ่อง แต่งตัวสไตล์สาวโบฮีเมียนติง หวั่นใจเหลือเกินว่านักแสดหนุ่มในสังกัดจะเกิดอุบัติเหตุเข้า

“เหลืออีกกี่นาทีครับ ?” หากเสียงนุ่มหวานสมกับใบหน้าอ่อนเยาว์กว่าวัยกลับถามมาด้วยความร้อนรน

“ห้านาทีจ้ะ แต่ถึงเราจะไปสายก็ไม่มีใครเขากล้าว่าหรอก”

“ไม่ได้หรอกพี่ เสียชื่อผมหมด ตั้งแต่เข้าวงการมาผมไม่เคยมาสายเลย จะมาพลาดแค่รถติดตรงทางเข้าบริษัทได้ยังไง”

“จ้ะๆ” โรสอดยิ้มชื่นชมหนุ่มน้อยตรงหน้าเธอไม่ได้

‘บรูซ ไปเปอร์’ คือ ดาราเด็กที่เป็นตัวประกอบจากภาพยนตร์หายนะเรือล่มเมื่อยี่สิบปีก่อนแต่กลับเป็นที่รู้จักในวงกว้าง เพียงไม่กี่ปีเจ้าหนูน้อยก็ประสบความสำเร็จจากการเล่นหนังครอบครัวที่มีธีมหลักเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเทศกาลคริสต์มาส ก่อนจะโด่งดังถึงสุดขีดสุดในภาพยนตร์แฟรนไชส์พ่อมดและไตรภาคแวมไพร์ ทำให้ชื่อ ‘บรูซ ไปเปอร์’ กลายเป็นที่ต้องการของผู้สร้างภาพยนตร์มากที่สุดในเวลานี้

ถ้าเรียกไม่ผิด ณ ตอนนี้ บรูซถือเป็นนักแสดงระดับ A-list เทียบชั้น ทอม ครูซ และ แบรด พิตต์ เลยทีเดียว

ไม่นานเกินคอยทั้งสองก็เดินมาถึงประตูทางเข้าห้องประชุมใหญ่

ก๊อกๆๆ

โรสเคาะเรียก ครู่หนึ่ง เจ้าหน้าที่สวมแว่นตาหนาก็เปิดประตูห้องออกแล้วผายมือเชื้อเชิญพวกเขาเข้าไปด้านใน

“เชิญค่ะคุณโรส คุณบรูซ”

“ขอโทษด้วยนะคะที่เกือบมาสาย พอดีรถติดหนักมากตรงปากทางเข้าบริษัท” โรสกล่าวขึ้นต่อหน้าบอร์ดบริหารและทีมงานหลักๆ ในกองถ่ายภาพยนตร์เรื่อง ‘The Warrior’s Respect เดอะ แวริเออร์ส เรสเปก’

“ไม่เป็นไรๆ เชิญๆ คุณโรส ยังไม่สายหรอก เหลืออีกตั้งสี่นาที” เทรเวอร์ ลุยซี...ประธานบริหารค่ายหนังยักษ์ใหญ่เอ่ยร่วนๆ

“ค่ะ” โรสค้อมหัวให้เกร็งๆ ขณะที่บรูซเดินไปทักทายเทรเวอร์

“สวัสดีครับท่าน”

“สวัสดีบรูซ เป็นไงบ้าง ไม่ได้เจอกันเสียนาน” เทรเวอร์ทักทายนักแสดงหนุ่มคนโปรดกลับ หลายต้องหลายครั้งที่เขาเรียกใช้บริการเจ้าหนุ่มคนนี้ซึ่งก็ไม่เคยทำให้ผิดหวัง แถมรายได้จากภาพยนตร์ที่มีบรูซเป็นตัวนำหลักก็มักจะได้เงินถล่มทลายด้วย

“สบายดีครับท่าน” บรูซเช็กแฮนด์กับหนุ่มใหญ่วัยห้าสิบห้าปี ลงพุง แต่งตัวภูมฐาน “ท่านล่ะครับ”

“ตามประสาคนมีอายุนั่นแหละ”

“ท่านยังหล่อและแข็งแรงอยู่เลยครับ ถ้าไม่รู้จักกันผมคงนึกว่าท่านน่าจะอายุสักสามสิบห้า” บรูซกล่าวประจบ

“ฮ่าๆๆ ว่าไปนั่น” เทรเวอร์ตบไหล่หนุ่มคราวลูกเบาๆ อย่างชอบใจ “ไปหาที่นั่งไป ใกล้ๆ กับเดมี่ก็ได้”

“ครับๆ” บรูซพยักหน้ายิ้มๆ แล้วดิ่งตรงไปนั่งใกล้ๆ กับ เดมี่ มัวร์ นักแสดงนำอีกคนหนึ่งของเรื่อง

วันนี้เขามีประชุมใหญ่กับนักแสดงและทีมงานหลักทุกคนในภาพยนตร์เรื่องใหม่ที่เขารับเล่น นอกจากจะมีเดมี่ มัวร์แล้วนักแสดงหลักอีกคนที่พูดถึงไม่ได้ก็คือ แบรด พิตต์ หนุ่มใหญ่รายนี้นั่งตรงข้ามกับเขากำลังพูดคุยอะไรกับผู้กำกับอยู่ ยังไม่มีโอกาสได้ถามไถ่อะไรกัน

“สวัสดีครับเดมี่” บรูซหันมาทักนักแสดงอาวุโสด้วยรอยยิ้มหวาน

“หวัดดีจ้ะบรูซ” ซุปเปอร์สตาร์สาวใหญ่วัยหกสิบปีตอบรับพร้อมยิ้มอ่อนโยน “เป็นยังไงบ้างฮะเรา”

“สบายดีครับ คุณล่ะ”

“สบายดีจ้ะ”

“เราไม่ได้เจอกันเลยนะครับตั้งแต่ The Christmas Party” บรูซว่า

“ช่ายยย นั่นก็ผ่านมาสิบห้าปีแล้วใช่ไหม” เดมี่หัวเราะร่วน

“ใช่ครับ นานมากๆ ฮะๆๆๆ” บรูซร่วมประสมโรง

“แล้วช่วงนี้งานเยอะไหม” เดมี่ชวนคุย

“ปิดกล้องไปสามเรื่องครับ เรื่องที่สี่เพิ่งถ่ายคิวสุดท้ายไปเมื่อปลายเดือนที่ผ่านมานี่เอง”

“โอ้ ฮอตมาก !” เดมี่ยกมือทาบอก ยิ้มกว้างขวาง “พี่ดีใจด้วยนะกับความสำเร็จในอาชีพ”

“ขอบพระคุณมากครับเดมี่” บรูซน้อมรับ มองนักแสดงอาวุโสรายนี้ด้วยความซาบซึ้ง เขาเคยเล่นหนังกับเดมี่มาแล้วหนึ่งเรื่อง พอได้มีโอกาสกลับมาเล่นเป็นแม่ลูกกันอีกครั้งก็ดีใจมาก และแน่นอนบทพ่อก็ต้องเป็นของแบรด พิตต์ นั่นเอง

ไม่เพียงเท่านั้น ภาพยนตร์เรื่อง The Warrior’s Respect ยังได้ศิลปินนักร้องหนุ่มสัญชาติเกาหลีซึ่งฮอตมากในเวลานี้อย่าง ‘คิม-ซอนมิน’ มาร่วมแสดงนำด้วย ทางประธานค่ายหนังอย่างเทรเวอร์จึงต้องการสองศิลปินชื่อดังทั้งสองฝั่งทวีปมาร่วมเล่นภาพยนตร์ทุนสร้างมหาศาลเรื่องนี้ร่วมกันเพื่อดันให้ World C Entertainment ทะยานไปถึงจุดสูงสุด

ตัวเขาเองยังไม่เคยพบกับคิมซอนมินแต่ได้ทำการบ้านมาแล้วเกี่ยวกับนักร้องหนุ่มคนนี้

ในที่สุดประตูห้องประชุมก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง บุคคลที่เข้ามาคือศิลปินเกาหลีคนนั้นกับผู้จัดการส่วนตัวของเขา วินาทีนั้นที่บรูซเห็นคิมซอนมินเหมือนมีบางอย่างเกิดขึ้นในอก

ใบหน้าเขาร้อนวาบ ขณะที่หัวใจเต้นแรงอย่างที่ไม่ทราบสาเหตุ เป็นจังหวะเดียวกับที่นักร้องหนุ่มหันมาปะทะสายตาเข้าพอดี ทำให้บรูซยิ่งหายใจไม่ออก เนื้อตัวเกร็งแข็ง

“บรูซ...” เสียงท่านประทานเทรเวอร์ดังขึ้นเรียกภวังค์ของบรูซกลับมา

“คะ...ครับท่าน”

“เดินมารู้จักกับคิมซอนมินหน่อย”

“ครับ” ชายหนุ่มจึงลุกจากที่นั่งแล้วเดินไปเช็กแฮนด์กับศิลปินหนุ่มเกาหลีผู้มีใบหน้าหวาน ทั้งตา จมูก ริมฝีปากที่รับกันอย่างลงตัว ผิวพรรณขาวหยวก รูปร่างกำยำอย่างคนที่ออกกำลังกายมาหนัก

สองหนุ่มต่างเชื้อชาติวัยเท่ากันสัมผัสมือกันเบาๆ บรูซเป็นฝ่ายที่สะดุ้งก่อนทันทีที่สองมือประสานกันแน่นเพราะรู้สึกถึงกระแสไฟฟ้าที่แล่นผ่านมา เสียงหัวใจของนักแสดงหนุ่มดังกระหน่ำ ใบหน้าเห่อร้อน เขารีบหลุบตาลงขวับ

มะ...มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย !

“สะ...สวัสดีครับ” คิมซอนมินเอ่ยเป็นภาษาอังกฤษ ศิลปินหนุ่มเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน เขาท้องไส้ปั่นป่วน หน้าแดงระเรื่อ หายใจไม่เป็นจังหวะ

“อะ...เอ่อ สะ...สวัสดีครับ ผะ...ผมบรูซครับ”

“ผะ...ผมซอนมินครับ ยะ...ยินดีที่ได้รู้จัก”

“ชะ...เช่นกันครับ” สองหนุ่มจ้องตากันนิ่งงันอยู่อย่างนั้น

“ทำความรู้จักกันเอาไว้นะ เพราะเดี๋ยวจะต้องไปใช้ชีวิตกันในกองถ่ายอีกหลายเดือนเชียว แลกไลน์แลกเบอร์กันเอาไว้” เทรเวอร์แนะนำ

“คะ...ครับๆ” บรูซเลิ่กลั่ก ควานหาโทรศัพท์มือถือส่วนตัวให้วุ่นวาย จากนั้นก็กดหมายเลขเก้าหลักลงในโทรศัพท์คิมซอนมิน เช่นเดียวกับที่ศิลปินหนุ่มก็กดเบอร์มือถือให้บรูซเช่นกัน

“มีอะไรก็กริ๊งกร๊างหากัน ปรึกษาเรื่องงานกันนะ” ประธานค่ายหนัง World C บอก

“คะ...ครับท่าน” บรูซพยักหน้ารับทราบ

“เอาละ ไปนั่งที่ได้”

บรูซเดินกลับมาประจำที่ สายตาเหลือบมองคิมซอนมินตลอด ไม่ต่างอะไรกับที่นักร้องหนุ่มคอยชำเลืองเขา

“ครบองค์ประชุมแล้วก็เริ่มคุยงานกันได้” เทรเวอร์ขยับตัวนั่งหลังตรง “สรุปแล้วเราจะใช้โลเกชั่นที่ไหนกันดี บทเราพร้อมแล้วเหลือแค่สถานที่ถ่ายทำ ส่วนตัวผมอยากได้แถบตะวันออกกลาง เพราะมันมีวิวเมืองกับทะเลทรายที่ตรงกับบทเราพอดี พวกคุณคิดว่ายังไง ?”

อ่านต่อ

หนังสืออื่นๆ ของ แพลงก์ตอน

ข้อมูลเพิ่มเติม
สุดโหดโคตรรัก [Yaoi]

สุดโหดโคตรรัก [Yaoi]

นิยายวาย

5.0

#Yaoi ชีวิตเขาตั้งแต่ที่ได้รู้จักกับไอ้นักโทษแหกคุกในวันนั้นเมื่อห้าปีก่อน ก็เหมือนกับยืนอยู่บนเส้นทางสายกลาง ระหว่างความรู้สึกผิดชอบชั่วดีกับความต้องการของหัวใจ จะรักก็ไม่ได้...จะเกลียดก็ไม่ลง ใช่...มังกรไม่ใช่คนดี เขาเป็นคนเลว เป็นนักโทษ เป็นฆาตกร ซึ่งแน่นอนคนดีๆ กับโจรย่อมอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้อยู่แล้ว ด้วยเหตุผลนี้เอง ทำให้ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาต้องกักเก็บความรักที่เขามีต่อมังกรเอาไว้ภายใน โดยที่เขาไม่สามารถจะแสดงอะไรออกมาให้มังกรเห็นได้เลย รักของเขากับมังกรมันไม่มีทางเป็นไปได้ ไม่ว่าจะทำหรือใช้วิธีไหนก็ตาม !

หัวใจร้ายวิ่งราวรัก

หัวใจร้ายวิ่งราวรัก

โรแมนติก

5.0

เป็นเรื่องราวดราม่าในครัวเรือน เน้นความรักความสัมพันธ์ในครอบครัว ระหว่างพี่น้องทั้ง 5 คน แต่ยังมีกลิ่นอายความรักของหนุ่มสาวที่เป็นพระเอกนางเอกของเรื่องไว้ด้วย ตามสไตล์หนังฝรั่ง --- ฟาร่า เตฮะราน นักร้องสาวสวยชื่อดัง เชื้อสายเบรย์เมนพลอสที่ไปโด่งดังในฮอลลีวู้ด กลับมาบ้านเกิดปีนี้มี ‘บางอย่าง’ กำลังจะเปลี่ยนไป ครั้งหนึ่งเธอเคยทำผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงกับอดีตคนรักเก่าเพื่อแลกกับการเดินตามความฝัน... วันนี้...เธอจึงกลับมาแก้ไขเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นจากการกระทำของตัวเอง ไม่ว่าผลลัพธ์มันจะออกมาเป็นเช่นไร...เธอจะยอมรับมันให้ได้ ดีกว่ามานั่งเสียใจที่ไม่คิดทำอะไรเลย “ยะ...อย่าหลบหน้ากันอีกเลยนะคะ ---” “…” “ฉะ...ฉันกลับมาเพื่อขอโทษคุณ และฉันมา...เพื่อขอโอกาส จะ...จากคุณอีกครั้ง” เธอกลืนลมหายใจสะท้าน รอคอยคำตอบจากเขาแม้เพียงสักนิด “...” ทว่าเขาก็ยังเงียบสนิท ไม่ปริปากใดๆ “คะ...คุณจะให้อภัยฉันได้ไหม ?” “ฮึ ! ไม่มีประโยชน์หรอก คุณกลับไปเสียเถอะ” เสียงทุ้มเย็นชากล่าวขึ้นในท้ายที่สุด “กลับไป...แล้วต่างคนต่างอยู่เหมือนที่เคยทำมาตลอด” “ฉะ...ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้น กะ...กว่าฉันจะตามหาคุณเจอต้องใช้เวลาเกือบสองปี !” ดัรวีชทำสีหน้าเจ็บปวด “คะ...คุณทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร นะ...ในเมื่อตัวคุณเองไม่ใช่เหรอ ทะ...ที่ทิ้งผมไว้ข้างหลัง ยะ...อย่างไม่ไยดี ละ...แล้วตอนนี้คุณจะมาเอาอะไรอีกไม่ทราบ ฮะ คุณนักร้องฮอลลีวู้ด ?!!!” ฉันเหมือนโดนมีดกรีดแล่ไปในเนื้อหัวใจ ปวดร้าวทุรนทุราย “ฉะ...ฉันขอโทษ ฉะ...ฉันผิดไปแล้ว ฉะ...ฉัน ฉันรู้สึกผิดและละอายแก่ใจจริงๆ กะ...กับทุกสิ่งที่ทำกับคุณเอาไว้ คะ...คุณ จะยกโทษให้ฉันได้ไหม” เธอร้องไห้ระงม ระบายสิ่งที่อัดอั้นในอกออกมา “เฮอะ ! ช่างน่าขันสิ้นดี คุณทำกับผมเอาไว้เจ็บแสบมาก...คุณฟาร่า แล้วอยู่ๆ คุณคิดเหรอว่ากับการที่คุณแค่มาขอโทษผมง่ายๆ แบบนี้มันจะทำให้ผมยกโทษให้คุณได้ ตลกนัก...ฮะๆ” เขาหัวเราะหยัน “ความรู้สึกคนนะครับไม่ใช่แผ่นกระดาษที่หน้าขาดแล้วคุณจะใช้สกอตเทปแปะติดคืนกลับไปใหม่ได้ !!!” “…” “มันสายไปแล้วละครับ ทุกอย่าง...มันสูญสิ้นไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว เช่นเดียวกับที่ไอ้เด็กผู้ชายใสซื่อคนนั้นที่คิดว่าความรักสวยงามก็ได้ตายจากโลกนี้ไปแล้วเช่นกัน !” “…” “อย่ามายุ่งกับผมอีก เราต่างคนต่างใช้ชีวิต ผมไม่อยากเห็นหน้าคุณ แล้วก็จำเอาไว้ด้วยว่า...ผมเกลียดคุณ --- คุณฟาร่า เตฮะราน !!!” เรื่องราวของพวกเขาสองคนจะเป็นยังไงต่อไป จะดำเนินไปในทิศทางไหน อุปสรรคและปัญหาที่มาในรูปแบบต่างๆ กันก็ถาโถมโจมตีมาทดสอบไม่จบสิ้น ฟาร่าจะหาทางออกได้ไหม แล้วจะเอาชนะใจ ‘ดัรวีช’ ได้หรือเปล่า ต้องติดตามได้ในเล่มครับ ###

หนังสือที่คุณอาจชอบ

คุณนายยอมหย่าแล้ว

คุณนายยอมหย่าแล้ว

โรแมนติก

4.9

หลังจากแต่งงานกันมาสามปี เวินเหลี่ยงก็ยังไม่เคยได้ความรักจากฟู่เจิ้งแต่อย่างใดเลย เมื่อรักแรกของเขากลับมา สิ่งที่รอเธออยู่คือหนังสือการหย่า “ถ้าฉันมีลูก คุณยังเลือกหย่าไหม?” เธออยากจับโอกาสสุดท้ายนี้ไว้ แต่แล้วมีแต่คำตอบที่เย็นชาว่า "ใช่" เวินเหลี่ยงหลับตาและเลือกที่จะปล่อยมือ ...ต่อมาเธอนอนอยู่บนเตียงคนไข้ด้วยความสิ้นหวังและลงนามในข้อตกลงการหย่า “ฟู่เจิ้ง เราไม่ได้เป็นหนี้กันอีกต่อไปแล้ว...” ชายที่มีความเด็ดขาดและเย็นชามาโดยตลอดนอนอยู่ข้างเตียงขอร้องให้อีกฝ่ายกลับมาด้วยเสียงแผ่วเบา “เหลียง ได้โปรดอย่าหย่าได้ไหม?”

หลินซือเยว่ผู้นี้ มีสามชะตาในคราเดียว

หลินซือเยว่ผู้นี้ มีสามชะตาในคราเดียว

โรแมนติก

5.0

หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง

บท
อ่านเลย
ดาวน์โหลดหนังสือ