Login to MeghaBook
icon 0
icon เติมเงิน
rightIcon
icon ประวัติการอ่าน
rightIcon
icon ออกจากระบบ
rightIcon
icon ดาวน์โหลดแอป
rightIcon
หุบเขาพรายพิศวาสรัก

หุบเขาพรายพิศวาสรัก

ชนิตร์นันท์

5.0
ความคิดเห็น
333
ชม
34
บท

หญิงงามต้องคำสาป 'การเสพสม' คืออาหาร แต่เมื่อความรักมาเยือน นางจะทำเยี่ยงไร ใจหนึ่งก็รัก แต่ร่างกายก็กระหายหิว!!!

บทที่ 1 EP.01

สองเท้าพาร่างอ่อนล้าเพราะกรำงานหนักมาทั้งวันมุ่งตรงเข้าสู่ตรอกเล็กๆ ที่แยกมาจากถนนเส้นหลักของชุมชนย่านตลาด แม้จะเป็นยามห้ายแต่เสียงพ่อค้าแม่ค้าตะโกนโหวกเหวกร้องเรียกลูกค้าซื้อของ เสียงลูกจ้างโรงเตี๊ยมเรียกลูกค้าเข้าร้าน เสียงหัวเราะต่อกระซิกครื้นเครงจากโรงคณิกา และเสียงการเล่นที่มีเรียงรายตลอดเส้นทางก็ยังดังต่อเนื่องตลอด เสมือนว่าทุกสิ่งบนถนนเส้นหลักนั้นไม่เคยหลับใหล

แต่สำหรับเขา งานรับจ้างแบกข้าวสารที่กรำมาทั้งวัน ก็หนักหนาเสียจนเขาอยากจะทอดร่างลงนอนแล้วให้น้องนางคณิกาที่ชม้อยชายตาให้เมื่อครู่ บีบนวดให้คลายเมื่อย แต่เพราะความจนทำให้ต้องเจียมตัว เงินที่หาได้ในแต่วันก็ต้องเก็บออมไว้ไถ่ถอนที่นาที่เอาไปจำนองไว้เมื่อครั้งแต่งเมีย

เดิมคิดว่าหน้านาครั้งนี้จะได้ข้าวมากพอที่จะขายและปันเงินมาไถ่ถอนได้ แต่โชคชะตาฟ้าก็กลั่นแกล้งให้ปีนี้น้ำท่วมหนัก ข้าวเน่าตายคานาไปแทบทั้งหมด ที่เหลือก็เพียงเอาไว้กิน เขาจึงต้องจากบ้านมาทำงานในเมือง

ดังนั้นไม่ว่าจะอยากปลดเปลื้องความสุขมากแค่ไหน ก็ต้องทนไว้ หรือหากทนไม่ไหว นิ้วมือทั้งห้าก็ช่วยได้ แต่หากพรุ่งนี้เขาขยันมากขึ้น บางทีเขาอาจมีเงินเพียงพอที่จะหาซื้อความสุข แค่ต้องขอให้ ‘ซ้อเจ็ด’ เจ้าของหอคณิกา ช่วยลดราคาค่าตัวแม่นางเหล่านั้นให้หน่อย เขาจะไม่เกี่ยงไม่เลือกนางใด จะให้ซ้อเจ็ดเลือกให้ แม่นางผู้ใดก็ได้ที่จะพอรับเงินน้อยนิดของเขา

“อูย...”

แค่คิด มือกรำงานมาทั้งวันก็ต้องทาบทับกระบองสั้นเอาไว้เพื่อระงับ แต่เสียงหัวเราะของแม่นางคนงามเหล่านั้นก็ยังคงดังต่อเนื่อง เขาจึงต้องเร่งฝีเท้าให้ไวขึ้นอีก ถ้าไม่ได้ยินเสียงหวานหัวเราะต่อกระซิก เขาคงจะห้ามตัวเองจนกว่าจะถึงที่พักได้

ยามดึกเช่นนี้ แสงสว่างจากจันทร์ครึ่งเสี้ยวยังพอให้เห็นเส้นทางได้ ยิ่งเดินมาไกล ทั้งเสียงและแสงก็เริ่มจะลดน้อยลง เพราะแม้จะมีแสงจันทร์นำทาง แต่แนวต้นไม้ที่ขึ้นหนาทึบเรียบริมตลิ่งก็ไม่อาจทำให้จันทร์ทอแสงส่องมาถึงได้

อากาศที่เริ่มเย็นทำให้เขาต้องห่อตัวและเร่งฝีเท้า เพื่อให้ถึงยังจุดหมายโดยเร็ว เพราะหากชักช้าแล้วพบเจอสัตว์มีพิษเข้า เขานี่แหละที่จะเดือดร้อน เพราะคงไม่มีเงินที่จะจ่ายค่าหมอรักษา ลำพังแค่เงินจะหาห้องพักเล็กๆ แค่ซุกหัวนอนก็ยังทำไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่เลือกพำนักที่วัดร้างด้านใน

คิดแล้วก็ท้อใจในโชคชะตาเพราะลำพังแค่เงินค่าจ้างต่อวันก็น้อยแล้ว ยังต้องเจียดไว้สำหรับซื้ออาหารแต่ละมื้อ ดังนั้นเรื่องเข้าพักในโรงเตี๊ยมก็เป็นสิ่งที่ไกลตัว คิดแล้วก็ได้แต่แค่นยิ้ม เพราะจนแสนจน แต่เขายังกล้านึกถึงเรือนร่างของแม่นางเหล่านั้น

ร่างเล็กผอมรีบพาตัวเองเดินลัดเลาะตามริมตลิ่ง สายตาสอดส่ายระแวดระวังภัย แต่แล้วอะไรบางอย่างที่เคลื่อนไหวอยู่ริมน้ำก็ทำให้เขาต้องชะงักฝีเท้า พลางขยี้ตาให้แน่ใจว่าสิ่งที่เห็นนั้นใช่อย่างที่คิดไว้จริงหรือไม่

เรือนร่างขาวโพลนท่ามกลางแสงจันทร์ที่ส่องกระทบกำลังดำผุดดำว่ายอยู่กลางสายน้ำที่แยกตัวมาจากแม่น้ำสายหลักของเมืองหลวง ขนาบกับตรอกที่เขาเดินเข้า ร่างอรชรแหวกว่ายไปในทิศทางที่เขากำลังตรงไป ‘ท่าน้ำหน้าวัดร้าง’ สถานที่ที่เขาใช้สำหรับชำระล้างร่างกายในแต่ละค่ำคืน

สองเท้าพาก้าวเร็วไวตามใจที่โลดแล่น แม้ว่ามันอยากจะหยุดเต้นเสียเวลานี้ เพราะหากเขาไม่ได้ตาฝาดไป สิ่งที่เห็นนั้นคือ สาวน้อยรูปร่างอรชรที่ไม่ได้นุ่งห่มอะไรเลยสักชิ้น ร่างของแม่นางผู้นั้นเปล่าเปลือยจนเห็นความอวบอิ่มนูนเด่นได้อย่างถนัดตาและยิ่งใหญ่จนเขาอยากไปเห็นให้ใกล้กว่านี้

ยิ่งเดินเข้าใกล้ ดวงตาหื่นกระหายก็ไม่อาจละจากอกอวบอิ่มที่เห็นปริ่มน้ำได้เลย เพราะทรวงอกนั้นไม่ต่างจากดอกบัวคู่งามที่โผล่พ้นผิวน้ำขึ้นมา มันทั้งอูมใหญ่ ทั้งขาวผ่องกระจ่างชัดอยู่ในค่ำคืน และเมื่อเจ้าของดอกบัวคู่ใหญ่หันมาเห็นเขา หญิงสาวก็ทำท่าเอียงอาย แต่ชม้ายตาให้เขาราวกับเย้ายั่ว

เขาพาตัวเองมาหยุดอยู่ที่ท่าน้ำ แต่ไม่วายจะหันมองเข้าไปด้านใน เพราะวัดร้างแห่งนี้ไม่ได้มีเขาอยู่เพียงผู้เดียว แต่ยังมีคนทุกข์ยากแบบเขามาอาศัยอยู่ด้วยกันหลายคน แค่มีที่ซุกหัวนอนเท่านั้น เขาอยากให้แน่ใจว่านอกจากเขาแล้ว ไม่มีใครเห็นแม่นางน้อยยั่วเย้าผู้นี้

เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใคร เขาไม่รอช้าที่จะก้าวเข้าใกล้

ริมฝีปากอวบอิ่มของสาวน้อยแย้มยิ้มพร้อมกับส่ายทรวงอกสะท้านผิวน้ำไปมาราวกับว่าหากขืนเขายังช้ากว่านี้ บัวคู่งามก็อาจจะหลบลี้หนีจากไปได้

ไม่มีอะไรอยู่ในหัวของเขาอีกแล้วในเวลานี้ สิ่งที่เห็นตรงหน้าสั่งการให้ฝ่ามือหยาบใหญ่จากการกรำงานหนักมาทั้งวันและตลอดชั่วชีวิตนี้ไม่รอช้า เร่งถอดเอาเสื้อผ้าชุ่มเหงื่อออกจากร่างแต่โดยเร็ว ฝ่าเท้าพาก้าวลงสู่ริมตลิ่งทั้งที่ดวงตากระหายยังคงจับจ้องใบหน้างามที่มองมาอย่างเรียกร้องเชิญชวน

อ่านต่อ

หนังสืออื่นๆ ของ ชนิตร์นันท์

ข้อมูลเพิ่มเติม
คนงานบ้านนายฝรั่ง

คนงานบ้านนายฝรั่ง

โรแมนติก

5.0

หากนาไม่แล้ง ข้าวไม่แห้งตาย ‘เดช’ ก็ไม่คิดจะหอบเอา ‘ฟ้า’ เมียรักเข้ามาทำงานในเมืองกรุง แต่ความจนทำให้เลือกไม่ได้ และงานดี เงินดี เจ้านายเห็นใจ ก็เป็นเส้นทางที่ดีที่สุด ทว่า... หากรู้ว่ามาแล้วจะต้องเสียเมียให้นายฝรั่ง เดชเลือกที่จะไม่มาเสียยังดีกว่า แต่... เสียแล้วคือเสียเลย สิ่งเดียวที่จะชดเชยความแค้นก็คือ ‘เมียนาย’ คุณผู้หญิงเร่าร้อน เร่งเร้า รุนแรง และมากครั้งเท่าที่ต้องการ เดชไม่รู้แล้วว่านั่นคือการแก้แค้นหรือรางวัล +++++ ‘เดช’ พา ‘ฟ้า’ เมียรักมาทำงานที่บ้านนายฝรั่ง แต่ ‘คริส’ นายฝรั่งกินเมียเขาไปแล้ว และยังเอาดุ้นยาวใหญ่มาล่อให้ฟ้าติดใจ จนฟ้ากินไม่อิ่มไม่พอ อยากได้อะไรที่เทียบเท่า เขาก็เลยแอบกิน ‘โรส’ เมียของนายฝรั่ง แก้แค้นให้สาสม แต่แค้นช่างแสนหวานและฉ่ำชุ่ม จนเขาต้องกินซ้ำๆ ยิ่งได้กินพร้อมๆ กับพี่โชค เขาก็ยิ่งเมามัน และแน่นอนว่าโรสชอบ ในขณะที่นายฝรั่งกระหยิ่มยิ้มที่ได้กินเมียเขา เดชกลับสุขและยิ้มกว้างยิ่งกว่า เพราะเขาได้กิน ‘คุณหนูแพทตี้’ คุณหนูช่างร่านร้อนไม่ต่างจากแม่ แน่นอนว่าเขาชวนพี่โชคมากินด้วย

รับ(ลับ)ฉบับมาดาม

รับ(ลับ)ฉบับมาดาม

โรแมนติก

5.0

#มาดามทรายกับชายเลี้ยงม้า เปิดประสบการณ์รักร้อนในฟาร์มม้ากันสักครั้ง หรือจะลองกลิ่นฟางแห้งบ่มแดดอุ่นๆ ในโรงนาก็ไม่เลวนะ +++++ เคิร์กรู้ว่าฉันชอบขี่ม้า เขาจึงสอนให้ฉันขี่ม้าจริงๆ หลังจากขี่เขาจนช่ำชองมาหลายครั้ง และฉันก็หัวไวสอนง่ายซะด้วย เพราะเมื่อฝึกหัดขี่ม้าจริงตอนเย็นเสร็จ พอตกกลางคืนฉันก็ซ้อมขี่กับม้าเทียมอย่างเคิร์กอยู่ทุกวัน ไม่ได้ว่างเว้น และก็มีบ้างเป็นบางวันที่ฉันทนไม่ไหวและเคิร์กก็อดไม่ได้ เมื่อฟางใหม่หอมกลิ่นแดดเร่งเร้าความกำหนัดของเราเหลือเกิน เคิร์กก็จะพาฉันไปซ้อมขี่กันที่คอกม้าในโรงนาซะหลายครั้ง และความตื่นเต้นก็ทำให้ฉันกับเคิร์กคึกคักกันมากเป็นพิเศษ ยามที่ฉันควบขี่เคิร์กอยู่ในโรงนา กลิ่นฟางแห้งที่รองรับร่างกายยิ่งใหญ่ของเขาอยู่นั้น เร้าใจจนฉันควบขี่เขาได้ไวกว่าที่เคยทำได้ บั้นเอวและช่วงบั้นท้ายทำหน้าที่โยกตัวไปข้างหน้าและโย้มาข้างหลัง ทว่าปากก็ร่ำร้องบอกถึงความเสียวซ่านที่ดุ้นบังเหียนกระทำกับร่องลึกลับของฉันอยู่ตลอดเวลา

หนังสือที่คุณอาจชอบ

บังเอิญหรือพรหมลิขิต

บังเอิญหรือพรหมลิขิต

โรแมนติก

5.0

เธอเกิดในครอบครัวที่ร่ำรวย แต่ต้องประสบเคราะห์กรรมสูญเสียแม่ไปตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่วันนั้นเธอก็ไม่มีวันอยู่เป็นสุขเลย พ่อแท้ ๆ และแม่เลี้ยงของเธอบังคับให้เธอแต่งงานกับชายที่เธอไม่รักแทนน้องสาวต่างมารดาของเธอ เธอไม่ยอมแพ้ต่อชะตากรรมของตน ในวันแต่งงาน เธอหนีออกจากบ้านไปและได้มีอะไรกับชายแปลกหน้าคนหนึ่งในคืนนั้น หลังจากนั้นเธอก็พยายามจะหนีไปแต่สุดท้ายก็ถูกพ่อเธอหาจนพบ และหนีไม่รอดชะตากรรมที่จะต้องแต่งงานแทนน้องสาว เธอจะพบว่าชายที่เคยมีอะไรกับเธอในคืนนั้นก็คือสามีของเธอหรือไม่ และเขานั้นจะรู้ว่าเธอเป็นแค่เจ้าสาวปลอมหรือไม่ ตลอดจนความลับเบื้องหลังของสามีคนจนจะเป็นเช่นไร ติดตามไปด้วยกันเลย

ไฟร้อนซ่อนสวาท

ไฟร้อนซ่อนสวาท

โรแมนติก

5.0

“เปล่านะ ฉันไม่ได้โกหกสักหน่อย แค่ไม่ได้บอกว่าจะให้รางวัลมากน้อยแค่ไหนและตอนไหนเท่านั้นเอง” คนเจ้าเล่ห์ตอบกลับเสียงใส รีบปลดสองแขนใหญ่ออกจากร่าง ลุกขึ้นไปยืนยิ้มหน้าระรื่น “เอาน่า...ฉันไม่ผิดคำพูดหรอก แค่ยืดเวลาออกไปนิด คุณคงไม่ถึงกับลงแดงหรอกนะ” “ได้จ้ะเมียจ๋า แต่เดี๋ยวถึงเวลาฉันทวงรางวัล เธอจะมาว่าฉันมักมากไม่ได้นะ” “ให้มันแน่เถอะค่ะคุณสามีขา...แก่แล้วนะคะ กลัวจะตายคาอกฉันน่ะซิ” นิลลดาตอบกลับด้วยรอยยิ้ม ทว่าในใจเธอกลับขลาดกลัว เพราะดันมีเรื่องปกปิดชายหนุ่มเอาไว้น่ะซิ ************ “คะ...คุณภูมิต้องการอะไรล่ะคะ” เอ่ยถามเสียงใสพลิ้ว “ถ้าฉันให้ได้ก็จะให้ค่ะ” “ฉันก็แค่อยาก...” นิ้วยาวร้อนผ่าวทาบทับคลึงบนกลีบปากนุ่ม “กอดเธออย่างแนบชิด แล้วก็จูบ...จูบไปทั่วทั้งตัวเธอเท่านั้นเอง” “บ้า!! คุณภูมิน่ะ” ยกมือทุบอกกว้างเบาๆ “เราไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย คุณขอแบบนั้นได้ยังไง” “ไม่ได้หรือยายดำ” ภูมินทร์ทำหน้ามุ่ย ทำตาละห้อยโหยหาราวกับว่าจะต้องจากลาไปในบัดเดี๋ยวนี้

หลินซือเยว่ผู้นี้ มีสามชะตาในคราเดียว

หลินซือเยว่ผู้นี้ มีสามชะตาในคราเดียว

โรแมนติก

5.0

หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง

บท
อ่านเลย
ดาวน์โหลดหนังสือ