อาภรณ์พิษ ทรราชหลงรัก
เจ็บแต่ไม่ยอมปล่อยมือ
ลิขิตรักภรรยาตัวร้าย
ที่แท้เป็นคุณหนูตัวจริง
เมียผมน่ารักจัง
เป็นสุดที่รักของผู้เผด็จการ
โชคชะตาของพระชายา
ผู้บัญชาการรักซ้อนแค้น
คุณท่าน คุณนายมาหาอีกแล้ว
รักใหม่พันล้าน
“เค้าว่าช่วงนี้มีเด็กอาชีวะมาตีกันหน้ามหาลัยของเราบ่อยๆ ด้วยล่ะ”
“เอ้ะ น่ากลัวอ่ะ” ฉันทำสีหน้าหวาดหวั่นเมื่อได้ยินเพื่อนร่วมคณะที่มักจะเดินกลับด้วยกันบ่อยๆ โพล่งขึ้นมาในระหว่างที่เก็บกระเป๋าจากม้านั่ง เธอชื่อส้มหวาน เป็นผู้หญิงหน้าตาน่ารัก ถึงแม้ว่าเธอจะชอบทำตัวเหมือนผู้ชายไม่เข้ากับชื่อหวานๆ นั่นก็ตาม “แต่ปกติเราก็กลับบ้านกันปลอดภัยดีนะ”
“แน่ล่ะ เธอเคยสนใจใครที่ไหน มันตีกันอยู่อีกซอยเธอจะเห็นได้ยังไงล่ะนิ้ง” พูดแล้วก็หยิกแก้มฉันแรงๆ อย่างกลั่นแกล้งจนฉันต้องร้องเสียงอ่อยอย่างเจ็บปวด
แต่ก่อนจะไปพูดถึงเรื่องนั้น ฉันจะขอแนะนำตัวเองก่อนสักเล็กน้อยนะคะ
ฉันชื่อ ‘คะนิ้ง’ เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปี 2 คณะอักษรศาสตร์ เป็นคนเรียบร้อยและสดใส แล้วก็มีเพื่อนอยู่ไม่กี่คนในที่นี่ ซึ่งในกลุ่มเพื่อนๆ เหล่านั้นก็มีแค่ส้มหวานเท่านั้นล่ะที่ฉันไว้ใจที่สุด
ประวัติของฉันไม่มีอะไรน่าสนใจมากหรอกค่ะ ฉันอยู่หอนอกกับส้มหวาน เป็นผู้หญิงธรรมดาที่ใช้ชีวิตปกติเหมือนนักศึกษาทั่วๆ ไป
ใช่ค่ะ ฉันคือผู้หญิงปกติ
แต่... แต่ตอนนี้ชักเริ่มรู้สึกไม่ปกติเท่าไหร่แล้ว
“เธอชื่ออะไรวะ”
ฉันสะดุ้งเฮือกเมื่อเดินไปไม่กี่ก้าวก็ปะทะเข้ากับผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนขวางอยู่เกือบหน้าประตูของมหาวิทยาลัย เขาเป็นผู้ชายตัวใหญ่หน้าตาดุดัน ทำผมสีทองสว่าง ใส่เสื้อกล้ามสีดำและมีรอยสักเต็มทั้งสองแขน ท่าทางกร่างๆ เหมือนพวกอันธพาลหรืออะไรทำนองนั้นไม่มีผิดเลย
ให้ตายสิ
ตอนนี้ฉันกำลังจะกลับบ้าน แต่ดันมาเจอกับอะไรก็ไม่รู้
“เขาพูดกับใครอ่ะนิ้ง” ส้มหวานเอนตัวมากระซิบกระซาบกับฉัน ส่วนฉันก็สั่นหน้าหวือ ฉันไม่รู้อ่ะ เห็นเขามองหน้าฉันอยู่ แต่อาจมองเลยไปหาคนอื่นก็ได้
“อย่าไปสนใจเลย กลับบ้านกันเถอะส้ม” ฉันกระซิบกลับ แล้วตัดสินใจจูงมือส้มหวานเดินผ่านเขาไปโดยเว้นระยะห่างไว้ สงสัยเขาจะเรียกคนอื่นจริงๆ นั่นแหละ อาจจะมารับแฟนก็ได้ แต่ดูท่าทางกับลุคแบบนี้ผู้หญิงเขาน่าจะกลัวมากกว่านะเนี่ย
หมับ
แต่ทว่า
ฉันยังเดินไปไหนไม่ถึงสิบก้าวด้วยซ้ำ จู่ๆ ข้อมือก็ถูกคว้าและโดนกระชากอย่างแรง ฉันเซและหลุดมือจากส้มหวานไป แล้วหน้าก็ชนเข้ากับแผ่นอกของใครบางคนเต็มๆ
“จะ... เจ็บ” ฉันพึมพำแล้วเงยหน้าขึ้นมองเขา แล้วก็เห็นว่าเป็นผู้ชายคนนั้น คือเขากระชากฉันเข้ามาหา แถมยังใช้มืออีกข้างรั้งข้อมือฉันเอาไว้ด้วย นี่เราไม่เคยรู้จักกันเลยนะ เขามาทำแบบนี้กับคนที่ไม่รู้จักกันได้ยังไง “ปะ... ปล่อยนะ”
หากแต่เขาไม่ยอมฟังเสียงร้องของฉันเลย จู่ๆ ก็ดึงทึ้งฉันให้เดินตามไปหน้าตาเฉย ฉันมองส้มหวานที่ยืนอึ้งอยู่ พยายามจะร้องขอความช่วยเหลือ แต่พอข้อมือถูกกำแน่นขึ้นก็เลยไม่กล้าปริปากพูดอะไรออกมาอีก
นะ... นี่เรากำลังถูกหาเรื่องเหรอ ฉันกำลังจะถูกเขาพาไปซ้อมเหมือนในข่าวใช่มั้ย
“ขึ้นมา”
ฉันเงยหน้ามองรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ที่ปรากฎอยู่ตรงหน้า อะไรเนี่ย จะถูกซ้อมไม่พอยังถูกลักพาตัวอีกเหรอ
“นะ... หนูจะกลับบ้าน”
“จะขึ้นมาดีๆ หรือจะต้องให้ใช้กำลัง!” ฉันสะดุ้งโหยงเมื่อจู่ๆ เขาก็ตะคอกใส่หน้า ตัวสั่นไปหมดในขณะที่ค่อยๆ นั่งลงบนเบาะหลัง แต่ยังไม่ทันได้หย่อนตัวลงร่างสูงก็ออกรถไปด้านหน้าอย่างแรงจนฉันร้องกรี๊ดแล้วกอดเอวเขาไว้แน่นโดยอัตโนมัติ
อะ... อะไรเนี่ย น่ากลัวมากเลย เริ่มจะกลัวแล้วนะ
ฉันไม่รู้ว่าเขากำลังขับไปที่ไหน มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่รถหยุดลงอย่างกะทันหัน ฉันได้กลิ่นบุหรี่และเสียงเซ็งแซ่ของกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง พอลืมตาขึ้นอีกทีก็พบกับซอยที่คุ้นตา
เดี๋ยวนะ นี่มันซอยข้างมหาวิทยาลัยของฉันนี่
“เค้าว่าช่วงนี้มีเด็กอาชีวะมาตีกันหน้ามหาลัยของเราบ่อยๆ ด้วยล่ะ”
“แน่ล่ะ เธอเคยสนใจใครที่ไหน มันตีกันอยู่อีกซอยเธอจะเห็นได้ยังไงล่ะนิ้ง”
จู่ๆ คำพูดของส้มหวานก็ดังก้องขึ้นในหัว
อีกซอย... เด็กอาชีวะ
งั้นก็แปลว่าเขา...!
หมับ
ฉันเบิกตากว้างเมื่อยังคิดไม่ทันจบดีจู่ๆ ทั้งตัวก็ถูกอุ้มแล้วยกสูงขึ้นจากเบาะรถมอเตอร์ไซค์ ฉันเห็นว่าคนอุ้มเป็นคนที่มีรอยสักเต็มทั้งสองแขนคนเมื่อกี้ที่พาฉันมาด้วย หรือว่าเขาจะจับฉันทุ่มลงพื้นกันนะ?
กลัวจังเลย
“ตัวเบาว่ะ” ฉันได้ยินเสียงเขาพึมพำในลำคอ ในขณะที่ร่างสูงจะวางฉันลงอย่างเบามือ แต่เดี๋ยวนะ... เบามือเหรอ ไม่ทุ่มลงพื้นอย่างที่คิดด้วย “ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวจัดการอะไรเสร็จเราจะพาเธอไปส่งบ้าน”
จัดการอะไรเสร็จ พาไปส่งบ้านด้วย?
นะ... น่ากลัว!
“ไม่นะคะ หนูไม่ได้ทำอะไรให้คุณสักหน่อย” ฉันยกมือไหว้แล้วถอยหลังไปอีกก้าว แต่ต่อมาก็ชนเข้ากับรถมอเตอร์ไซค์ คราวนี้เลยเห็นพวกกลุ่มผู้ชายที่นั่งอยู่อีกทางหันมองมาทางนี้ มันเหมือนบ้านคูหาติดกันของคนไทยเชื้อสายจีนหรืออะไรสักอย่าง แถมชุดของพวกเขาก็ดูเหมือนชุดเด็กอาชีวะด้วย พวกเขาพูดอะไรกับผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าฉัน แต่ฉันไม่รับรู้แล้ว ฉันกลัวจนหูอื้อแล้ว “ปะ... ปล่อยหนูไปเถอะนะ หนูไม่เคยหาเรื่องใครก่อนเลย แล้วหนูก็มั่นใจว่าไม่เคยมีเรื่องกับคุณด้วย”
“หาเรื่อง?” เขาหันมาให้ความสนใจกับฉันพร้อมกับทวนคำพูดของฉันอย่างงงๆ “พูดไรอ่ะ”
“หนูอยากกลับบ้าน พาหนูกลับเถอะ หนูสัญญาว่าจะไม่แจ้งตำรวจ นะ... อุ้บ” ฉันเบิกตากว้างเมื่อยังพูดไม่ทันจบก็โดนผู้ชายตรงหน้าเอามือมาปิดปากไว้ราวกับจะตัดรำคาญ ก่อนที่คนตัวสูงที่มีสีหน้าหงุดหงิดจะเริ่มง้างหมัด
ขะ... เขาจะต่อยฉันนี่ ใช่มั้ย?
ทะ ทำยังไงดี กลัวจะตายอยู่แล้ว เราจะเจ็บหนักมั้ย แล้วเราจะถึงแก่ชีวิตรึเปล่า
คุณพระคุณเจ้าได้โปรดคุ้มครองหนูด้วย...
ปุบ
“เอาไป”
แต่แล้ว... ความคิดของฉันก็ถูกชะงักลงไปทั้งหมดเมื่อเห็นว่าทันทีหมัดของเขามาจ่ออยู่ตรงหน้า อะไรบางอย่างก็หล่นลงมาจากมือนั้นจนฉันรีบรับมันแทบไม่ทัน
แล้วมันก็คือ... โทรศัพท์?
โทรศัพท์ที่ไม่ได้ปิดหน้าจอ แถมยังมีเบอร์โทรแปะหราอยู่ด้วย
นี่มันอะไรกันเหรอ
“เบอร์เราเอง” ฉันเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างตกใจ อะไรเนี่ย เขาไม่ต่อยฉันเหรอ? ก็เขาทำท่าเหมือนจะต่อยฉันนี่ “ดีจัง นึกว่าเธอจะปล่อยมันตกแตกซะแล้วว่ะ”
“คะ... คุณ” ฉันอึกอักนิดหน่อย “ไม่ต่อยหนูเหรอ”
“เฮ้ย ต่อยทำไม? เราไม่ได้จะหาเรื่องเธอ” เขาทำสีหน้าตกใจแล้วเริ่มเกาท้ายทอยอย่างเขินๆ แล้วฉันก็แปลกใจกับท่าทีนั้นมาก แต่... เดี๋ยวนะ เขาไม่ได้คิดที่จะหาเรื่องฉัน แต่เขาทำท่าจะต่อยฉันนะ แต่สรุปคือเขาไม่ได้จะต่อยเหรอ แต่เขาแค่จะให้โทรศัพท์ฉันไว้ให้ยืนจ้องเบอร์โทรศัพท์แค่นี้ใช่มั้ย?
เอ่อ... ฉันงงนะ สรุปนี่มันยังไงกันแน่เนี่ย
“แล้วถ้าคุณไม่ได้จะหาเรื่อง แล้วคุณ...”
“ไม่รู้เหรอ เรากำลังจีบเธออยู่ไง”
“...!”
“คือเธอแม่งโคตรน่ารัก” ฉันเบิกตากว้างเมื่อจู่ๆ เขาก็พูดออกมาตรงๆ พร้อมกับคว้าต้นแขนของฉันเอาไว้ข้างหนึ่งเพื่อกันไม่ให้ฉันเดินหนีไปไหน ก่อนที่ประโยคต่อมาของเขาจะทำให้ฉันเหวอ “เราชอบเธอว่ะ อยากได้เธอเป็นเมีย”
“อะ... อะไรนะ”
“ขี้เกียจพูดซ้ำ เอาเบอร์เธอมาดิ ไม่ให้ดีๆ เราต่อยด้วยปากนะเว้ย” แค่พูดไม่พอ เขาเริ่มเดินต้อนฉันจนติดกับรถมอเตอร์ไซค์ พอฉันเอนตัวหนีเขาก็เอนตาม จนหน้าของเขาใกล้ฉันมาก ฉันเห็นรอยยิ้มที่ดูเหมือนรอยยิ้มของคนไม่ดีอยู่ในระยะใกล้ พอเขาเอนตัวลงมาอีกนิดฉันเอาเอามือที่ถือโทรศัพท์มาดันไว้ทันที
“อะ... ออกไปก่อนได้มั้ย” ฉันอ้อนวอนเมื่อเริ่มเมื่อยตัว แล้วเซไปเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายผละออกอย่างว่าง่าย แต่ก็ถูกคนตัวโตกว่าช้อนเอวไว้ได้อยู่ดี แบบนี้ดูเหมือนโดนลวนลามเลย
“ตัวเล็กจัง” ฉันได้ยินเขาพึมพำในขณะที่จะกอดฉันไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง แล้วเริ่มบีบบังคับ “จะกดเบอร์ได้ยัง”
“ปะ... ปล่อยก่อนสิ”
“ไม่ เดี๋ยวเธอหนีเราไปทำไง”
“ไม่หนีหรอก”
“แต่เราอยากกอดเธอไง อย่าหวงดิ” ฉันมองหน้าเขาด้วยสีหน้าจนปัญญา ที่ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงกับเขาดี พอจะยกโทรศัพท์ขึ้นมาจู่ๆ ทั้งตัวก็ถูกอุ้ม แล้วร่างสูงก็เอนตัวลงนั่งที่เบาะมอเตอร์ไซค์ ละ... แล้วจับฉันเอนทับเบาะที่อยู่ตรงกลางระหว่างขาทั้งสองข้างของเขาด้วย “กดเบอร์ตรงนี้ จะดู”
อะ... อะไรของเขาเนี่ย ฉันอายนะ พวกของเขาตรงนั้นก็มองมาทางนี้เหมือนกัน แถมไม่รู้จักกันด้วย เขามากอดฉันได้ยังไง
“คือ... ฉันจำเบอร์ตัวเองไม่ได้ค่ะ” และเพราะว่ากลัวมากนั่นแหละ ฉันก็เลยตัดสินใจที่จะโกหก
“นิสัยไม่ดี ขี้โกหก” แต่เขาดันรู้อ่ะ “บอกแล้วไงว่าไม่ให้ดีๆ จะต่อยด้วยปาก...”
“โอเค โอเคค่ะ แค่ให้เบอร์ใช่มั้ยล่ะ” ฉันรีบโพล่งตัดบทเขาอย่างลนลานเมื่อเห็นว่าเขาจะพูดประโยคน่าอายนั่นออกมาอีกแล้ว ก่อนที่จะรีบกดเบอร์โทรศัพท์ลงอย่างร้อนรน พอเขาเริ่มหัวเราะในลำคอ ฉันก็รีบหันกลับไปส่งโทรศัพท์ให้เขาทันที “พอใจแล้วนะ”
“อืม” เขาคว้าโทรศัพท์กลับมา แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยฉัน ร่างสูงยังคงกอดเอวฉันไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างก็กดโทรศัพท์อยู่ข้างๆ ตัวฉันนี่เอง
มะ... เหมือนโดนกอดจากข้างหลังเลย น่ากลัวสุดๆ
“ปะ... ปล่อยสิ”
“ชื่อคะนิ้งใช่มั้ย?” แต่เขาไม่สนใจที่ฉันพูดเลย ร่างสูงโพล่งถามขึ้นมา แต่... เดี๋ยวนะ เขารู้จักชื่อฉันได้ยังไง “เราหาไลน์เธอจากเบอร์โทรศัพท์อ่ะ ชื่อน่ารักว่ะ”
อะ นี่เขา
“เอ่อ...”
“เรียกนิ้งนะ” เขาพูดแทรกขึ้นทันทีอย่างไม่คิดที่จะฟัง แล้วเอนหน้ามาซบที่ไหล่ของฉันพอฉันเอี้ยวตัวกลับมามอง เราสบตากันในระยะใกล้ แล้วฉันก็เบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อจู่ๆ ก็โดนผู้ชายรุกใส่ได้รุนแรงขนาดนี้ “เราชื่อฉลามดุ เรียกพี่หลามก็ได้”
“...”
“หรือจะเรียกพี่คะพี่ขาเราก็ไม่ว่าหรอก”
อะ... อะไรของเขาเนี่ย
“เราแอดไลน์เธอไปแล้ว รับตอนนี้เลยดิ”
ฉันอ้าปากค้าง มองเขาที่นั่งซ้อนหลังอย่างไม่รู้จะทำยังไง เพราะตั้งแต่ที่ เอ่อ... ฉลามดุพูดให้ฉันเรียกชื่อเขาแบบนั้นแล้ว ฉันก็ได้แต่ก้มหน้างุดมองโทรศัพท์ของเขาอย่างไม่กล้าสบตาคนข้างหลังอีกเลย ก็ดูเขาสิ เจอกันยังไม่ถึงชั่วโมง (หรือถึงแล้วนะ) เขาก็เล่นรุกฉันหนักขนาดนี้แล้ว
และพอเห็นว่าฉันไม่ตอบอีก เขาก็เลยสะกิดไหล่ฉันเบาๆ “เหม่ออะไรนิ้ง”
“อะ... เปล่า” อะไรเนี่ย เรียกชื่อเหมือนสนิทสนมกันแบบนั้นอ่ะ “ชื่อไลน์อะไรเหรอคะ”
“อะไร หน้าเราก็อยู่นี่ เธอมองหน้าเราดิ ไลน์เราก็หน้าเรานี่แหละ” เขาพูดอย่างไม่ค่อยเข้าใจ แต่การที่คว้าคางฉันให้หันไปมองหน้าดุๆ ของเขาตามคำพูดด้วยมันคืออะไรกันอ่ะ! ฉันไม่ได้อยากดูหน้าเขาซะหน่อย ฉันจำหน้าเขาได้นะ ฮือ “เอ้า มองให้พอใจ”
“ปล่อยคางนะ” ฉันพูดเสียงสั่นๆ แล้วร่างสูงก็ทำสีหน้าแปลกใจ แต่ก็ยอมปล่อยอย่างว่าง่าย “คะ คุณก็บอกชื่อไลน์มาก็จบแล้ว”
“ชื่อไลน์ ‘พี่หลามคนจริง’ ไง” ฉันหน้าแดงไปหมดเมื่อได้ยินชื่อไลน์ของเขา อะ... อายแทน อายแทนจริงๆ เลย กล้าตั้งชื่อแบบนี้ได้ยังไงเนี่ย
ฉันหยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมา ในขณะที่จะปลดล็อกหน้าจอโดยมีสายตาของฉลามดุจ้องเขม็งอยู่ตลอดเวลา ฉันกดเข้าไลน์แล้วสไลด์หาคนที่แอดไลน์มา ซึ่งมันมีมากซะจนฉันตาลายไปหมด
ฉันไม่ค่อยได้เข้าไลน์น่ะ ฉันเลยไม่รู้ว่าจะลบคำขอพวกนั้นยังไง ก็ที่แอดมามีแต่เพื่อนผู้ชายในมหาลัยเดียวกันทั้งนั้น
“อะไรวะ ผู้ชายทั้งนั้นเลย” ฉันได้ยินเสียงฉลามดุพึมพำอยู่ข้างๆ หูอย่างหัวเสีย “ที่มหาลัยเธอฮอตขนาดนี้เลยปะ”
“หา?”
“ประมาณว่า มีผู้ชายมาจีบ ขอเบอร์ ขอไลน์ แบบที่เรากำลังทำอยู่งี้ไง มีเยอะมั้ย”
“กะ... ก็” ฉันอึกอัก ถึงจะลำบากใจแต่ก็ตอบไปตามความจริง “ก็เยอะนะ แต่ส่วนมากเค้าจะทักเข้ามาในแชท...”
“ไม่ต้องไปตอบพวกแม่ง!!” ฉันสะดุ้งเมื่อจู่ๆ เขาก็กระแทกเสียงแทรกขึ้นมาอย่างกรรโชก ก่อนที่ฉลามดุจะเบิกตากว้างเหมือนเขาลืมตัว แล้วตบปากตัวเองแรงๆ “โทษที คือเราหวงเธอ แต่เราลืมไปว่าเรายังจีบเธอไม่ติด”
ตะ... ตรงดีจัง
“... แต่หนูก็ต้องตอบไปตามมารยาทน่ะ พวกเค้าเป็นเพื่อนที่มหาลัยทั้งนั้นเลย”
“ไม่ต้องตอบเลยทีหลังอ่ะ” ฉันมองเขาอย่างตกใจเมื่อร่างสูงคว้าโทรศัพท์ไปจากมือฉัน แล้วมองรายชื่อคนแอดไลน์ฉันบนหน้าจอโทรศัพท์อย่างเข่นเขี้ยว “ศัตรูหัวใจเยอะจังวะ หงุดหงิด”
“เอ่อ... โทรศัพท์” ฉันพูดอย่างกล้าๆ กลัวๆ แล้วเขาก็มองฉันแล้วกัดฟันกรอด
ฉลามดุส่งโทรศัพท์ให้ฉันทันที ก่อนที่เขาจะกอดอก “เราถือว่าเรายังจีบเธอไม่ติดเลยคืนให้นะ ลองเธอได้เป็นแฟนเราดิ”
“...”
“ไอ้ที่สะเหล่อแอดๆ เข้ามาในนี้ เราจะไปเอาเรื่องแม่งเรียงตัวเลย”
จะโหดเกินไปแล้ว
“ขอร้องล่ะ อย่าทำแบบนั้นเลยนะ” ฉันพูดกับเขาเสียงอ่อนเพราะอีกฝ่ายนั้นดูจะเป็นคนไม่ยอมคนใช้ได้เลยทีเดียว และก็ดูเหมือนที่พูดไปจะมีโอกาสเป็นจริงด้วยก็เลยห้ามไว้ก่อน ฉลามดุก็เลยคลายมือที่กอดอกออก แล้วฉีกยิ้มกว้างให้
“ได้ดิ เพื่อเธอเราทำได้ทุกอย่าง” ฉันควรจะดีใจดีมั้ยเนี่ย “แล้วรับแอดเรายัง”
“ระ... รับแล้ว”
“น่ารักมากครับผม!” ฉันสะดุ้งเมื่อจู่ๆ เขาก็ตะโกนออกมาแล้วกอดคอฉันจากด้านหลังอย่างแรง ฉันเบิกตากว้าง ก่อนที่จะอ้าปากค้างอีกรอบเมื่อพวกของเขาที่นั่งจับกลุ่มมองเงียบๆ นั้นเริ่มโห่ร้องส่งเสียงแซวกันเสียงดัง ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้พวกเขานั่งเงียบกันสุดๆ
“ไอ้หลามได้เมียใหม่แล้วเหรอมึง!!” ฉันได้ยินเสียงหนึ่งในนั้นแซวขึ้นมาเสียงดังมาก แล้วก็หน้าร้อนจัดอย่างอับอาย
พวกเขานี่มัน...
พลั่ก!
“เมียใหม่ห่าไร! มึงจะพูดไรให้เกียรติเค้าหน่อย” แต่แล้วฉันก็ต้องตกใจเมื่อร่างสูงที่นั่งอยู่ด้านหลังปาหมวกกันน็อคใส่หัวเจ้าตัวที่พูดประโยคนั้นอย่างรวดเร็ว เขาดูมีท่าทีจริงจังจนฉันแปลกใจ
“ทำเป็นซีเรียสไปได้ไอ้หลาม” เพื่อนของเขาวางหมวกกันน็อคไว้บนโต๊ะแล้วหัวเราะ “กูพูดเล่นๆ กัน”
“กูไม่เล่น” ฉลามดุทำหน้าไม่พอใจ เขาคว้าเอวฉันแล้วดันออกจากตักเขาอย่างเบามือในขณะที่จะสตาร์ทรถโดยไม่พูดอะไร ฉันมองเขาอย่างงุนงง ไม่เข้าใจอารมณ์เขาเลยว่าคิดอะไรอยู่ จนกระทั่งร่างสูงเอาหมวกกันน็อคอีกใบมาใส่ศีรษะของฉัน “ขอโทษที่ตอนพามาไม่ใส่ให้นะ พอดีซอยมันอยู่ใกล้ๆ”
เสียงของเขาอ่อนลงกว่าตอนคุยกับเพื่อนอย่างเห็นได้ชัดเลยอ่ะ
“ละ... แล้วคุณไม่ใส่เหรอ?” ฉันถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“เราขี้เกียจเดินไปหยิบ รำคาญไอ้พวกเวรนั่น” เขาพูดแล้วดันไหล่ฉันให้ถอยหลังไป ในขณะที่จะกลับตัวรถ “ถ้าเกิดรถคว่ำขึ้นมา คนที่เราไม่อยากให้ตายก็คือเธอ”
ฉันหน้าร้อนวูบ ยอมรับนะว่ามันก็ดีที่เขาพูดแบบนี้ แต่ฉันก็ยังกลัวเขาอยู่ดี
“... แล้วจะพาหนูไปที่ไหนเหรอ”
“ส่งบ้านไง” เขาเคลื่อนตัวรถมาขนาบข้างฉันที่ยืนอยู่ แล้วพยักเพยิดไปที่เบาะหลัง “ขึ้นดิ ฝากโทรศัพท์เราด้วยนะ”
ฉันมองหน้าเขาผ่านหมวกกันน็อค พอเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์นั่นฉันก็รีบมุดหน้าแล้วเดินหนีขึ้นไปบนเบาะหลังในท่านั่งแบบผู้หญิงทันที เพราะวันนี้ฉันใส่กระโปรงพลีทที่ค่อนข้างเลยเข่ามาหน่อยน่ะค่ะ ตอนออกตัวครั้งแรกมันแรงหน่อยฉันก็เลยหงายหลังไปนิดนึง ฉันตกใจจนต้องคว้าชายเสื้อเขาเอาไว้ ในขณะที่จะได้ยินเสียงแซวของพวกเพื่อนๆ เขาอีกครั้ง
หูฉันอื้อไปหมดเพราะความอาย แต่ได้ยินว่าสีขาวๆ อะไรสักอย่างนี่แหละ จนฉลามดุต้องตวาดขึ้นมาเสียงดังลั่น
“ห้ามมองกางเกงในนิ้งนะเว้ย!!”
ฉันก็เลยถึงบางอ้อทันทีเลย โอ้ย
“บ้านอยู่นี่เหรอ”
เสียงของคนตังโตดังขึ้นหลังจากเขาขับออกมาด้วยความเร็วสูงแล้วไม่นานก็ถึงหอของฉัน ฉันกลัวจนเกาะชายเสื้อเขาไม่ปล่อยเลยเพราะเขาขับเร็วมาก ฉลามดุแหงนหน้ามองหอฉัน ในขณะที่ฉันจะแกะหมวกกันน็อคออก แต่มือไม้มันสั่นจนแกะไม่ออกสักที
“อะ... อะไรเนี่ย” ฉันพึมพำอย่างขัดใจแล้วพยายามแกะอย่างสุดความสามารถแต่มันก็ไม่ออก จนฉลามดุต้องหันมามอง แล้วเขาก็เอื้อมมือมาปลดตัวล็อคใต้คางให้ฉันอย่างง่ายดาย
“เอ้า” ร่างสูงดึงมันออกจากหัวฉัน ส่วนฉันก็ได้แต่มองเขาหน้าเหวอๆ “ผมยุ่งหมดแล้ว”
พูดจบร่างสูงก็ทำในสิ่งที่ทำให้ฉันต้องนิ่งอึ้งไป เขาเอื้อมมือมาสางผมให้ฉันอย่างลวกๆ ก่อนที่ฉลามดุจะรู้สึกตัว เขาสบตากับฉันที่ยืนมองเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ แล้วจู่ๆ หูของเขาก็แดงเถือกขึ้นมา
“อ่า โทษ เราติดตอนที่เคยทำให้น้อง” ฉันมองเขาอย่างงุนงง แล้วจู่ๆ เขาก็เริ่มพูดแก้ตัวด้วยท่าทีลนลาน “คือหมายถึงน้องสาวแท้ๆ ไง เราไม่มีใครหรอก เราโคตรจริงใจกับเธอ”
ยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะ
“อะ... โอเคจ้ะ” ฉันพูดเสียงสั่นๆ เพราะไม่รู้จะพูดอะไรต่อแถมยังกลัวเขาอยู่ด้วย ในขณะที่ส่งโทรศัพท์คืนให้ร่างสูงแล้วมองหน้าเขาอย่างชั่งใจ ถึงมันจะไม่ควรพูดคำนี้เพราะเขาเป็นคนลากฉันออกมาเองก็เถอะ แต่ว่า... “ขอบคุณนะ”
เขาก็เป็นคนดีนะ
“ว่าไงนะ” แต่ดูเหมือนฉลามดุจะไม่เข้าใจ พอฉันพูดขอบคุณเขาก็ทำท่าทางเหมือนไม่เชื่อหูตัวเอง “พูดใหม่ได้ปะ”
“ขอบคุณนะ” ฉันมองเขาแล้วพูดซ้ำอีกครั้ง แล้วจู่ๆ ร่างสูงก็นิ่งไป
ก่อนที่เขาจะ...
“น่ารักว่ะ! อยากตะโกนบอกว่าชอบเธอดังๆ ตอนนี้เลยถ้าทำได้!!” ตะโกนออกมาเสียงดังลั่นจนคนที่เดินผ่านไปผ่านมาต่างหันมามองเขาอย่างตกใจ ฉันเองก็เหมือนกัน อะไรของเขา บอกว่าชอบดังๆ อะไรของเขากัร! “ฟังดูน้ำเน่า แต่ตอนนี้เราชอบเธอมากกว่าเดิมอีก”
“...!”
“ต้องเอาเธอมาเป็นเมียให้ได้เลย คอยดูดิวะ” พูดแล้วร่างสูงที่นั่งคร่อมมอเตอร์ไซค์อยู่ก็สตาร์ทเครื่อง เขายิ้มให้ฉัน ในขณะที่จะใส่หมวกกันน็อค “ไว้เจอกันนะน้องนิ้งของพี่หลาม”
“อะ... เดี๋ยว” โดยไม่สนใจคำพูดของฉัน ฉลามดุก็ออกตัวรถไปอย่างรวดเร็วทันที ฉันได้ยินเขาตะโกนวี๊ดวิ้วเหมือนดีใจลั่นซอยด้วย พอเป็นแบบนั้นฉันก็อับอายจนก้มหน้างุดเพราะมีแต่คนมอง แล้วรีบเดินหนีขึ้นหอของตัวเองทันที
แต่... เดี๋ยวนะ
น้องนิ้งของพี่หลามอะไรของเขาเนี่ย!
“นิ้ง!! โอ้พระเจ้า ส้มนึกว่านิ้งโดนไอ้นักเลงนั่นรุมยำไปแล้ว”
ทันทีที่เปิดประตูห้องเข้าไปตัวของฉันก็แทบจะถลาไปด้านหลังเพราะโดนส้มหวานที่นั่งกระดิกเท้ายิกๆ ตีหน้าเครียดอยู่อีกมุมหนึ่งของห้องโผเข้ามาหา เธอร้องไห้ด้วย แถมยังถือโทรศัพท์ไว้ในมือไม่ยอมปล่อยอีกต่างหาก