5.0
ความคิดเห็น
839
ชม
14
บท

เขมิกาจับผลัดจับพลูดไปมีความสัมพันธ์กับไทเลอร์นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพียงคืนเดียวกับความสัมพันธ์ไม่ตั้งใจก็ทำให้เธอตั้งครรภ์ เพื่อหลบหนีปัญหาเธอจึงหนีไปต่างจังหวัดคิดจะเริ่มต้นใหม่ แต่ใครจะคิดว่าพบเจอเขาอีกครั้ง แล้วครั้งนี้เธอจะหนีหรือเพื่อเผชิญหน้ากับความจริงที่ได้ก่อเอาไว้

บทที่ 1 No.1

ร่างแบบบางในชุดเดรสสีชมพูกลีบบัวซีด ๆ ตามอายุการใช้งานแต่สะอาดสะอ้าน หยิบช่อดอกกุหลาบสีขาวช่อใหญ่ขึ้นมาจากเบาะรถข้างตัวอย่างทะนุถนอม...นี่เป็นดอกไม้ช่อสุดท้ายที่ต้องส่งให้ลูกค้าในวันนี้

หญิงสาวล็อครถแล้วก้าวออกมายื่นข้างถนน เธอหันซ้ายหันขาว ก่อนจะเดินข้ามถนนตรงเข้าไปยังโรงแรมระดับห้าดาวใจกลางกรุงด้วยความระมัดระวัง

...ในใจก็คิดว่า ชีวิตของคนจนกับคนรวยมันช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับแหว ระหว่างที่คนจนกำลังดิ้นรนทำมาหากินที่ถนนฝั่งตรงข้าม เหนื่อยจนเลือดตาแทบกระเด็น...เพียงข้ามถนนมาอีกฝั่งก็พบกับโรงแรมหรู ค่าห้องพักต่อคืนเดือนละหลายพัน หลายหมื่น ซึ่งคนที่มาพักที่นี่จ่ายได้โดยไม่ต้องคิด ไม่ต้องเสียดายเงินทอง

ช่างเป็นชีวิตที่น่าอิจฉาเหลือเกิน...

คิดอิจฉาไปก็เท่านั้น...หญิงสาวบอกตัวเอง...

เมื่อชีวิตไม่สิ้นก็ต้องดิ้นกันต่อไป หากมัวแต่เงยหน้ามองฟ้า แต่มือเท้าไม่กระดิกทำงาน ชาตินี้ทั้งชายก็คงไม่มีวันได้สบายกับใครเขาหรอก

เขมิกาเดินจ้ำเข้าไปภายในห้องโถงของโรงแรมที่ประดับประดาเสียหรูหราสมฐานะของผู้พัก กระไอเย็นฉ่ำของเครื่องปรับอากาศที่ปะทะเข้ากับใจหน้า ทำให้หญิงสาวรู้สึกสดชื่นขึ้นมาเล็กน้อย

หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะสูดเอาอากาศที่อวนด้วยกลิ่นน้ำหอมชั้นดีเข้าจนเต็มปอด อย่างน้อยมันก็ทำให้เธอคลายจากความเหนื่อยล้าลงไปได้บ้าง

การที่ต้องไปจ่ายตลาดตั้งแต่ตีสาม...ต่อด้วยการยืนจัดดอกไม้ที่ร้านเกือบทั้งวัน อีกทั้งยังต้องตระแวนส่งดอกไม้ที่จัดสำเร็จตามคำสั่งของลูกค้าไปยังสถานที่ต่าง ๆ ตลอดช่วงบ่ายจนกระทั่งเย็นย่ำ ทำให้เขมิการู้ซึ้งเป็นอย่างดีถึงคำว่า ‘เหนื่อยสายตัวแทบขาด’ นั้นมันเป็นอย่างไร

ด้วยพิสมัย...สาวใหญ่เจ้าของร้านดอกไม้ที่เขมิกาทำงานอยู่นั้น เป็นคนตระหนี่หนักหนา เธอจึงไม่เคยจ้างมอเตอร์ไซน์รับจ้างให้คอยวิ่งส่งสินค้าเหมือนดั่งร้านค้าที่มีบริการส่งถึงที่เจ้าอื่น ๆ เขาทำกัน ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังไม่เคยจ้างลูกจ้างคนอื่นให้มาช่วยงานเลยแม้แต่คนเดียว

งานภายในร้านแทบทั้งหมดจึงตกเป็นของเขมิกา ซึ่งเป็นลูกจ้างเพียงคนเดียว...ยกเว้นงานที่เกี่ยวกับเงิน ๆ ทอง ๆ เท่านั้น ที่พิสมัยไม่ยอมให้เธอแตะต้อง

แม้ว่าเขมิกาจะทำงานกับพิสมัยมาหลายปี แต่สาวใหญ่ก็ยังไม่เคยไว้วางใจในตัวเธอ...แต่ช่างเถอะ เขมิกาไม่สนใจ หน้าที่ของเธอคือการทำตามหน้าที่ที่ตัวเองได้รับมอบหมายเท่านั้น อีกอย่างหญิงสาวก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยวเรื่องเงินทองของร้าน เพราะหากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมาจะทำให้เป็นการหมางใจกันเปล่า ๆ

หญิงสาวร่างเล็ก ใบหน้าอ่อนเยาว์เกินวัยถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน...

เพราะคนที่เรียนจบเพียงมัธยมศึกษาตอนต้นอย่างเธอ จะหางานที่ได้เงินเท่ากับที่ร้านพิสมัยให้ได้ที่ไหนกัน

เขมิกาเชื่อว่าคงไม่มีที่ไหนให้เงินเด็กสาวการศึกษาต่ำอย่างเธอได้มากเท่าที่ร้านของพิสมัยอีกแล้ว

ดังนั้นสิ่งที่เธอทำได้ จึงทำได้เพียงท่องคำว่า...อดทน...อดทน...และอดทนอยู่ในใจ

...ทุกครั้งที่เหนื่อยล้า เธอก็มักจะนึกถึงใบหน้าของ นภัส น้องชายคนเดียวของเธอ ในตอนที่เขาดีใจเมื่อรู้ตัวว่าจะได้เรียนต่อ...

และใบหน้านั้นเองที่ทำให้เขมิกามีกำลังใจที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้กับงานหนักต่อไป อย่างไม่ยอมย่อท้อ...เพื่อนภัสแล้ว เธอสามารถทำได้ทุกอย่าง ต่อให้ต้องลำบากกว่านี้อีกกี่ล้านเท่าเธอก็ไม่กลัว

อีกทั้งการทำงานที่นี่ยังทำให้เธอมีทุนรอนมากพอที่จะส่งตัวเองเรียนการศึกษานอกโรงเรียนได้...ก็ได้แต่หวังว่าสักวันหนึ่งหากเธอเรียนจบ จะสามารถหางานที่ดีกว่านี้ทำได้ แต่เมื่อวันนั้นยังมาไม่ถึงเธอก็ต้องอดทนทำงานเพื่อชีวิตที่ดีกว่าต่อไป

แม้หน้าที่เสาหลักของครอบครัว จะเป็นหน้าที่ที่เหนื่อยหนักเกินกว่าที่ไหล่เล็กบางของผู้หญิงคนเดียวจะรับไหว แต่เธอก็จำต้องทำเป็นตั้งทำเพราะเธอและน้องชายเป็นกำพร้าตั้งแต่ยังเล็ก...

หลังจากพ่อแม่ตายด้วยอุบัติเหตุรถชน เขมิกาที่ตอนนั้นมีอายุเพียงสิบเจ็ดปี ได้ตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดในชีวิต ด้วยการลาออกจากโรงเรียนอาชีวศึกษาประจำจังหวัด ที่เธอกำลังศึกษาอยู่ในภาควิชาคหกรรมศาสตร์...แล้วตัดสินใจหอบหิ้วน้องชายที่ตอนนั้นมีอายุเพียงสิบห้าปีเข้าไปเผชิญโชคยังเมืองกรุง

ด้วยความคิดแบบเด็ก ๆ ว่า การเข้าไปหางานทำในเมืองหลวงเหมือนกับพวกผู้ใหญ่ในหมู่บ้านนั้น ย่อมจะดีกว่าการหางานรับจ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ตามหมู่บ้าน...นั่งรอวันอดตายทั้งสองคนพี่น้องเป็นแน่...

แต่ทุกอย่างกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด...

เด็กสาวที่จบเพียงมัธยมศึกษาตอนต้น มิหน่ำซ้ำยังไม่บรรลุนิติภาวะ อย่างดีจึงหาได้เพียงงานเสิร์ฟตามร้านอาหารข้างทางเท้า หรือไม่ก็งานล้างจานเท่านั้น

ในตอนนั้นเขมิกาคิดว่า...หากเธอยังทำงานเช่นนี้ต่อไป ความหวังที่จะส่งเสียน้องชายคนเดียวให้เรียนสูง ๆ คงเป็นอันต้องดับวูบลงเป็นแน่

แต่ก็ต้องถือว่าโชคของหญิงสาวยังดี เมื่อพิสมัย เจ้าของร้านดอกไม้ที่ตั้งอยู่ตรงกันข้ามกับหอพักของเขมิกา ติดประกาศรับสมัครผู้ช่วยคนใหม่พอดี...

ตอนแรก เขมิกาไม่มั่นใจแม้แต่น้อยว่าเธอจะได้งาน เพราะไม่ว่าจะไปสมัครงานกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เธอก็ต้องไม่รับความผิดหวังเสมอ

แต่โชคดีว่า...สาวใหญ่ติดใจฝีมือการจัดดอกไม้ที่เขมิกาทดลองจัดให้ชมในวันสัมภาษณ์มาก...จึงทำให้เธอรับหญิงสาวที่มีฝีมือการจัดดอกไม้ชนิดหาตัวจับยากเข้าทำงานแทบจะในทันที...

หญิงสาวจึงปักหลักทำงานที่นั่นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา...โดยไม่เคยบ่น และไม่เกี่ยงงานหนักเลยแม้แต่น้อย

เขมิกาเสยผมยาวสยายสีดำคลับที่หล่นลงมาเคลียใบหน้าขึ้นไปทัดหลังใบหูอย่างไม่ใคร่ใส่ใจนัก...ดวงตากลมโตสีนิลที่ประดับด้วยแพขนตายาวหนาตามธรรมชาติราวกับดวงตาของสมันสาว มองกวาดไปทั่วบริเวณโถงทางเข้าด้วยความร้อนใจ

เธอมาถึงช้ากว่าเวลานัดหมายเกือบสามสิบนาที!

เพราะสภาพการจารจรอันติดขัดแท้ ๆ เชียว ที่ทำให้เขมิกามาถึงสถานที่นัดหมายแห่งสุดท้ายสายอย่างช่วยไม่ได้...

ไม่รู้ว่าลูกค้าจะยังรอรับดอกไม้อยู่หรือเปล่า เธอกลัวเหลือเกินว่าเขาจะกลับไปแล้ว เพราะคนที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกค้า มักจะไม่ค่อยมีความอดทนเท่าไหร่นักหรอก

แต่จะโทษใครได้ เพราะครั้งนี้เธอเป็นฝ่ายผิดเองที่ไม่คะเนเวลาให้ดีเสียก่อน หากไม่สามารถส่งดอกกุหลาบขาวช่อนี้ได้ เธอก็คงต้องเป็นคนรับผิดชอบ โดยการถูกหักเงินเดือนอย่างไม่ต้องสงสัยเลย...

เขมิกาหยิบสมุดเล่มเล็กที่เธอใช้จดรายละเอียดของลูกค้าเอาไว้ขึ้นมาดูอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

เจ้าของกุหลาบขาวช่อนี้เป็นชายหนุ่มลูกครึ่ง รูปร่างสูงใหญ่ และวันนี้เขาจะสวมเสื้อสีน้ำเงินเข้มกับกางเกงสีดำ...

รูปลักษณ์โดดเด่นอย่างนั้นคงหาไม่ยาก...

นั่นไง!

เขมิกาเห็นเขาแล้ว

ชายหนุ่มที่ยืนอยู่อีกมุมหนึ่งของห้องโถง...เขามีผมสีน้ำตาทอง สวมเสื้อสเวตเตอร์สีน้ำเงินเข้ม และกางเกงยีสต์สีดำสนิท แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือรูปร่างสูงใหญ่ราวกับยักษ์ของเขานั่นแหล่ะ ที่ทำให้ใคร ๆ ก็ไม่สามารถมองผ่านชายหนุ่มคนนั้นไปได้โดยง่าย

รูปร่างของเขา ตรงตามที่พิสมัยบอกเอาไว้ไม่ผิดเพี้ยน...

แต่ด้วยลักษณะของชายหนุ่มคนนั้น ทำให้เขมิกาเดาไม่ออกว่า ตกลงเขาเป็นชาวต่างชาติแท้ ๆ หรือว่าเป็นลูกครึ่งกันแน่...

เขมิกายืนลังเล อย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เพราะหากชายคนนั้นเป็นชาวต่างชาติแล้วล่ะก็...มีหวัง เธอคงคุยกับเขาไม่รู้เรื่องแน่...

จะพูดภาษาไทยได้หรือเปล่าก็ไม่รู้...ถ้าไม่ได้ เธอจะอธิบายเหตุผลที่มาช้า แล้วขอโทษเขาได้อย่างไรกันล่ะ

ระหว่างที่หญิงสาวกำลังยืนละล้าละลังอย่างคิดไม่ตกอยู่นั้นเอง...ยักษ์...ที่เขมิกานึกค่อนในใจก็กำลังเดินตรงไปที่ลิฟต์...แล้วเขาก็กดปุ่มเพื่อขึ้นไปยังชั้นบนอย่างไม่รีรอ!

ถ้าไม่รีบตามไปเรียกเขาเอาไว้ตอนนี้ มีหวังช่อดอกไม้ในอ้อมกอดคงต้องเป็นหมั่น

ที่สำคัญ...พิสมัยต้องเล่นงานเธอตายแน่!

เมื่อคิดได้ดังนั้น หญิงสาวจึงกอดดอกไม้เอาไว้แนบอก...สูดลมหายใจเข้าลึกยาว เพื่อรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มี...จากนั้นจึงเดินแกมวิ่งตรงไปยังจุดที่ชายหนุ่มคนนั้นยืนอยู่ทันที

...โดยที่เจ้าตัวไม่รู้เลยว่าอนาคตของตนต้องเปลี่ยนไปมากมายเพราะดอกไม้ช่อนี้เป็นเหตุนั่นเอง...

อ่านต่อ

หนังสืออื่นๆ ของ จิรัฐติกาล

ข้อมูลเพิ่มเติม
บทรักมาเฟียร้าย

บทรักมาเฟียร้าย

โรแมนติก

5.0

“ผู้หญิงคนนี้เป็นของมาร์โก ใครก็ห้ามมายุ่งอีกเด็ดขาด” เขาประกาศให้รับรู้ทั่วกัน แต่ถามว่าผู้หญิงของเขาตอนนี้มีสีหน้ายังไง ถามได้! เธอยังช็อกไม่หายปล่อยให้เขาจับจูงเข้าไปในห้องจนเหตุการณ์สงบแล้วเธอก็ยังไม่รู้ตัวเหมือนเดิม! พระเจ้านี่มันเรื่องบ้าอะไร! เธอกลายเป็นผู้หญิงของมาเฟียได้ยังไง เรื่องชักจะวุ่นวายเกินไปแล้ว เธอตามไม่ทันจริง... ตั้งสติไว้ยัยแอน เธอต้องตั้งสติ ตั้งสติบ้าอะไร เขาก็ประกาศอยู่ว่าเธอเป็นของเขา ไม่ ๆ ไม่ใช่ พวกเราแค่นอนด้วยกันคืนเดียว ยังไงก็แค่เรื่องเข้าใจผิด ยังไงเขาก็คงคิดจะขู่เล่น ๆ โธ่เอ้ยยัยโง่ เขาประกาศขนาดนั้น ลองไปสิเธอได้ถูกผูกติดกับเตียงแน่ ชาตินี้อย่าหวังจะไปไหนได้เลย เธอลืมไปแล้วหรือไงว่าคนนั้นคือมาเฟียมาร์โก มาเฟียที่มีอิทธิพลสุดในเมืองนี้! เธอจะบ้าตายเพราะเถียงกับตัวเองนี่แหละ แถมยังต้องมานั่งเสียใจที่มาเจอคนที่น่ากลัวที่สุดในเมือง พระเจ้าแกล้งเธอเกินไปแล้ว แบบนี้เธอจะทำยังไงดี!!

หนังสือที่คุณอาจชอบ

นางบำเรอกับจอมบงการ

นางบำเรอกับจอมบงการ

B.J.BEN
4.7

ธัญญ์... ชายหนุ่มที่เจ็บช้ำกับความรักเมื่อครั้งอดีต วิธาดา... หญิงสาวร้ายกาจที่แอบรักเขาหมดหัวใจ หญิงสาวมองสบตากับเขาในระยะกระชั้นชิด หัวใจบอบบางเรียกร้องให้เธอเปิดเผยความจริงในส่วนลึกของจิตใจ “ฉันรักนายนะธัญญ์ รักนายมานานแล้ว” หล่อนคิดเอาไว้ไม่มีผิดว่าเขาจะต้องทำหน้าตกใจ แม้จะทำใจเอาไว้แล้ว แต่เธอรู้สึกเจ็บปวด มีผู้ชายหลายคนอยากสานสัมพันธ์กับเธอ แต่เธอก็สลัดทิ้ง แต่เขา... คนที่เธอแอบรัก เขากลับมีใจให้น้องสาวของเธอ เขากลับไม่ต้องการความรักของเธอ เขากลับตกใจและมองเธอเหมือนตัวประหลาด “เธอพูดอะไรของเธอ” ธัญญ์ทั้งมึนงง ทั้งตกใจในคำพูดของหญิงสาว “พูดความจริง นายคงไม่เคยรู้มาก่อน นายเป็นผู้ชายคนแรกของฉัน คืนนั้น...” เธอพูดอย่างหมดเปลือก เขาจะดูถูกยังไงก็ช่าง แต่เธอเป็นคนพูดตรงๆ เธออยากให้เขารับรู้และเข้าใจ “แต่ฉันไม่ได้รักเธอ ไม่แม้แต่จะคิด”

ความจำเสื่อม ชีวิตใหม่

ความจำเสื่อม ชีวิตใหม่

Psithurist
5.0

หลังจากที่แฟนหนุ่มประสบอุบัติเหตุรถชนและหมดสติไปหนึ่งสัปดาห์ เขาก็ฟื้นคืนความทรงจำขึ้นมาอย่างกะทันหัน เขาจำได้ว่ามีคนที่เขารักมายาวนาน ดังนั้น สิ่งแรกที่เซิ่งหลินชวนทำเมื่อฟื้นจากอาการโคม่า คือการขอเลิกกับฉินเวย “เรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงที่ฉันความจำเสื่อม ไม่ได้เป็นสิ่งที่ฉันตั้งใจทำจริงๆ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เราตัดขาดความสัมพันธ์ ความรักของเราก็ทำเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นเลย ” ฉินเวยไม่ได้ว่าอะไร บัญเอิญว่าการวิจัยยาใหม่ในห้องทดลองสำเร็จ ฉินเวยจึงขอเข้าร่วมการทดลองยา “เมื่อคุณรับประทานยาเม็ดนี้ ความทรงจำส่วนนี้จะถูกลบไปอย่างถาวร คุณฉินเวย คุณตัดสินใจดีแล้วหรือ?”

คุณสามีเป็นผู้พิการ

คุณสามีเป็นผู้พิการ

Devocean
4.9

"คุณต้องการเจ้าสาว ส่วนฉันก็ต้องการเจ้าบ่าว ทำไมเราไม่แต่งงานกันล่ะ?" ภายใต้เสียงเยาะเย้ยของทุกคน ถังเลี่ยน ซึ่งถูกคู่หมั้นของเธอทอดทิ้งในพิธีแต่งงาน กลับแต่งงานกับเจ้าบ่าวพิการข้างบ้านที่ถูกรังเกียจ ถังเลี่ยนคิดว่าอวิ๋นเซินเป็นชายหนุ่มที่น่าสงสาร และเธอสาบานว่าจะให้ความรักใคร่แก่เขาและตามใจเขาหลังแต่งงาน ใครจะรู้ว่าเขาแกล้งเป็นแบบนั้น... ก่อนแต่งงาน อวิ๋นเซินว่า "เธอต้องสนใจเงินของผมถึงยอมแต่งงานกับผม ผมจะหย่ากับเธอหลังจากที่ผมใช้ประโยชน์เธอเสร็จ" หลังแต่งงาน อวิ๋นเซินว่า "ภรรยาของผมต้องการหย่าทุกวัน แต่ผมไม่อยากหย่า ทำอย่างไรดีล่ะ"

ชายาข้าเป็นหมอนิติเวช

ชายาข้าเป็นหมอนิติเวช

เกาะครีต
4.9

วิญญาณแพทย์นิติเวชที่มีชื่อเสียงในศตวรรษที่ 21 ได้เข้ามาอยู่ในร่างคุณหนูของจวนเสนาบดีอย่างบังเอิญ ผู้คนกล่าวหาว่านางไม่เชี่ยวชาญด้านการแพทย์และทำให้บุตรชายของแม่ทัพตาย ด้วยเหตุนี้ฮ่องเต้ต้องการฆ่านางเพื่อให้คำอธิบายกับแม่ทัพ! ผู้คนกล่าวหาว่านางเป็นคนหยิ่งยโสและเจ้ากี้เจ้าการ ทุกคนเกลียดนาง และครอบครัวของนางต้องการไล่นางออก! ผู้คนกล่าวหาว่านางเป็นคนเลวทรามและไร้ความปรานี วางยาน้องสาว และพ่อของนางต้องการโบยนางจนตาย! ในความเป็นจริงหากอยากจะกล่าวหาผู้ใดสักคน มันก็หาข้ออ้างได้ทั่ว แต่นางเป็นคนไม่ยอมใคร นางผอมบางนางหนึ่งปลุกปั่นโลกด้วยความสามารถอันทรงพลังตนเอง ท่านอ๋องกล่าวว่า หากได้เจ้ามาครอบครอง ข้ายอมทรยศทุกคนในโลก นางกล่าวว่า เพื่อท่าน ต่อให้ทุกคนในโลกเกลียดข้า ข้าก็ยอม

หลินซือเยว่ผู้นี้ มีสามชะตาในคราเดียว

หลินซือเยว่ผู้นี้ มีสามชะตาในคราเดียว

มาชาวีร์
5.0

หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง

บท
อ่านเลย
ดาวน์โหลดหนังสือ