อัศวินต้องมนต์

อัศวินต้องมนต์

azcculture

5.0
ความคิดเห็น
1
ชม
5
บท

'เอซ ไนท์ หนุ่มเนิร์ดผู้เงียบขรึมที่ไม่เคยจะแหกกฎใดๆในชีวิต ได้มาพบกับ เวโรนิกา สาวลึกลับปริศนาที่ทำให้เขาหัวใจเต้นแรงและไม่เป็นตัวของตัวเอง การปรากฎตัวของเธอแต่ละครั้งมีแต่เรื่องชวนประหลาดใจ เธอเป็นใคร เธอมาทำอะไร เธอร่ายเวทมนต์อะไร ทำไมเขาถึงใจสั่นได้ถึงเพียงนี้ “นายเคยไปสวนสนุกตอนกลางคืนหรือเปล่า” เธอถามและนั่นทำให้ผมขมวดคิ้ว ส่ายหัวไปมา “เยี่ยมไปเลย ปะ! เราจะสนุกกัน” ยี่สิบนาทีต่อมา เราก็มายืนอยู่หน้าสวนสนุกกลางคืนเสียแล้ว ผมอยากจะกลับ แต่แน่นอนว่าผมไม่เคยมาที่นี่มาก่อน “ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย” เธอหัวเราะ “แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม นายเห็นด้วยไหมว่าการได้อยู่ที่นี่มันวิเศษมาก” เธอถาม ผมไม่รู้ว่าผมชอบเจ้าเครื่องเล่นนี้เหล่านี้หรือเปล่า แต่ที่แน่ๆคือผมชอบการที่ได้อยู่เป็นเพื่อนเธอมาก

บทที่ 1 เธอกำลังทำอะไรอยู่กันแน่

หลักฐานแรกของฮีเลียมถูกค้นพบเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม ค.ศ. 1868 เป็นเส้นสีเหลืองสดใสที่มีความยาวคลื่น 587.49 นาโนเมตรในสเปกตรัมของโครโมสเฟียร์ของดวงอาทิตย์ เส้นดังกล่าวถูกตรวจพบโดยนักดาราศาสตร์ชาวฝรั่งเศส จูลส์ แจนเซนระหว่างเกิดสุริยุปราคาเต็มดวงในเมืองกุนตูร์ ประเทศอินเดีย โดยแต่เริ่มเดิมทีเส้นนี้ถูกสันนิษฐานว่าเป็นโซเดียม...

สายตาของผมกวาดดูสารานุกรมเพื่อศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับก๊าซฮีเลียม สิบสี่วันแล้วที่ผมติดอยู่กับวิชานี้ และยิ่งเมื่อได้อ่านเรื่องนี้มากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งหลงใหลมันมากขึ้นเท่านั้น และนั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผมถึงได้นั่งอยู่ในห้องสมุด อ่านสารานุกรม และจดบันทึกประเด็นต่างๆลงในสมุด

“เอซ?”ผมเงยหน้าขึ้นและพบว่าจุง-ฮวากำลังเดินมา มือของเขาเต็มไปด้วยกระดาษวาดรูปในขณะที่เขาวางมันไว้บนโต๊ะและนั่งลงตรงหน้าผม

“นี่อะไรน่ะ” ผมถามขณะที่หยิบสมุดวาดรูปเล่มหนึ่งออกมาแล้วเปิดออกเพื่อค้นหาแผนผังเซลล์ของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด

"รายงาน!" เขาพูดด้วยสำเนียงเกาหลีของเขา

"โอเค!" ผมพูดขณะที่หันกลับไปสนใจกับสมุดบันทึกของตัวเอง “นายทำงานเสร็จแล้วเหรอ” เขาถามซึ่งทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมองเขา “ยังเลย” เป็นคำตอบง่ายๆของผมขณะที่ก้มลงดูสารานุกรมต่อไป “ฉันกำลังยุ่งอยู่”

"ยุ่งอะไรของนาย?พรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายในการส่งรายงานแล้วนะเอซนายเองก็รู้จักคุณแอคตันเป็นอย่างดีไม่ใช่หรือ และยิ่งไปกว่านั้น เขามอบหมายรายงาน 20ชิ้นที่ต้องทำให้เสร็จและส่งภายในสองสัปดาห์นี้ นักเรียนครึ่งหนึ่งวิ่งมาที่นี่เพื่อค้นหาสื่อการเรียน และนี่ก็ใกล้ถึงกำหนดแล้ว! นายแย่แน่!” เขาอุทานในขณะที่เงยหน้าขึ้นและขยี้ผม

“กำหนดส่งคือวันพรุ่งนี้ ถึงเวลานั้น เรายังมีเวลาอีกมากที่จะทำมันให้เสร็จ” ผมพูดขณะหยิบปากกาเน้นข้อความและใช้มันขีดทับเส้นหนึ่งในสมุดบันทึก

"แน่นอน! ฉันลืมไปแล้วว่ากำลังคุยกับใครอยู่” เขาหัวเราะ ผมมองเขาและส่งสัญญาณให้เขาลดเสียงลงหน่อย เขากัดลิ้นขณะหันมองรอบๆ ว่าเขากำลังรบกวนใครในห้องสมุดหรือไม่

“อัจฉริยะผู้ยิ่งใหญ่ คุณเอซ ไนท์” เขากระซิบและนั่นทำให้ผมยิ้ม“ฉันไม่ชอบชื่อนั้นจริงๆ” ผมบอกออกไป และที่เขาทำคือหยิบกระดาษภาพวาดทั้งหมดแล้วยักไหล่ให้ผม

"จริงเหรอ?" เขาหัวเราะ “แต่รอยยิ้มของนายมันบอกสิ่งที่กลับกันนะ และยิ่งไปกว่านั้น ทุกคนก็รู้จักนายด้วยชื่อนี้กันทั้งนั้น” เขาขยิบตาให้ผมและนั่นทำให้ผมถอนหายใจ

“ฉันรู้ว่านายสามารถทำงานที่ได้รับมอบหมายให้เสร็จภายในคืนเดียว แต่ช่วยทำส่วนของฉันด้วยได้ไหม ฉันยังมีงานอีกห้างานที่ต้องทำให้เสร็จ นายช่วยมาที่ห้องของฉันได้ไหมหลังจากที่งานของนายเสร็จแล้ว...” เขามองที่สมุดบันทึกของผมและสารานุกรม”

“ฉันทำเกือบจะเสร็จแล้วล่ะ! ไปที่ห้องของนายก่อนเลยอีกชั่วโมงนึงฉันจะตามไป” ผมพูดขณะลุกขึ้นและปิดหนังสือและเก็บของทั้งหมด หยิบเครื่องเขียนและปากกาเน้นข้อความกลับเข้าไปในกระเป๋า

"นายกำลังจะไปไหน?" เขาถามขณะมองมาที่กระเป๋าของผม“หาอะไรกิน...” ผมยิ้ม เขาพยักหน้า แล้วเราสองคนก็เดินออกจากห้องสมุด

หกปีแล้วที่ผมมาอยู่ที่ลอนดอนต้องจากบ้านและอยู่ห่างไกลจากครอบครัว แม่ผมไม่ค่อยชอบกับการที่ผมไปอยู่ต่างประเทศ แต่โชคดีที่พ่อของผมคอยสนับสนุน และนั่นทำให้ผมได้ย้ายมาอยู่ที่ มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์แห่งลอนดอนตั้งแต่อายุยังน้อยเพื่อเรียนต่อ ชีวิตในลอนดอนเป็นเรื่องยากสำหรับผมเพราะฉันคิดถึงแม่มากรวมถึงคิดถึงอาหารฝีมือเธอ

บางครั้ง แม่กับเอมีเลียน้องสาวของผมก็จะมาเซอร์ไพรส์โดยการมาเยี่ยม แต่นอกจากนั้นเราก็จะเฟสไทม์กันทุกคืน จนกลายเป็นกิจวัตรของเราสองคนไปแล้ว ซึ่งสร้างความรำคาญให้กับพ่อมาก เพราะการโทรคุยกันนี้จะกินเวลาสามถึงสี่ชั่วโมง เหมือนเป็นการทิ้งพ่อไว้คนเดียว

พวกเขาก็เหมือนกับพ่อแม่คนอื่นๆที่ห่วงใยและรู้สึกกังวล ผมรู้ว่าพ่อของผมได้แอบมอบหมายให้ยามที่ประตูมหาลัยคอยตามดูผมและรายงานเขาทุกครั้งที่ทำได้ พ่อของผมทำสิ่งต่างๆอย่างลับๆ แต่ผมก็รับรู้ได้และนั่นก็ไม่เป็นไรเลย

"ขอไก่แคริบเบียนแบบไม่เผ็ดได้ไหมครับ" ผมกล่าวกับหญิงคนเสิร์ฟอาหาร และเธอยิ้ม "แน่นอนที่รัก!" แล้วเธอก็หยิบไก่เพิ่มและยื่นถาดให้ฉัน "นี่จ้ะ!" ผมยิ้มให้เธอและกล่าว "ขอบคุณครับ" ขณะที่ตาก็มองหาที่นั่งในโรงอาหาร

ในที่สุดปมก็ได้ที่นั่งมุมใกล้หน้าต่าง ผมนั่งลงโดยวางกระเป๋าไว้บนเก้าอี้ข้างๆ ขณะที่กำลังนั่งกินอย่างสงบ โรงอาหารนั้นหนาแน่นไปด้วยผู้คน นักศึกษานั่งกันเป็นกลุ่มเพลิดเพลินไปกับอาหารคุยเล่นกันและหัวเราะกัน

เช่นเคยผมอยู่คนเดียวนั่งห่างจากพวกเขา แยกตัวเอง ส่วนใหญ่แล้วผมมีจะมีจุงที่อยู่เป็นเพื่อน แต่บางครั้งผมก็อยู่คนเดียวเสมอ ไม่ใช่ว่าผมเข้ากันไม่ได้กับเพื่อนๆกลุ่มอื่นหรืออะไรก็หรอกนะ แต่เป็นผมเองที่ชอบอยู่คนเดียว ชอบจดจ่ออยู่กับการกินอาหารอย่างเงียบๆ มากกว่าการพูดคุยเรื่องผู้คนหรือการเข้าสังคม

“ดูสิว่าใครมา” ผมได้ยินเสียงน่ารำคาญที่คุ้นเคยและไม่อยากแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง“อัจฉริยะผู้ยิ่งใหญ่ คุณเอซ ไนท์” เอลเลียต อับรามแกล้งพูดใส่ผมด้วยโทนเสียงของผู้หญิงขณะที่ผมยังคงกินอาหารต่อไป

ทำไมเขาถึงจะต้องปรากฏตัวทุกครั้งที่ผมกำลังกินนะ?เขากำลังมองปราดมาที่อาหารของผมผมควรจะต้องรีบกินให้อิ่มโดยเร็วที่สุด “เฮ้ ไอ้เนิร์ด ฉันกำลังคุยกับแกอยู่นะ!” เขาพูดถาดถางไปพร้อมๆกับตบโต๊ะทำแกงในจานกระเด็นเลอะแว่นตาของผม

เยี่ยมเลย!พวกเขาหัวเราะเยาะเหมือนหมาไฮยีน่าที่เพลิดเพลินกับสภาพของผมขณะที่ผมถอดแว่นออกและเช็ดคราบแกงโดยใช้กระดาษทิชชู่ ช่างเป็นวันที่แสนธรรมดาอะไรเช่นนี้!

อันที่จริงมันเป็นวันธรรมดาสำหรับผม เพราะตั้งแต่วันที่ผมเข้าเรียนที่นี่ เอลเลียต อับรามลูกชายของผู้ดูแลมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ได้ตั้งเป้าที่จะรังแกผมไปจนวันสุดท้าย เขาไม่ชอบผมตั้งแต่แรกและตั้งเป้าหมายที่จะพรากเวลาพักผ่อนอันเงียบสงบของผมไปทุกวัน ผมมีภูมิคุ้มกันจากการกระทำของเขามานานแล้ว และสิ่งที่เขาทำ ก็ไม่มีผลอะไรกับผมเลย

ผมใช้เวลาหกปีในความชาชิน ถูกขังในห้องน้ำ บางครั้งผมก็พบว่าแปรงสีฟันของผมอยู่ในโถส้วม กระดาษโน๊ตของผมถูกฉีกทิ้งลงถังขยะ แว่นตาแตก ถูกปาอาหารใส่หน้า และทุกอย่างที่แสนจะวุ่นวาย กลับกลายเป็นว่าผมได้รับภูมิคุ้มกันจากการกระทำที่ผมไม่สนใจจริงๆ มันเหมือนเป็นกิจวัตรปกติของผมไปแล้วในตอนนี้

ที่จริงแล้วผมสามารถไปร้องเรียนเกี่ยวกับการกระทำของเขาได้ตลอดเวลาและก็แน่ใจว่าพ่อของผมสามารถแก้ปัญหาและโยนพ่อของเขาออกจากเมืองได้อย่างง่ายดาย แต่ในเมื่อผมอยู่ห่างจากบ้าน ผมไม่มีความปรารถนาใดๆที่จะทำให้ครอบครัวของผมต้องกังวลโดยเฉพาะแม่เธออาจจะเจ็บปวดมากหากเธอรู้เรื่องนี้เข้า

เหลือเวลาอีกหนึ่งปีเท่านั้น ก่อนที่เราจะเรียนจบ เราทุกคนต่างอยู่ในเส้นทางที่จะไล่ตามความฝัน และผมตัดสินใจที่จะอดทนกับสิ่งนี้ให้นานขึ้นอีกหน่อย เพราะผมรู้ว่าผมจะไม่ต้องเจอหน้าเขาอีกในชีวิตนี้

เอลเลียตแก่กว่าผมหนึ่งปีและสูงกว่าเขามีผมหยักโศกสีแดงและมีรูปร่างที่ดีอยู่เหมือนนักมวยปล้ำซูโม่ขนาดเล็ก ปกติเขาชอบจะดึงปกคอเสื้อผมแล้วเหวี่ยงผมไปมา หรือดึงผมขึ้นมาจากพื้นด้วยปกคอเสื้อ แล้วเหวี่ยงโยนผมทิ้งที่ไหนสักแห่งหรือเกือบทุกครั้ง ลงในถังขยะ...

แต่ผมให้ความสำคัญกับเขาน้อยลงเพราะแม่ของผมเคยบอกเสมอว่าคนที่ชอบเรียกร้องความสนใจ มักต้องการแสดงให้เห็นว่าพวกเขามีอำนาจทำให้ทุกคนจะต้องเคารพและเกรงกลัวพวกเขา เป้าหมายหลักคือการเรียกร้องความสนใจ นั่นเป็นสาเหตุที่ผมไม่เคยให้ความสำคัญกับเขาเลย และเพิกเฉยต่อการกระทำของเขาราวกับเป็นมารผจญ ซึ่งสร้างความรำคาญให้กับเขามาก

“อะไรกัน ไนท์? แกจะเก็บผมมันเยิ้มแบบนี้ของแกไว้ที่หลุมศพน่ะเหรอ” เขากล่าวถึงผมหวีไว้อย่างดีของผม และแม้ว่าผมอยากจะกลอกตาใส่เขา แต่ก็ห้ามตัวเองไม่ให้ทำเช่นนั้น

จุงมันอยู่ไหนจุงไม่ได้กลัวเขาจริงๆ อันที่จริง จุงเป็นคนเดียวที่ตอบโต้เขา และต้องลงเอยด้วยการต้องเจ็บตัวเพื่อฉันเสมอ“แล้วเพื่อนคนจีนของนายอยู่ไหน” เขามองไปรอบๆ ผมขมวดคิ้ว “เขาเป็นคนเกาหลี” ผมแก้สิ่งที่เขาพูด เขาหันมาทันที และก็ยิ้มเยาะ “ในที่สุดเจ้ากบก็ใช้ลิ้นของมันพูดได้”

"เอ้านี่!" เขาโยนแผ่นกระดาษต่อหน้าผม “ทำรายงานของฉันให้เสร็จและส่งไปที่ห้องของฉันก่อนแปดโมง” เขาออกคำสั่ง ผมหยิบกระดาษเหล่านั้นส่งกลับไป

"ฉันยังทำของฉันไม่เสร็จเลย ทำไม่ได้หรอก" ขณะที่ผมพูดอยู่นั้น ถาดอาหารของผมถูกโยนทิ้งและอาหารกระเด็นปลิวไปทั่วหน้าต่างผู้คนต่างมองมาทางเราทันที“เป็นอะไรไป อับราม” เพื่อนของเขาอีกสองคนเดินเข้ามาสมทบและก็พากันเยาะเย้ยผม

“ไอ้เนิร์ดนี่ฉลาดแกมโกงตรงนี้แหละ” เขาพูดและพวกมันก็จ้องมาที่ผม“ดูสิ ไนท์! ฉันให้งานแกไปแล้ว และแกก็ต้องทำ” ผมหายใจไม่ออกขณะที่เขาดึงคอเสื้อเอาไว้ “ทำให้เสร็จตรงเวลาถ้าแกไม่ทำละก็—” เขาถูกใครบางคนขัดจังหวะ จากเสียงกระแอม

“ฉันขอนั่งตรงนี้ได้ไหมคะ” หญิงสาวคนหนึ่งถามขึ้นท่ามกลางความสับสนวุ่นวายผมมองออกไปพบหญิงสาวผมสีดำเข้มกำลังถือถาดอาหารและมองดูที่นั่งว่างข้างๆ ผมไม่เคยเห็นเธอมาก่อน เธอทำเฉยต่อเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น และมองมาที่คอเสื้อผมที่มีมือของเอลเลียตคว้าดึงอยู่

“เฮ้ เด็กใหม่! เธอไม่เห็นหรือไงว่าเกิดอะไรขึ้น?” เอลเลียตคำรามใส่เธอ และทั้งหมดที่เธอทำคือเลิกคิ้วมองเขา“เวโรนิกา ฉันชื่อเวโรนิกา” เธอพูดขณะวางถาดบนโต๊ะของฉัน

เอลเลียตปล่อยคอเสื้อของผมทันที และหันเหความสนใจของเขาทั้งหมดไปที่เธอ ทันใดนั้นเขาก็มองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วยิ้มเยาะ

“อ้อ สวัสดี เวโรนิกา” เขายื่นมือไปข้างหน้าเพื่อจับมือ ผมขยับเสื้อและแว่นตาเพื่อหาทางออกไปจากตรงนี้ คงจะดีถ้าผมหยิบกระเป๋าขึ้นมาและอยู่คนเดียวผมไม่ต้องการจะทำรายงานให้เขา และนั่นคือเหตุผลที่ผมรีบหยิบกระเป๋าขึ้นมาจากเก้าอี้

“ขอบคุณค่ะ” เธอพูดแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ทันทีเพื่อกันไม่ให้ผมออกเดินออกไปผมที่นั่งข้างหน้าต่างตรงหัวมุมมีวิธีเดียวที่จะออกจากโต๊ะคือต้องผ่านเก้าอี้ที่ผู้หญิงคนนั้นนั่งอยู่

ก็...วันธรรมดาไง!

“เธอเมินฉันเหรอ เวโรนิกา” เอลเลียตโน้มตัวและมองที่เธอในขณะที่เธอหยิบถาดอาหารและเริ่มกินโดยไม่สนใจคนพาลผมแดงที่อยู่ข้างหน้าเธอ ผมอยากจะบอกเธอว่าเธอไม่ควรอย่าทำอย่างนั้นถ้าเธอไม่ต้องการที่จะอยู่ในลิสรายชื่อของเอลเลียต แต่เมื่อเอลเลียตอยู่ตรงหน้า ผมก็พูดอะไรไม่ได้ผมกอดกระเป๋าและเฝ้าดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น

ในทางกลับกัน เวโรนิกาหยิบส้อมและกินสลัดอย่างเงียบๆ โดยไม่สนใจเอลเลียต และผมสังเกตเห็นว่านี่เป็นสิ่งที่ยิ่งทำให้เอลเลียตรำคาญใจมากยิ่งขึ้นไปอีกใบหน้าของเขาแดงก่ำด้วยความโกรธ และเขาก็ตบโต๊ะอีกครั้ง

"ใช่?" เวโรนิกายังคงกินอาหารของเธอไปด้วยความสงสัย

ฟังนะ เด็กใหม่...เธอต้องรู้ตำแหน่งแห่งที่ของเธอต้องตอบฉันเวลาที่ฉันถาม หากเธอไม่อยากมีปัญหา ชัดเจนไหม ถ้าเธออยากรู่ว่าจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นกับเธอบ้างก็ลองถามไอ้เนิร์ดข้างๆเธอดีกว่า เขายิ้มเยอะมองมาทางผม และผมก็พบว่าขาของผมสั่นไปมาราวกับรู้ว่าจะมีสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้น

“ตกลง” เป็นคำตอบของเธอขณะที่เธอกินอาหารต่อไป โดยไม่สนใจสิ่งที่เอลเลียตเพิ่งพูด

“และ...” ผมมองดูเอลเลียตยื่นมือขึ้นไปในอากาศพร้อมที่จะโยนถาดอาหารของเธอทิ้ง เป็นการรักษาอำนาจและข่มขู่และผมก็แน่ใจว่าถาดอาหารกำลังจะตกลงมาที่ผม และนั่นเป็นทำให้ผมกอดกระเป๋าแน่นพร้อมใช้มันเป็นโล่ แต่ไม่นานผมก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นเวโรนิกาหยุดมือของเอลเลียตที่กำลังตีถาดอาหารด้วยมือซ้ายของเธอ

เธอจับที่ข้อมือของเขาอย่างง่ายดายและกินต่อไปโดยใช้มือขวา ทำให้ทุกคนในโรงอาหารอ้าปากค้าง

"และในขณะที่ผมอยู่ที่นี่ ให้ผมอธิบายให้คุณได้เห็นภาพชัดเจน สิ่งแรกคือ..." เสียงร้องดังเล็ดลอดออกมาจากปากของเอลเลียตขณะที่ผมกระโดดขึ้นนั่งและมองดูเขาด้วยความสยดสยอง “อย่ารบกวนเวลาฉันกิน ฉันไม่ชอบให้ใครมารบกวนเวลาที่ฉันกิน” เวโรนิกาพูดและฉันก็มองดูเธอกดข้อมือของเขาและหมุนให้อยู่ในท่าแปลก ๆ ทำให้เขากรีดร้อง การจับของเธอดูไม่ได้แน่นหา แต่ผมรู้สึกทึ่งกับความจริงที่ว่าเธอสามารถทำร้ายเอลเลียตได้ด้วยมือเดียว

เธอกำลังทำอะไรอยู่กันแน่?

เอลเลียตเหวี่ยงมือซ้ายซึ่งยังอยู่ในกำมือของเวโรนิกาเพื่อต้องการสะบัดให้หลุด แต่เวโรนิกากลับจับมันพลิกได้มากกว่าเดิม และเขากรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ในที่สุดเวโรนิกาก็ปล่อยมือแล้วหยิบมีดค่อยๆหั่นไก่ เธอมองมาที่เอลเลียตที่กำลังสาปแช่งเธอในใจ

“เอาล่ะ นายจะได้รู้จักฉันมากขึ้นในหนึ่งปีนี้ ฉันจะทำนายรู้เรื่องอื่นๆที่ฉันไม่ชอบด้วย ถ้านายไม่ว่าอะไร” เธอหยิบไก่ชิ้นหนึ่งขึ้นมา แล้วเอาเข้าปาก "ฉันกำลังกินอยู่" เธอพูดจบ และเอลเลียตลุกขึ้นยืน ขณะที่เพื่อนๆ ของเขาดูสับสนกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นและจ้องไปที่เวโรนิกา

“เธอกำลังหาเรื่องใส่ตัว เราจะต้องเจอกันอีกแน่เร็วๆนี้” เอลเลียตพูดขณะจัดเสื้อของเขาให้เข้าที่และจ้องมองเธอขณะกำลังเดินจากไปพร้อมหยิบสมุดภาพวาดขึ้นด้วยความโกรธ

ผมไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น ผมมองไปที่เวโรนิกาที่ยังคงกินอาหารของเธอต่อไปราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำไมเธอถึงทำอย่างนั้น? ผมอยากจะถามแต่ก็คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องของผมผมอยากจะออกไปจากตรงนี้แต่ก็ทำไม่ได้เพราะเธอกำลังทานอาหารอยู่ และฉันจำได้ว่าเธอบอกว่าเธอไม่ชอบเวลาที่มีคนมารบกวนเธอขณะทานอาหารผมก็เลยนั่งรอเธอกินเสร็จเพื่อที่จะได้ออกไปกลายเป็นว่าวันนี้ไม่ใช่วันปกติอย่างที่ผมคิดไว้

อ่านต่อ

หนังสืออื่นๆ ของ azcculture

ข้อมูลเพิ่มเติม
สลับร่าง สลับรัก

สลับร่าง สลับรัก

โรแมนติก

5.0

อาเรียน่า เฟอร์เรอร์ หญิงสาวยุคโบราณ อายุ 18 ปี ได้รับของขวัญวัดเกิดสุดเซอรไพร์ส ด้วยการถูกส่งตัวไปเป็นผู้ช่วยนางสนมในวัง จากผู้ช่วยนางสนมกลายเป็นนางสนมเองในข้ามคืน พร้อมด้วยถูกข้อหาฆ่าสนมเอกติดตัว อนิกา เปเรซ ซีอีโอ สาวสุดสุดฮอทในยุคปัจจุบัน ขึ้นชื่อในเรื่องความสวยรวยเก่ง พร้อมข่มขู่และอยู่เหนือเหล่าชายหนุ่มที่เข้ามาหมายปองเธอทุกคน แต่แล้ว อาเรียน่า เฟอร์เรอร์ และ อนิกา เปเรซ ได้เกิดเหตุให้ต้องเปลี่ยนสถานที่และจิตวิญญาณอย่างกระทันหัน อาเรียน่ามาจากอดีตและตอนนี้กำลังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน และอนิกา ซึ่งเป็นร่างใหม่ในอนาคตของอาเรียน่าก็สลับเข้าอยู่มาในชีวิตในอดีตชาติของตัวเอง จะเกิดอะไรขึ้นถ้าสองคนนี้ยังคงอยู่ในชีวิตใหม่ของพวกเขา พวกเขาจะยอมรับได้หรือไม่ อาเรียนน่าจะอยู่ในโลกสมัยใหม่และลืมสามีและครอบครัวของเธอ หรือเธอจะหาวิธีที่จะกลับสู่ร่างเดิมของเธอหรือไม่ และอนิกา จะเป็นยังไง เธอจะหนาวเหน็บและข่มขู่ผู้ชายทุกคนที่เธอพบในชีวิตใหม่ของเธอ หรือบรรยากาศในอดีตจะทำให้เธอกลายเป็นลูน่าผู้อ่อนโยน

หนังสือที่คุณอาจชอบ

พระชายาของข้าคนเดียว

พระชายาของข้าคนเดียว

Daryl Tudge
5.0

เดิมทีนางเป็นทายาทของตระกูลแพทย์เทพ แต่จู่ๆ นางก็กลายเป็นบุตรีของภรรยาเอกจากจวนเสนาบดีที่พ่อไม่สนใจใยดีและแม่ก็เสียชีวิตตั้งแต่ยังนางยังเด็ก ในวันที่นางย้อนยุค นางถูกใส่ร้ายว่าเป็นผู้ร้ายตัวจริงที่สังหารฮูหยินจวนโหว นางพยายามพลิกผัน พลิกสถานการณ์ และพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของนาง นางคิดว่าภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนั้นจบลงแล้ว แต่นางไม่รู้ว่าสิ่งที่นางจะต้องเผชิญคือเหวอันไม่มีที่สิ้นสุด เป็นถึงบุตรีของภรรยาเอกจากจวนเสนาบดีกลับมีอันตรายอยู้รอบตัวมากมาย ทุกคนก็รังแกนางได้ พ่อไม่สนใจนางจะเป็นหรือจะตาย แม่เลี้ยงและน้องสาวต่างแม่สนุกกับการทรมานนาง คู่หมั้นชั่วร้ายของนางอยากจะใช้นางเป็นประโยชน์เพื่อขึ้นไปที่สูง และแม้แต่น้องชายแท้ๆ ของนางยังทรยศนาง นางจึงเริ่มต่อสู้กับคนเจ้าเล่ห์ ข่มเหงแม่เลี้ยงของนาง และดูแลน้องชายและน้องสาวของนาง ดังนั้นนางวางแผนที่จะเล่นงานผู้ชายชั่ว เอาคืนแม่เลี้ยง และแก้แค้นน้องๆ ระหว่างที่นางแก้แค้นนั้น นางมีชีวิตที่มีความสุข แต่กลับไม่รู้ว่าไปยั่วยุคนใหญคนหนึ่งเข้าเมื่อไร เมื่อนางจะทำเรื่องไม่ดีหรือฆ่าคน เขาก็ช่วยนางหมด ในที่สุดนางก็อดไม่ได้ที่ถามออกมาว่า "ท่าน แม้ว่าข้าจะทำลายโลกที่ไม่มความยุติธรรมนี้ ท่านก็จะช่วยข้าเช่นกันหรือ" เขาทำหน้าใจเย็น "ตราบใดที่เจ้าอยู่เคียงข้างข้า แม้ว่าจะเป็นโลกใบนี้ ข้าก็สามารถให้เจ้าได้"

เทพเจ้าแห่งอสูร: พิชิตทุกพิภพด้วยหมื่นภูตผี

เทพเจ้าแห่งอสูร: พิชิตทุกพิภพด้วยหมื่นภูตผี

Daniel
5.0

-- ในศตวรรษที่ 26 ทหารรับจ้างอันดับหนึ่งได้กลับชาติมาเกิดใหม่ กลายเป็นลูกเลี้ยงที่ไร้ค่าของตระกูลผู้มีชื่อเสียง แต่เมื่อนางลืมตาขึ้นอีกครั้ง โลกก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ย่ำยีชายทรยศ ข่มเหงหญิงเลว จัดการกับพวกที่ทำให้ชีวิตติดขัด เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งตามใจปรารถนา ควบคุมเทพสัตว์นับพัน ถลุงยาวิเศษ วางข่ายศักดิ์สิทธิ์ วาดยันต์ผี ทุกอย่างนางทำได้อย่างชำนาญ อยู่เหนือกว่าอัจฉริยะทั้งห้าภพ โลกนี้นางครอบครอง ไม่สามารถบำเพ็ญตบะงั้นหรือ แต่นางเป็นผู้ครอบครองพลังครบทุกธาตุ ไม่มีคุณสมบัติมากพอบำเพ็ญลัทธิหรือ นางนอกจากบำเพ็ญลัทธิอสูรลัทธิเทพลัทธิวิญญาณลัทธิมารทั้งสีแล้ว ยังสร้างลัทธิภูตผีอีกด้วย ไร้ค่า ไม่มีความสามารถงั้นหรือ นางคือราชาผี ที่สืบทอดพลังหยินขั้นสูง แค่กระดิกนิ้ว พญาวิญญาณแค้นนับหมื่นก็พรั่งพรูมาปรนนิบัติ เพียงแต่ว่าจักรพรรดิผู้ลึกลับที่ตามตื้อนางนั้น มันคือยังไงกัน เฝิงอี้ "เพิ่งเจอหน้ากันก็ถอดเสื้อข้า เช่นนั้นเราสู้กันบนเตียงอีกรอบดีหรือไม่" เย่วเฉิงเฟิงยิ้มยั่ว "ผู้ชายมีแต่จะเป็นตัวถ่วงของข้า ท่านจักรพรรดิ ท่านเดินทางดีๆ ลาก่อนนะ"

หลินซือเยว่ผู้นี้ มีสามชะตาในคราเดียว

หลินซือเยว่ผู้นี้ มีสามชะตาในคราเดียว

มาชาวีร์
5.0

หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง

ลิขิตรักภรรยาตัวร้าย

ลิขิตรักภรรยาตัวร้าย

จิ้งจอกสะท้านหม้อไฟ
5.0

เว่ยจื้อโหยวลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งพบว่าตนอยู่ในยุคสมัยที่ไม่คุ้นเคยสิ่งรอบกายดูโบราณล้าหลัง โลกโบราณที่ไม่มีในประวัติศาสตร์โลก ยังไม่ทันได้เตรียมใจก็ถูกส่งให้ไปแต่งงานกับชายยากจนที่ท้ายหมู่บ้าน สาเหตุที่เว่ยจื้อโหย่วถูกส่งมาให้แต่งงานกับชายที่ขึ้นชื่อว่ายากจนที่สุดในหมู่บ้านนั้น เพราะนางเกิดไปต้องตาต้องใจเศรษฐีผู้มักมากในกามเข้า เพื่อหาทางหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกบ้านใหญ่ขายไปเป็นอนุภรรยาของเศรษฐีเฒ่า พ่อแม่ของนางจึงยอมแตกหักจากบ้านใหญ่และท่านย่าที่เห็นแก่ตัวและลำเอียงเป็นที่สุด ด้วยเหตุนี้พ่อแม่ของนางจึงตัดสินใจยกนางให้กับอวิ๋นเซียว ชายหนุ่มที่แสนยากจนข้นแค้น ที่เพิ่งเสียบิดามารดาไป อีกทั้งยังทิ้งน้องชายน้องสาวเอาไว้ให้เขาเลี้ยงดู นอกจากนี้ยังมีป้าสะใภ้มหาภัยที่คอยแต่จะมารังแกเอารัดเอาเปรียบสามพี่น้อง สิ่งที่ย่ำแย่ที่สุดไม่ใช่ป้าสะใภ้มหาภัย แต่ มันคืออะไรแต่งงานนางไม่ว่ายังไม่ทันได้เข้าหอสามีหมาดๆ ก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารในสงครามระหว่างแคว้น มันไม่มีอะไรเลวร้ายไปมากว่านี้อีกแล้วสำหรับ เว่ยจื้อโหยว หากสามีทางนิตินัยของนางตายในสนามรบ ก็ไม่เท่ากับว่านางเป็นหม้ายสามีตายทั้งที่ยังบริสุทธิ์หรอกหรือ แถมยังต้องเลี้ยงดูน้องชายน้องสาวของอดีตสามีอีก สวรรค์เหตุใดถึงได้ส่งนางมาเกิดใหม่ในที่แบบนี้

บุตรเช่นข้า หาได้ต้องการบิดาเช่นท่าน

บุตรเช่นข้า หาได้ต้องการบิดาเช่นท่าน

จิ้งจอกสะท้านหม้อไฟ
5.0

หลินตงหยาง อายุ 27 ปี เติบโตมากับแม่เพียงสองคน ในวัยเด็กหลินตงหยางเคยมีพ่อผู้ให้กำเนิดแต่หลังจากที่พ่อได้งานใหม่ในเมืองหลวงพ่อที่เคยมีก็ไม่มีอีกแล้ว พ่อกลับมาหย่าขาดกับแม่ทันทีที่ไปทำงานในเมืองหลวงได้เพียง 2 เดือน ด้วยให้เหตุผลในการหย่าว่า แม่กับและเขาคือตัวถ่วงความเจริญในชีวิตพ่อ สาเหตุก็ไม่มีอะไรมากแค่พ่อหน้าตาหล่อเหลาและเป็นที่ถูกใจของลูกสาวหัวหน้างาน เพื่อตำแหน่งงานและความเป็นอยู่ที่สบายขึ้น พ่อเลือกที่จะทิ้งภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากที่ผ่านเรื่องยากลำบากมาด้วยกัน หย่าขาดกับภรรยาเพื่อไปแต่งงานใหม่ มีชีวิตใหม่ในเมืองหลวง โดยทิ้งคนข้างหลัง ทิ้งภรรยาที่เคยสาบานว่าจะอยู่ครองคู่กันตลอดไป ในปีที่เขาเรียนจบมหาวิทยาลัย แม่ก็ล้มป่วยและจากเขาไปในที่สุด สาเหตุที่หลินตงหยางเสียชีวิต เพราะทำงานหนัก อาชีพโปรแกรมเมอร์ตัวเล็กๆ อย่างเขา ต้องพยายามทำงานให้ได้ตามที่หัวหน้าสั่งมา ในที่สุดเขาก็พัฒนาเกมกำลังภายในของบริษัทได้สำเร็จ หลินตงหยางนอนหลับไปด้วยความสบายใจ แต่ทว่าพอเขาลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที นี่ไม่ใช่คอนโดหรูย่านใจกลางเมืองปักกิ่ง หลังคามุงหญ้านี่คืออะไร มันควรจะเป็นเพดานสีขาวสิ เมื่อมองไปรอบๆ ห้องนี่คืออะไร นี่มันไม่ใช่ผนังที่ทำมาจากคอนกรีต มันคือดินเหนียว หลินตงหยางคิดว่าตัวเองฝันไป เขาหลับตาลงอีกครั้งแล้วลืมตาขึ้น ทุกอย่างยังเหมือนเดิม มารดามันเถอะ เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง หลังจากแน่ใจแล้วว่าไมไ่ด้ฝัน ตอนนั้นเองเขารู้สึกปวดหัวขึ้นมาอย่างรุนแรง และในหัวของเขามีภาพเหตุการณ์ของเด็กชายที่ชื่อเดียวกับเขา หลินตงหยาง อายุ 10 ขวบ เรื่องราวชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายไปของเด็กชาย ทำเอาหลินตงหยางกำมือแน่น ก่อนจะสบถออกมา “พ่อสารเลว เฉินซื่อเหม่ยชัดๆ” และตามมาด้วยเสียงร้องไห้ของน้องสาว สาเหตุที่เด็กชายหลินตงหยางเสียชีวิต เพราะถูกผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นย่าแย่งผักป่าและทุบตี ทั้งๆ ที่คนพวกนั้นได้ตัดขาดพับพวกเขาสามแม่ลูกแล้ว แต่ยังมิวายข่มเหงรังแก

เมียบำเรอ

เมียบำเรอ

ฮิวโก้
5.0

“มึงอยากจะคิดยังไงก็เชิญ แต่กูอยากให้มึงรู้ไว้ ว่ากูไม่เคยรักมัน” “......” “เรยามันก็เหมือนผู้หญิงคนอื่นทั่วๆ ไป ใช้แค่เศษเงินแลกไม่กี่บาทกูก็ได้เอาแล้ว” เคร้งงงง เสียงแจกันที่อยู่แถวนั้นหล่นแตกกระจัดกระจาย เมื่อฉันเดินถอยหลังไปชนแบบไม่ตั้งใจ ทำให้คนที่อยู่ในห้องต่างพากันหันมามองตามเสียง รวมถึงคุณใหญ่ที่กำลังมองมาในแววตาของเขาที่มองฉัน มันไม่หลงเหลือความรู้สึกอะไรอยู่เลย มันมีแต่ความว่างเปล่า น้ำตาของฉันมันค่อยๆ ไหลลงอาบแก้มทั้งสองข้าง เมื่อได้ยินประโยคที่พวกเขานั้นพูดคุยกันก่อนหน้านั้น ที่ผ่านมาคุณใหญ่ไม่เคยรักฉัน มีแต่ฉันที่คิดไปเองว่าเขานั้นรัก แล้วทำไมเขาถึงต้องมาวาดฝันร่วมกับฉัน ให้ฉันคิดไปไกลคิดไปเองคนเดียว ทั้งๆ ที่ความรู้สึกเล่านั้น มันไม่เคยมีอยู่จริง! “แสดงว่าที่ผ่านมา คุณหลอกฉันมาโดยตลอด” ฉันพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ มันเจ็บเหมือนใจมันจะขาดที่ได้เห็นภาพตรงหน้า “ช่วยไม่ได้ เธอมันโง่เอง!” “คุณทำแบบนี้ทำไม คุณหลอกฉันทำไม!?” ฉันกรีดร้องลั่นออกมาจนสุดเสียงที่มี สติของฉันตอนนี้มันแทบไม่มีหลงเหลืออยู่แล้ว “ผู้ชายเวลามันอยากเอา มันก็ทำได้หมดนั่นแหละ!” “......” เมื่อได้ยินดังนั้น ฉันจึงเงียบไม่พูดอะไรต่อ มันหมดเรี่ยวแรงแล้วตอนนี้

บท
อ่านเลย
ดาวน์โหลดหนังสือ