Login to MeghaBook
icon 0
icon เติมเงิน
rightIcon
icon ประวัติการอ่าน
rightIcon
icon ออกจากระบบ
rightIcon
icon ดาวน์โหลดแอป
rightIcon
5.0
ความคิดเห็น
27K
ชม
140
บท

เมื่อแรกเจอคืออยากชิดใกล้ หาได้ร้ายไม่ แต่สุดท้ายก็คือ "รักเธอตลอดกาล" --------------------------- “ผมจะต้องทำยังไงคุณถึงจะเชื่อว่าผมรักคุณจริงๆ หรือผมจะต้องใช้วิธีเดียวกับที่นายลินเคยใช้ ถึงจะได้หัวใจคุณกลับคืนมา คุณเคยอ่อนระทวยในอ้อมกอดของนายลินไม่ใช่เหรอ แล้วมันจะต่างกันตรงไหนกับอ้อมกอดของผมตอนนี้” มันเป็นแค่เพียงธุรกิจ หรือเพราะความปรารถนา? ‘วิวรรญา’ ต้องเผชิญหน้ากับ ‘เงื่อนไขซื้อขายร่างกาย’ เพื่อพยุงธุรกิจที่จวนจะล้มละลายของครอบครัว และมันจะผูกมัดชีวิตของเธอเอาไว้อย่างไม่มีวันเป็นอิสระไปตลอดกาล... กับเขา ชายหนุ่มรูปหล่อ ผู้ซึ่ง ‘เคยโกหกและหลอกลวง’ ให้เธอต้องเสียใจ เพียงแต่ในวันนี้เขาไม่ใช่ผู้ชายธรรมดาๆ ที่ใช้ชีวิตเรียบง่ายอีกต่อไปแล้ว แต่เขาคือ ‘ปาลิน’ ทายาทหนึ่งเดียวของตระกูลพลชนะชัยชาญ มหาเศรษฐีบิลเลี่ยนแนร์ที่ร่ำรวยมหาศาลและมีอิทธิพล! บิดาของเขาพูดเสมอว่า... ผู้หญิงอย่างวิวรรญาหลอกง่ายและเป็นเพียงลูกสาวจากตระกูลของคนโลภมากที่ต้องการรอดตายในภาวะที่ธุรกิจกำลังย่ำแย่ แน่นอนว่าเธอกระโจนเข้าสู่ตำแหน่งเจ้าสาวก็เพราะต้องร่วมแชร์เงินทองในคลังธนาคารของเขา แต่ชายหนุ่มก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า... ความสวยและเรือนร่างของเธอนั้นหวานหอม ซึ่งมันกำลังล่อลวงและยั่วยวนจนทำให้เขาคลั่ง และสำหรับวิวรรญาเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน ถึงแม้เธอจะเกลียดเขา ชิงชังเขา... จากสิ่งที่เขากระทำในอดีต แต่เมื่อเธอได้ขึ้นเตียงกับผู้ชายที่เร่าร้อนอย่างปาลิน... ชายผู้ถือสิทธิ์ในเรือนร่างด้วยคำว่าสามีทางกฎหมาย หญิงสาวก็ตระหนักได้ว่าตนเองยังรักเขาอยู่ ติดปัญหาก็แค่เพียงอย่างเดียว... ความสัมพันธ์ของเธอกับเขาเป็นไปเพื่อธุรกิจ ซึ่งเธอถือกรรมสิทธิ์ในตัวเขาได้เพียงแค่คำว่า ‘นางบำเรอเพื่อการพยุงกิจการ’ เท่านั้น

บทที่ 1 1

ตอนยอมเพื่อแลกรัก

กลุ่มนักธุรกิจนับร้อยต่างพากันทยอยออกจากห้องจัดงานประชุมสัมมนามันสำปะหลังนานาชาติและนิทรรศการมันสำปะหลังแห่งชาติประจำปี ในโรงแรมระดับห้าดาวในกรุงเทพมหานคร ซึ่งประเทศไหนเป็นเจ้าภาพในฐานะผู้ส่งออกอันดับหนึ่งของโลก

“เต๋อ! จะกลับเลยเหรอ พ่อว่าจะคุยอะไรด้วยหน่อย”

ไกรเดช ไวทยาสกุล หนุ่มใหญ่วัยห้าสิบสอง ซึ่งเป็นหนึ่งในคนที่เข้าร่วมสัมมนา สาวเท้าเร็วกว่าปกติ เพื่อตามเขยป้ายแดงไปให้ทัน เพราะมีเรื่องจำเป็นจะต้องเปิดปากคุยในทันที แม้สถานที่และเวลาจะไม่อำนวยให้ก็ตาม

“ครับ! พอดีผมมีนัดกับลูกค้ารายใหญ่ไว้ที่โรงแรมใกล้ๆ นี้ อีกห้านาทีจะถึงเวลานัดแล้ว งั้นผมขอตัวก่อน สวัสดีครับคุณพ่อ”

แต่ศตวรรษ ธีระแสงสินไทย นักธุรกิจหนุ่มกลับปฏิเสธพ่อตาทันควัน ก่อนจะยกมือไหว้อย่างนอบน้อมแล้วเดินผละไป โดยไม่สนใจสายตาอันผิดหวังระคนขุ่นเคืองเบื้องหลังสักนิด

“อ้าวเฮียไจ้นั่นเอง ผมก็มองอยู่ตั้ง เมื่อเช้าเห็นแวบๆ ไม่ได้เจอกันนานเลย ไปนั่งดื่มอะไรเย็นๆ ก่อนแล้วค่อยกลับดีมั้ย ผมกำลังรอคนขับรถอีกชั่วโมงถึงจะมา พอดีงานเลิกเร็วกว่าที่คิดไว้ ขี้เกียจโทรไปเปลี่ยนเวลากับมัน”

ประมุข พลชนะชัยชาญ ที่เพิ่งแยกจากกลุ่มเพื่อน เอ่ยทักทายเพื่อนร่วมวงการที่หันมาเห็นพอดิบพอดี

“ได้ครับเฮีย”

ไกรเดชหันไปหาหนุ่มใหญ่วัยห้าสิบห้าที่เขาเองก็มักจะเรียก ‘เฮียซ้ง’ จนติดปาก แม้ใจจะไม่อยากไปตามคำเชิญสักแค่ไหน แต่เขาก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้ เพราะประมุขถือได้ว่าเป็นนักธุรกิจที่มีอิทธิพลในวงการค้ามันสำปะหลังคนหนึ่ง

ทั้งสองจึงเดินตรงไปยังไวน์ เลานจ์ ในโรงแรมที่เพิ่งบริการสำหรับแขกกระเป๋าหนักๆ ไวน์ขวดละเกือบหมื่นถูกเจ้าภาพสั่งมาอย่างไม่ต้องคิดนาน ยำทูน่า กับปลาดิบและกับแกล้มจานละเป็นพันก็ถูกสั่งอย่างไม่คิดเช่นกัน ไกรเดชอดสังเวชตัวเองไม่ได้ ต้องมาตกอยู่กับสภาพที่การเงินฝืนเคืองจนไม่ได้ลิ้มลองของแพงพวกนี้มานานเป็นปีแล้ว

“เฮียไจ้อยากกินอะไรสั่งตามสบายเลยนะครับ ไม่ต้องเกรงใจวันนี้ผมขออนุญาตเป็นเจ้ามือ นานทีปีหนเราจะเจอกัน มีอะไรก็บอกเล่ากันได้ คนกันเองทั้งนั้น เราอยู่ในวงการเดียวกัน รู้ตื้นลึกหนาบางกันดี ไม่ต้องพูดกันหลายคำหรอก”

ประมุขมักจะไม่ได้เอ่ยสิ่งที่ตัวเองรู้ออกมาอย่างโจ่งแจ้ง แต่ก็อยากจะสื่อให้รุ่นรู้ว่า ปัญหาภายในที่ไกรเดชพยายามเก็บงำเอาไว้นั้น หาได้รอดหูรอดตาเขาไปได้แม้แต่น้อย และคงจะไม่ใช่เรื่องที่ดีจะโอ้อวดหรือปิดบังต่อคนตรงหน้า

“ขอบคุณครับเฮีย ผมเองก็พยายามจะแก้ปัญหาด้วยตัวเองอยู่ครับ แต่มันก็ยากไม่น้อย”

ประมุขพยักหน้ารับน้อยๆ

“ผมเข้าใจครับเฮีย ถึงได้ออกปากชวนเฮียมานั่งคุยกันไงครับ ยังไงก็อย่าเห็นผมเป็นคนอื่นคนไกลนะ มีอะไรก็บอกได้ ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงอะไรผมยินดีเสมอ”

ประมุขส่งยิ้มน้อยๆ และส่งแววตาอย่างเห็นอกเห็นใจไปให้ประหนึ่งมีจิตอยากช่วยเหลือจริงๆ ทว่าไกรเดชก็ยังพอจะอ่านออกว่าจะต้องเอาอะไรมาแลกกับความช่วยเหลือจากเสี่ยเงินหนารายนี้

“คุณพ่อสวัสดีค่ะ”

ดาราวดี ธีระแสงสินไทย ผู้เป็นลูกสาวคนเล็กรีบยกมือไหว้พ่อที่เดินเข้าบ้านมาด้วยท่าทีเอื่อยเฉื่อย

“อ้าว! จะกลับแล้วเหรอ ยังไม่ทันได้คุยอะไรกับพ่อเลย” ไกรเดชพยักหน้ารับไหว้ลูกสาวแล้วต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นรีบเก็บของเข้ากระเป๋าสะพายเหมือนจะกลับ

“ค่ะคุณพ่อ พอดีพี่เต๋อจะพาไปกินข้าวกับลูกค้าน่ะค่ะ แยมไปนะคะคุณแม่คุณพ่อ”

แล้วก็รีบลุกขึ้นยกมือไหว้พ่อแม่ลวกๆ อย่างรีบเร่ง จนคนพ่อต้องตัดสินใจเอ่ยในสิ่งที่ไม่คิดว่าจะต้องได้เอ่ย

“ตกลงผัวเราว่าไงจะช่วยพ่อหรือเปล่า วันนี้เห็นกันตอนสัมมนาก็บอกว่าจะรีบไปพบลูกค้า เลยไม่รู้ว่าจะเอายังไงดี พ่อรออยู่นะ แต่งงานมาตั้งสามเดือนแล้วยังไม่เห็นออกปากมาตรงๆ สักครั้ง แยมได้บอกผัวเราให้ช่วยพ่อหรือเปล่า”

ดาราวดีหันมายิ้มแห้งๆ กับพ่อ

“เอ่อ! แยมพูดหลายครั้งแล้วค่ะคุณพ่อ แต่พี่เต๋อกับพ่อพี่เต๋อบอกว่า ตอนนี้การเงินยังฝืดๆ อยู่น่ะค่ะ เลยยังช่วยอะไรคุณพ่อไม่ได้ ไหนจะหมดกับค่าสินสอดค่าจัดงานอีกหลายสิบล้าน แยมเลยไม่รู้จะว่ายังไงค่ะ คุณพ่อลองไปคุยกับพี่เต๋อเองดีกว่านะคะแยมไม่กล้าแล้วล่ะคะ แยมไปนะคะ”

ไกรเดชได้แต่มองตามแผ่นหลังลูกสาวไปอย่างขุ่นเคืองอีกระลอกก่อนจะหันไปหาเมียที่ยืนหน้าแห้งหันมาหาสามีพอดิบพอดี

“ตกลงมันจะไม่ช่วยเราหรือเปล่าวะ”

ไกรเดชโพล่งออกมาดังๆ ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งกับชุดรับแขกอย่างกลัดกลุ้ม

“ปิ่นก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ คุณพี่ใจเย็นๆ ก่อนดีกว่านะคะ ตอนนี้ทางพ่อเต๋ออาจจะฝืดเคืองอย่างที่ลูกบอกเราก็ได้ งานแต่งกับค่าสินสอดก็หมดเยอะนะคะ”

ดารา ไวทยาสกุล เมียคนที่สองของเขาปลอบใจอย่างคนอารมณ์เย็น

“โอ๊ย! ฝงฝืดอะไรกัน พวกมันมีเป็นพันๆ ล้าน ขอให้ช่วยแค่สี่ซ่าห้าสิบล้านไม่ทำให้ขนหน้าแข้งมันร่วงหรอก เว้นเสียแต่ว่ามันจะไม่อยากช่วยเท่านั้น เธอไม่ต้องมาแก้ตัวแทนมันหน่อยเลย ยัยแยมก็ไม่ได้เรื่อง มีผัวแทนที่จะสั่งได้ดันให้ผัวกดหัวซะอีก ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ”

อีกครั้งที่เขาโพล่งออกมาด้วยความหัวเสีย เมื่อเห็นเมียพยายามจะเข้าข้างฝ่ายเขย ดาราถึงกับเงียบกริบในทันที ด้วยรู้ดีว่าสามีไม่ชอบให้ใครขัดใจ

“ไม่ช่วยก็อย่าช่วย กูหาทางของกูเองก็ได้วะ แล้วอย่ามาบ่นว่ากูมีสมบัติให้น้อยก็แล้วกัน”

ว่าแล้วเขาก็คว้ามือถือในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาทันควัน

“เฮียซ้งเหรอครับ ผมไจ้นะครับ”

อ่านต่อ

หนังสือที่คุณอาจชอบ

หนังสืออื่นๆ ของ สนพ. อิ่มรัก

ข้อมูลเพิ่มเติม
บท
อ่านเลย
ดาวน์โหลดหนังสือ