ซ่อนดวงใจ ใต้รอยรัก

ซ่อนดวงใจ ใต้รอยรัก

SHASHAwriter

5.0
ความคิดเห็น
2.6K
ชม
34
บท

เพราะเหตุใดธรรศและมัฌชิมาจึงหันหลังจากกัน ซ้ำร้ายความสัมพันธ์คืนเดียวยังสร้างดวงใจน้อยๆน่าหลงใหล แต่ถูกซ่อนเร้นภายใต้รอยรักของคนทั้งคู่อีกด้วย +++++++++++++++++++++++++++++++++ “ยัยหนูเป็นลูกของใครกันแน่” มัชฌิมาคงไม่รู้ตัวว่าตนเองหายใจลึกและยาวราวกับต้องการสงบสติอารมณ์ก่อนตอบเขาแบบกำปั้นทุบดิน “จะลูกใครก็ลูกอุ่นสิคะ” “พี่หมายถึงว่าใครคือพ่อของยัยหนู” “...พี่ธรรศลืมไปหรือเปล่าคะว่าอุ่นแต่งงานกับพี่นิล และเราก็มียัยหนู” “อย่างนั้นหรอกเหรอ...อยากรู้ไหมว่าพี่ได้หลักฐานอะไรของพอใจมา” เขาถามด้วยท่าทีคล้ายเป็นต่อ คนเป็นแม่กางปีกป้องทันที นึกกังวลตามหากเป็นอย่างที่เขาพูด เรื่องจะยุ่งไปกันใหญ่ “อย่ายุ่งกับอุ่นและลูกนะคะ” “นี่คือการขอร้อง?” “อุ่น...เปล่า” “งั้นพี่จะได้ให้ใครสักคนช่วยขุดเรื่องนี้เอาให้ชัดๆกันไปเลย ว่าจ้างนักสืบเก่งๆมันคงไม่กี่ตังค์หรอกมัง อุ่นคิดว่าไง” “ไม่นะคะพี่ธรรศ อุ่นขอ...” ธรรศยิ้มกว้างกว่าเก่า วางแก้วเหล้าในมือลงก่อนเดินมาตรงมาหาเธอ จนยืนประจันหน้ากันแล้วค่อยโน้มหน้ามาเสียใกล้ บอกเสียงเบาแต่หนักแน่นเน้นความหมาย“พี่เคยบอกแล้วนี่ ว่าถ้าขอร้องพี่ ต้องแลกกับอะไร” เธอผงะส่ายหน้าน้อยๆ “อุ่นไม่มีทางทำแบบนั้นเด็ดขาด ถ้าทับทิมรู้เข้า…” เขาตามมากระซิบคำพูดใส่หน้าเธอ “อุ่นไม่พูด พี่ไม่พูด ใครจะรู้” ก่อนจะรัดแขนรอบลำตัวอ้อนแอ้น มัชฌิมายกมือขึ้นดันอกแกร่งๆนั่นโดยอัตโนมัติ ต่อว่าเขาปากคอสั่น “ทำไมพี่ธรรศเห็นแก่ตัวแบบนี้คะ” “พี่เรียนรู้มาจากอุ่นไง” ธรรศกระซิบวาจาร้ายกาจเหนือริมฝีปากของเธอ ก่อนจะบดเบียดคลึงเคล้าลงมาอย่างหนักหน่วง

บทที่ 1 เมื่อแรกเริ่มก่อนซ่อน (ดวง) ใจ ปฐมบทของซ่อนดวงใจ ใต้รอยรัก

“อุ่นเห็นพี่คนนั้นไหมอุ่น”

สุธิตา เพื่อนคนที่ถูกจับคู่ให้มาฝึกงานด้วยกันกับมัชฌิมา นั่งเท้าคางมองเหม่อไปข้างหน้า แล้วถามทั้งน้ำเสียงเพ้อๆ

มัชฌิมาไม่ได้สนใจ เพราะเธอกำลังก้มหน้าเขียนรายงานส่งอาจารย์ที่คุมฝึกงานของเธอ แต่ยังพยายามมีส่วนร่วมด้วยการถามกลับคล้ายว่าสนใจคู่สนทนา “คนไหน”

“คนนั้นไง หน้าเข้มๆดุๆหน่อย คนนั้นน่ะที่นั่งคุยกับอาจารย์หงุ่นอ่ะ” เพื่อนยังคงมีน้ำเสียงเพ้อๆแบบเดิมจนในที่สุด ต้องเงยหน้าขึ้นมามอง พอเห็นเป้าหมายของสุธิตา ก็ถามยิ้มๆ

“คนที่หน้าบึ้งๆ คนนั้นน่ะเหรอ”

“บ้า อุ่นนี่ ตาไม่ถึงเลยนะแก พี่เขาดูหล่อจะตาย หน้าไม่บึ้งหรอก สเปคเราเลย”

มัชฌิมาเลิกสนใจแล้ว เธอก้มหน้าลงที่รายงานของตนเองดังเดิม แล้วบอกด้วยน้ำเสียงหวังดี “เพื่อนอาจารย์หงุ่นนะ กล้าเหรอ”

“ลองดูไหมล่ะ”

คนพูดออกแนวท้ายทายหน่อยๆเพราะชายคนนั้นนั่งอยู่กับผู้ชายอีกคนแต่ไม่มีอาจารย์คุมฝึกงานที่ชื่ออาจารย์องุ่นนั่งอยู่ด้วย ถึงใจกล้าบ้าบิ่นได้แบบนี้ ว่าจบลุกขึ้นยืนทันที สูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วเดินตรงไปที่เป้าหมายไม่รอช้า

มัชฌิมาวางปากกาลงแล้วนั่งอมยิ้มมองเพื่อนสาวใจกล้าที่ออกปากว่าชอบชายคนนั้นเอามากๆถึงขนาดใจกล้าเข้าไปคุยด้วย หญิงสาวยิ้มแล้วทำเป็นมองเมินๆไปทางอื่นเมื่อเห็นชายคนนั้นมองมาที่เธอ ครู่เดียวเพื่อนสาวใจกล้าก็เดินหน้างอกลับมาที่โต๊ะ

“ไงล่ะ” อดถามยิ้มๆไม่ได้

“แกนะแก”

“อะไร”

“พี่เขาบอกว่าเรียนให้จบก่อนค่อยหาผัว”

ฟังเพื่อนบอกแล้ว มัชฌิมาแกล้งตาโต แล้วตอกเพื่อนอีกที “ไงล่ะ เจ็บปวดไหมทีนี้”

“แต่ฉันบอกพี่เขาไปนะ ว่าแกเป็นคนชอบพี่เขา...ไม่ใช่ฉัน”

คราวนี้คนที่ยิ้มแต้แต่แรกหุบฉับลงทันที หันไปแว้ดใส่เพื่อน ใบหน้าออกร้อนเสียจนแทบไหม้ “เอ้ย! ทำไมพูดแบบนั้น”

สุธิตาหัวเราะจนตัวงอ มัชฌิมานั้นหน้าแดงซ่าน อยากบิดเนื้อเพื่อนให้เขียวจนดำจนหลุดติดมือออกมานัก ทำไมมาแกล้งเธอแบบนี้ พอบังเอิญหันไปมองทางนั้นก็เห็นเขามองตอบกลับมาพอดี สายตาคมๆสีดำและดูดุนั่นทำเอาเธอทำหน้าไม่ถูกเลยทีเดียว เลยได้แต่บ่นงึมงำ

“เพื่อนบ้า”

เพื่อนสาวยังคงหัวเราะไม่หยุดที่แกล้งเธอได้ มัชฌิมานั้นทั้งโกรธทั้งอายจนบอกไม่ถูก แล้วต่อว่าเพื่อนอีกครั้ง

“ทำไมทำแบบนี้ โอย...ตาย ตาย ฉันต้องโดนหักคะแนนแน่ๆเลย”

“จะหักทำไม แกทำอะไรผิด เออ แต่โดนก็ดี ฉันจะได้คะแนนมากกว่าแกไงอุ่น”

“ทำกันได้ จำไว้เลย”

มัชฌิมาบ่นแล้วฝืนทำตัวเฉยไปก้มหน้าเขียนรายงานต่อจนเสร็จ หญิงสาวออกมาพักที่หอในมหาวิทยาลัยเนื่องจากป้าที่เลี้ยงดูเธอไม่สะดวกขับรถรับส่ง ภาระงานที่เป็นพยาบาลในโรงพยาบาลชุมชนนั้นหนักเอาการอยู่ และเธอก็โตพอที่จะดูแลตัวเองได้ ท่านจึงไว้วางใจให้มาอยู่ยังหอพัก

หลังจากเลิกฝึกงาน จึงแยกกับเพื่อนที่มาคู่กัน เธอติดขัดกับเนื้อหาบางส่วนในรายงานเลยตั้งใจว่าจะแวะไปที่หอสมุดในวันหยุดที่จะถึงนี้

เมื่อถึงวันหยุดหญิงสาวตรงไปยังหอสมุด ขึ้นไปยังชั้นที่ต้องการ เนื่องจากว่าใกล้สอบเต็มที นักศึกษาหลายๆคนจึงเลือกใช้หอสมุดในการนั่งติว นั่งอ่านหนังสือกัน ด้วยว่าที่นี่สงบเงียบทั้งยังมีหนังสือหลากหลายให้ค้นหาอ่าน และเย็นสบายด้วยเครื่องปรับอากาศรอบตัวอาคาร จึงแทบไม่เหลือโต๊ะว่าง หญิงสาวเดินหาโต๊ะจนพบแล้วเข้าไปวางกระเป๋าที่เก้าอี้ตัวหนึ่งที่มีเพื่อนนักศึกษานั่งอยู่ก่อนหน้า เธอถามอีกฝ่ายว่ามีใครนั่งหรือไม่ ได้รับคำตอบว่าว่าง จึงเลือกนั่งตรงนั้น

แล้วเดินไล่หาไปตามรหัสบนชั้นวางจนพบหนังสือที่ต้องการ หยิบกลับมาที่โต๊ะก็บังเอิญเห็นมีคนมานั่งยังโต๊ะของเธอแทนเพื่อนหญิงนักศึกษาคนนั้นแล้ว

มัชฌิมาเดินไปที่เก้าอี้ตรงส่วนของเธอในฝั่งตรงข้าม คนที่นั่งอยู่จึงเงยขึ้นมามองหน้าเธอ นาทีนั้นต่างคนต่างอึ้งไปเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

“มีอะไร” เสียงทุ้มถาม เมื่อเห็นว่าเธอยังคงยืนอยู่แถมยังมองหน้าเขานิ่งไป

“เอ่อ…” มัชฌิมามองไปรอบๆห้อง เพื่อหาโต๊ะตัวใหม่นั่งก็พบว่าโต๊ะอื่นมีคนนั่งเต็มหมดแล้ว และเขาคงอ่านสายตาของเธอออก ถึงได้ยินเขาบอกในลำดับถัดมา

“นั่งสิ มันว่างอยู่พอดี”

เธอมาก่อนเขาเสียอีก มัชฌิมาอดมุ่ยหน้าไม่ได้ แต่เธอไม่อยากพูดอะไรมาก แล้วเลยนั่งลงที่เก้าอี้อีกฝั่งเยื้องกับเขา หญิงสาวนั่งจดรายงานที่ตนเองต้องการ จนได้ครบแล้วเธอปิดหนังสือลง เงยหน้าขึ้นก็พบว่าเขานั่งเอนหลังมองเธออยู่

“อ่านหนังสือสอบหรือ” เขาถาม

อ่านต่อ

หนังสืออื่นๆ ของ SHASHAwriter

ข้อมูลเพิ่มเติม
เมียเก่าที่เขาไม่เคยรัก

เมียเก่าที่เขาไม่เคยรัก

โรแมนติก

5.0

ภาวรีแหงนหน้าขึ้นแล้วยิ้มกวนโมโหใส่หน้าเขา "มาขวางทำไม เชยไม่สนพี่เขื่อนแล้วนะรู้ไหม ให้หย่าก็ได้เลย ไปเลย เพราะไรรู้มะ เพราะพี่เขื่อนสู้หนุ่ม ๆ ในร้านไม่ได้เลยสักคน ในนั้นถึงใจกว่าพี่เขื่อนตั้งเยอะ" ลัพธวิทย์หรี่ตามอง ถามเสียงเรียบ "ถึงใจแบบไหน" "ใหญ่กว่า อึด แล้วก็เอาเก่งกว่าพี่เขื่อน" ได้ยินเสียงตัวเองพูดจาก๋ากั่นออกไปแบบนั้นแล้วก็ให้ตกใจไม่น้อย พอได้ยินคำตอบของเธอที่หลับตาฟังก็รู้ว่าจงใจพูดจายั่วยุเขา ลัพธวิทย์ก็ค่อยหัวเราะออกมาลั่น พร้อมค่อนแคะกลับไป "น้ำหน้าอย่างเราเนี่ยหรือ กล้านอนกับผู้ชายตามบาร์" ภาวรีหน้าชาเมื่อถูกจับไต๋ได้ว่าโกหก เธอลอยหน้าลอยตาแล้วตอบเขากลับ "ทำไมจะไม่กล้า แม่เปิดห้องให้เชยลองแล้วด้วย หนุ่ม ๆ ในบาร์โฮสต์ทำให้เชยรู้แล้วล่ะว่าของพี่เขื่อนนี่เทียบชั้นกันไม่ติด แบบนั้นน่ะ..." ภาวรีพูดแล้วกวาดตาลงมองอย่างหยามเหยียด บอกต่อจนจบประโยค "น่าจะเอาไว้แค่ฉี่มากกว่านะ"

ห้องลับของคุณรัชญ์

ห้องลับของคุณรัชญ์

โรแมนติก

5.0

"ถอดชุดบนตัวเธอออกมาเดี๋ยวนี้!" "หนูทำไม่ได้..." ขวัญลดายังพูดไม่จบดีเลยว่าเธอถอดชุดที่ใส่บนตัวออกไม่ได้เพราะมันรัดมาก ๆ นี่ก็นัดกับออยลี่ ลูกของป้าเนืองไว้แล้วให้มาช่วยถอดชุด ไม่รู้น้องคนที่วานให้ช่วยเหลือจะหลับไปแล้วหรือยัง ไม่อย่างนั้นเธอคงต้องฉีกมันออกแทนการถอด แต่เจ้าของห้องลับที่ใคร ๆ พูดปากต่อปากกันว่า ห้องนี้ใครเข้ามาแล้วต้องเสว ก็ปราดเข้ามาปล้ำถอดชุดของเธอออกจนหมด แต่เพราะชุดมันรัดมาก ๆ ดลวรัชญ์ลงมือถอดไปก็สบถไปพลางด้วยอาการหัวเสีย "แต่งตัวเชี่ยอะไรวะ รู้ไหมว่ามันรัดหน้าอก รัดโหนกจนเห็นเป็นเนินนูน นึกว่าลานจอดฮอ" พอชุดถูกถอดออกจนหมด ขวัญลดาค่อยหายใจได้ลึกขึ้นจากเดิม นึกขอบคุณที่เขาช่วยเหลือเธอในครั้งนี้ แม้จะดูเป็นการช่วยที่ไม่ปกตินักก็ตามที "หนูรู้ค่ะ" "รู้แต่ก็ยังใส่" "คุณป้าบอกว่ามันมีชุดเดียว ชุดนี้เมื่อก่อนท่านตัดไว้ให้พี่โรส แต่คุณเล่นพาพี่โรสมานอน หนูก็เลย..." "หึง?" เสียงเข้มถามขัดคำตอบของเธอ ขวัญลดามองเขาแล้วได้แต่ส่ายหน้า เธอยังไม่รู้จักเลยว่า หึง อาการเป็นอย่างไร "ไม่ใช่ค่ะ หนูกำลังอธิบายเรื่องที่ว่าทำไมต้องใส่ชุดนี้" "เธอหึง" คนชอบให้ทุกอย่างหมุนรอบตัวเองอย่างดลวรัชญ์สรุปในสิ่งที่ตัวเองคิดได้ พร้อมด้วยมุมปากที่ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ก่อนจะเกร็งมันไว้ให้เหยียดตรงดังเดิม "และเธอเบี่ยงประเด็นนะลดา" "แล้วแต่คุณเลยค่ะ" ขวัญลดาบอกอย่างยอมแพ้ ++++++ เนื้อหานิยายเน้นอ่านเพลิน ๆ ย่อยง่าย ๆ และจบดี แฮปปี้ค่ะ

ตราบาปรัก ผู้ชายใจร้าย

ตราบาปรัก ผู้ชายใจร้าย

โรแมนติก

5.0

คำโปรย ปริญญ์เคยบอกว่ารักเธอ แต่เมื่อมีเหตการณ์บางอย่างทำให้ต้องเลิกรากันไป เขาย้อนกลับมาทำดีด้วย และขอเธอแต่งงาน หลังแต่งงานกับจินดาพรรณมาสี่ปี ปริญญ์เที่ยวคบหาผู้หญิงคนใหม่ไปเรื่อย ๆ เพื่อให้เธออับอาย ... นี่น่ะหรือความรักของเขา ตัวอย่างเนื้อหา "เดี๋ยวดา เรื่องที่เราคุยกันไว้ ดาต้องทบทวนดี ๆ ก่อน..." "พรุ่งนี้เลยปิน พรุ่งนี้ไปเจอกันตามที่ตกลงไว้ได้เลย" ปริญญ์มองเธอนิ่งอยู่เป็นนานสองนาน กว่าจะพูดอะไรได้สักคำหนึ่ง ก็ยากเย็นเต็มที "หรือไม่ ปินว่าเราลอง..." "อย่าเอาแต่พูดหลอกล่อกันแบบนี้อยู่อีกเลยปิน เราสองคนจบกันเท่านี้เถอะ ทิ้งทุกอย่างเอาไว้แค่นี้ ขอให้เลิกแล้วต่อกัน เราจะได้ไม่เกลียดกันมากไปกว่านี้ หรือปินอยากให้ดาเกลียด จนไม่ไปเผาผีกันเลย ก็ได้นะปิน" ได้ยินและได้รู้ถึงความคิดของจินดาพรรณแล้ว ในใจของปริญญ์ปวดแปลบ เสียดและเสียวไปทั้งทรวงอก เขาอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก คิดได้ในตอนนั้นเองว่านี่เขาทำอะไรต่อมิอะไรลงไปนั้น มันแย่มาก จินดาพรรณถึงได้บอกว่าเกลียดเขาถึงขนาดนี้ ปริญญ์รู้สึกได้ถึงก้อนขม ๆ ในคอ เขาฝืนที่จะกล้ำกลืนมันลงไป แล้วขยับเท้าเพื่อถอยหลังออกมา มาได้เพียงครึ่งก้าวแล้วก็ทำอะไรไม่ถูก สายตาเจ็บปวดของเขายังคงมองไปยังจินดาพรรณ เปิดปากเพื่อจะพูดบางประโยคออกไป "แต่ดา...ปินระ...ปินรั" จินดาพรรณหมุนตัว เพื่อกลับเข้าห้อง เธอไม่อยากฟังสิ่งที่เขากำลังจะพูด แต่กลับโดนดึงตัวเข้าไปกอดเอาไว้แนบแน่น เธอไม่ได้ออกแรงดิ้น ทำเพียงปิดตาลง ซ่อนความรู้สึกเจ็บปวดเอาไว้ข้างในลึก ๆ บอกตัวเองว่าอย่าได้ถลำตัวและหัวใจไปกับภาพลวงตาของปริญญ์ อย่าได้หลงคารมของเขาอีกเป็นอันขาด บทจะหวาน ปริญญ์ก็ทำให้เชื่อได้ทั้งนั้น และเขาก็ทำเพียงเพราะต้องการให้เธอหลงเชื่อ เขาหลอกเธอซ้ำ ๆ แล้วทิ่มแทงเธอให้ผิดหวัง เจ็บปวดและเสียใจ ครั้งนี้ก็คงเหมือนกัน ปริญญ์สูดดมกลิ่นของภรรยาเข้าจมูกจนลึกสุดปอด ถูไถใบหน้าไปมาอย่างที่โหยหามาโดยตลอด พร้อมกับพึมพำที่ข้างหูของเธอ "ปินให้เวลาดาคิดอีกสามวัน ระหว่างนี้ถ้าดาเปลี่ยนใจ ก็ไม่ต้องไป แต่ถ้าดายังคิดแบบเดิม วันนั้นเราค่อยไปเจอที่บริษัทตามที่คุยไว้ แต่ระหว่างนี้ ดาต้องคิดดูดี ๆ ก่อนนะ อย่าใช้อารมณ์ตัดสินใจเด็ดขาด" จินดาพรรณถอนลมหายใจของตัวเองออกยาว ๆ เธอนี่หรือใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง ตลอดมามีแต่ปริญญ์ที่ทำแบบนั้น และเธอไม่ต้องการเป็นที่รองรับอารมณ์ของเขาอีกแล้ว คิดได้แบบนั้นค่อยเปิดตาขึ้น แล้วออกแรงดันตัวเองจากอ้อมกอดของเขา หันมามองที่เขาด้วยสายตาว่างเปล่า บอกออกไปตามอย่างที่ตัดสินใจเอาไว้แล้วก่อนหน้านี้ "ดาไม่ต้องคิด ไม่ต้องตัดสินใจอะไรอีกแล้วล่ะปิน ถ้าปินว่างพอ พรุ่งนี้เราก็ไปจัดการเรื่องหย่าให้เรียบร้อยได้เลย" ****************************** แนวพระเอกโบ้ ไม่ได้นอกใจ จบดีและไม่มีใครตุยค่ะ

หนังสือที่คุณอาจชอบ

หลินซือเยว่ผู้นี้ มีสามชะตาในคราเดียว

หลินซือเยว่ผู้นี้ มีสามชะตาในคราเดียว

มาชาวีร์
5.0

หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง

หยางจื้อซี เกิดใหม่ในหมู่บ้านป่าหมอก

หยางจื้อซี เกิดใหม่ในหมู่บ้านป่าหมอก

จิ้งจอกสะท้านหม้อไฟ
5.0

หยางจื้อซี เด็กกำพร้าจากศตวรรษที่21 ถูกองค์กรมืดเลี้ยงดูจนเติบโตและทำให้เธอกลายเป็นมนุษย์กลายพันธ์ ในระหว่างที่ถูกส่งตัวไปทำภารกิจลับ เธอกลับถูกคนในองค์กรมืดหักหลังและถูกฆ่าโดยเพื่อนสนิทที่เธอไว้ใจมากที่สุด ก่อนสิ้นใจเธอถามเพื่อนสนิทว่าทำไม แต่ไม่ได้รับคำตอบจากปากของอีกฝ่าย สิ่งที่เธอได้รับคือรอยยิ้มที่ดูถูกเหยียดหยามและ คำว่า “โง่” จากปากของอีกฝ่ายเท่านั้น หลังจากที่ตายไปแล้วสิ่งที่เธอคิดไว้ คงจะเป็นนรกหรือที่ไหนสักแห่งที่เป็นโลกหลังความตาย แต่ทว่ามันกลับไม่เป็นเช่นนัน เธอตื่นขึ้นมาในร่างของ หยางจื้อซี เด็กหญิงอายุ เพียง 13 ขวบปีในหมู่บ้านป่าหมอก ในดินแดนโบราณล้าหลังที่ไม่มีในประวัติศาสตร์ คล้ายกับว่าเป็นโลกคู่ขนานที่อยู่อีกมิติหนึ่ง เธอตื่นขึ้นมาในบ้านที่ผุพัง ครอบครัวยากจน มีแม่ที่อ่อนแอและเจ็บป่วย มีพี่น้องที่อายุน้อย มีปู่ย่าตายายที่เห็นแก่ตัวและใจร้าย มีลุงที่เห็นแก่ได้ป้าสะใภ้ที่เต็มไปด้วยความละโมบโมบโลภมาก หยางจื้อซี คิดว่านับจากนี้ไปชีวิตจะต้องอยู่ได้ด้วยตัวเอง หากใครมารังแกก็แค่ทุบตี เธอไม่เชื่อว่าด้วยพลังที่ติดตัวเธอมาจากชาติที่แล้วจะไม่สามารถอยู่รอดได้ในโลกล้าหลังแห่งนี้

สยบ(รัก)คุณป๋า

สยบ(รัก)คุณป๋า

RICHES.
5.0

วันวิวาห์ ตกหลุมรักผู้อุปการะของเธอตั้งแต่แรกพบ หญิงสาวพยายามทำทุกอย่างให้เขาภาคภูมิใจ แต่ดูเหมือนว่าสายตาคู่นั้นจะมองเห็นแค่เพียงเด็กที่ก่อปัญหาวุ่นวายไม่เว้นแต่ละวัน... เธอ พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อก้าวข้ามเส้นบางๆ ระหว่างความสัมพันธ์ รามิล นักธุรกิจเจ้าของโรงแรมหรูอย่าง A.W.HOTEL ถึงกับยกมือขึ้นกุมขมับวันละหลายรอบ เมื่อเด็กที่เขาอุปการะไว้เจ็ดปีก่อนกลับมาเยือนแผ่นดินเกิดอีกครั้ง... เขา พยายามรักษาระยะห่าง แต่เธอดันชอบเข้ามาในระยะประชิด กระทั่งวันที่ทั้งสอง ตื่นขึ้นมาบนเตียงเดียวกันครั้งแล้วครั้งเล่า... สิ่งเดียวที่เธอต้องการจากเขาคือ ความรัก แต่สิ่งเดียวที่เขาต้องการจากเธอคือ  ความลับ สุดท้ายแล้วความรักที่มาพร้อมความลับมันจะลงเอยแบบไหนกัน?

เกิดใหม่ในเงามืด

เกิดใหม่ในเงามืด

Orson Erickson
5.0

ครอบครัวเสิ่นเลี้ยงดูเซี่ยซางหนิงเป็นเวลา 20 ปี และเธอเองก็ถูกเอาเปรียบมาเป็นเวลา 20 ปีเช่นกัน วันหนึ่ง พวกเขาตามหาลูกสาวตัวจริงพบ และเซี่ยซางหนิงก็ถูกไล่ออกจากตระกูลเสิ่น ได้ยินมาว่าพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของเธอกำลังเผชิญกับความยากลำบากอย่างหนัก แต่ความเป็นจริง พ่อแม่ทางสายเลือดของเธอเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองไห่ เป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดที่ตระกูลเสิ่นไม่สามารถเอื้อมถึงได้ ตระกูลเสิ่นที่คอยดูว่าเซี่ยซางหนิงจะต้องตกอับอย่างน่าสมเพช แต่กลับต้องตกตะลึงซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับตัวตนของเซี่ยซางหนิง ผู้มีอิทธิพลในการเงินระดับโลก วิศวกรระดับแนวหน้า นักแข่งรถอันดับหนึ่งของโลก... เธอยังมีความสามารถที่ซ่อนอยู่อีกกี่อย่างกันแน่ คู่หมั้นยกเลิกการหมั้นกับเซี่ยซางหนิง อย่างไรก็ตาม เมื่อเซี่ยซางหนิงไปออกเดทกับพี่ชายฝาแฝดของเขา เขากลับปรากฏตัวขึ้นและสารภาพรักกับเธอ

ไป๋ฟางเซียน ภรรยาข้ามภพ

ไป๋ฟางเซียน ภรรยาข้ามภพ

รอยหยัก/宁安 หนิงอัน
5.0

“อันตัวข้า มีนามว่าไป๋ฟางเซียน” ปกติคนอื่นข้ามเวลาคงได้รับมิติ พลังวิเศษ ความเทพทรูต่าง ๆ แล้วนางเล่า ไม่เห็นเป็นเหมือนในนิยายที่เคยอ่านบ้าง เท่านั้นยังไม่พอ! นางยังเข้ามาอยู่ในร่างสาวงามอันดับหนึ่ง มีสถานะเป็นถึงภรรยาของท่านแม่ทัพ ที่สามีหาได้รักใคร่ชมชอบไม่ ออกจะเกลียดแสนเกลียดเสียด้วยซ้ำไป หนำซ้ำสามีหน้าตายผู้นั้นดันมีคนที่ตนพึงใจอยู่แล้ว เช่นนี้นางจะเอาตัวรอดต่อไปในโลกที่ไม่รู้จักได้อย่างไร นอกจากจะต้องปรับตัวอย่างมากแล้ว นางต้องคิดหาวิธีรับมือกับบุรุษผู้เป็นสามีที่จ้องแต่จะกินหัวนางอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันอีกด้วย! โอ สวรรค์ ท่านเกลียดชังอะไรข้านักหนา เหตุใดถึงให้ข้าเผชิญชะตากรรมเช่นนี้ ชีวิตสงบสุขที่ใฝ่ฝัน คงได้จบสิ้นกันแล้ว แต่ช่างเถอะ ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่ต้องเจอ ไม่สามารถหลีกหนีได้ นาง! ไป๋ฟางเซียนผู้นี้! จะขอร่วมลงประชันสนามอารมณ์กับเขาเอง! ให้มันรู้กันไปเลยว่า ภรรยาอย่างนาง จะเอาชนะสามีอย่างเขา... ไม่ได้!

บท
อ่านเลย
ดาวน์โหลดหนังสือ