Login to MeghaBook
icon 0
icon เติมเงิน
rightIcon
icon ประวัติการอ่าน
rightIcon
icon ออกจากระบบ
rightIcon
icon ดาวน์โหลดแอป
rightIcon
Theory ล้อมรัก ละลายใจ

Theory ล้อมรัก ละลายใจ

siree/evavy

5.0
ความคิดเห็น
15
ชม
10
บท

She said : ฤดูหนาวหรือท้องฟ้าเหรอที่ปืนชอบอะ He said : พริกหวาน She said : ฮะ? He said : ชอบพริกหวาน Reader : Oops . หากใครกำลังมองหานิยายเนื้อเรื่องเข้มข้น เน้นหนักในเรื่องราวที่ลึกลับสลับซับซ้อน ซ่อนปม ซ่อนเงื่อน กลิ่นดราม่าโชยแรงมาแต่ไกลต้อง… ‘T h e o r y ล้ อ ม รั ก ล ะ ล า ย ใ จ’ สายหวาน พาฝัน กุ๊กกิ๊ก ละมุนละไม เบาสมอง ฟีลกู๊ด อ่านง่ายมาก ๆ อ่านแล้วอารมณ์ดี มีแต่รอยยิ้ม ไม่เชื่อลองอ่านดูสิคะ ไม่แน่ว่าอ่านแล้วคุณอาจจะตกหลุมรักปืนสุดหล่อกับพริกหวานสุดน่ารักเข้าโดยไม่รู้ตัว . “วันนี้มีดาวเคียงเดือน” “ดาวเคียงเดือน?” ผมเลิกคิ้ว เห็นท่าทางตื่นเต้นของพริกหวานจากหางตาเลยอดที่จะยิ้มเอ็นดูไม่ได้ และก่อนที่ผมจะเอ่ยปากถาม ว่าดาวเคียงเดือนที่ว่ามันคือละครหรืออะไร ริมฝีปากอวบอิ่มจิ้มลิ้ม ที่เงียบเสียงไปหลังจากแยกย้ายกับพวกไอ้เข้มที่ลานจอดรถเมื่อประมาณสิบนาทีที่แล้วก็ชิงขยับเพื่อขยายความ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่เท้าผมต้องแตะเบรกเพราะข้างหน้าเป็นสัญญาณไฟแดงพอดี คันแรกที่ติดเลยกู ผมเท้าข้อศอกข้างขวาตรงประตู ตามองจ้องอยู่ที่ตุ๊กตาหน้ารถถามว่าตอนนี้อารมณ์ขุ่นมัวของผมหายไปหรือยัง คำตอบคือมันยังอยู่ แต่เจือจางลงมากแล้วล่ะ โมโหเองหายเอง ทั้งที่ก่อนหน้านั้นผมโมโหแทบตาย เชื่อไหมผมตกอยู่ในอาการนั้นเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วไม่รู้ตั้งแต่นำพาชีวิตมาคลุกคลีอยู่กับพริกหวานน้อย เธออยู่เฉย ๆ ก็สามารถ ทำผมบ้าได้ “ดาวเคียงเดือน หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าพระจันทร์ยิ้มไง ปืนรู้จักใช่ไหม เมื่อกี้เค้าอ่านเจอในเฟซบุ๊ก บอกว่าค่ำวันนี้จะมี เค้าอยากดูมากกกก” ผมพยักหน้า ร้องอ๋อ แล้วเอนตัวไปข้างหน้ามองดูท้องฟ้าที่เริ่มถูกความมืดกลืนกินด้วยความสนใจ “แล้วเราจะเห็นปรากฏการณ์นั้นได้ตอนกี่โมงอะดื้อ” ดาวเคียงเดือนคือปรากฏการณ์ที่ดาวศุกร์ ดาวพฤหัสบดี และดวงจันทร์โคจรเข้ามาใกล้กัน โดยดวงจันทร์จะหงายอยู่ด้านล่างของดาวอีกสองดวง สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า สาเหตุที่เรียกว่าพระจันทร์ยิ้มก็เพราะมีลักษณะคล้ายใบหน้าคนกำลังยิ้ม จำได้เพราะเคยอ่านมา “ตามที่ข่าวบอก เราจะเห็นกันช่วงหัวค่ำ กินเวลาไม่นาน” “งั้นก็ต้องจับตาดูให้ดี” “ใช่ แต่ปืนจ๋า ช่วยพาเค้าไปส่งที่หอเลยได้ไหมอะ เค้าไม่อยากแวะที่ไหนอีกแล้ว” เสียงอ้อนอ่อนหวานเรียกปืนจ๋าของสาวตาใสแจ๋วและปากจู๋ ๆ ของเธอเรียกรอยยิ้มจากผม อดใจไม่ไหวต้องยื่นมือออกไปประคองซีกแก้มเนียนนุ่มไม่ต่างจากผิวเด็กทารกแรกเกิด ผมเกลี่ยคลึงเบา ๆ ด้วยปลายนิ้วหัวแม่มือ เล่นนุ่มนิ่มซะขนาดนี้จะไม่ให้อยากทะนุถนอมได้ยังไง “แต่ปืนยังไม่อยากแยกกับดื้อเลยทำไงดีล่ะ” ผมพูดเสียงเบา ก้มหน้าลงไล้ปลายจมูกเชิดรั้นอย่างหยอกล้อ ขณะเดียวกันก็ซึมซับกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากร่างบางไปด้วย พอได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันผมก็เกิดความโลภ อยากยืดเวลาออกไปอีก อยู่กับเพื่อนถึงตอนต้องแยกคือแยก ไม่มีความอาลัยอะไรหรอก แต่กับผู้หญิงคนนี้ผมดันอยากให้เวลา มีมากกว่ายี่สิบสี่ชั่วโมง ไม่ต้องพูดคุยอะไรกันก็ได้ ขอแค่นั่งมอง นอนมอง #ดื้อของปืน

บทที่ 1 Intro

“สวัสดี...เราชื่อปืน”

ฉันขมวดคิ้ว ร้องหืมในลำคอแล้วรีบเงยหน้า ละสายตาจากหนังสือที่เปิดกางทิ้งไว้ด้วยความงงงวยถึงขีดสุด คือที่เงยหน้าเนี่ยต้องการจะมองให้แน่ใจว่าตัวเองคือคนที่ถูกใครก็ไม่รู้พูดสวัสดี ใส่พร้อมทั้งบอกชื่อที่เดาว่าคงเป็นชื่อเล่นของเขาคนนั้นจริง ๆ ใช่ไหม ผลปรากฏว่าใช่จริง ๆ นั่นแหละ

เขาพูดกับฉันว่ะ

เพราะตรงนี้นอกจากฉันกับผู้ชายที่บอกว่าตัวเองชื่อปืนก็ไม่มีใครแล้วล่ะ แต่ก็ใช่ว่าจะร้างผู้คนไปซะทีเดียว เพื่อนนักศึกษาร่วมสถาบันคนอื่น ๆ ที่มาอาศัยนั่งอ่านตำรา ค้นข้อมูล ประกอบการทำการบ้าน ทำรายงาน ใช้บริการหอสมุด ณ บริเวณโซนชั้นสามเวลานี้ต่างเลือกที่จะนั่งโต๊ะที่อยู่ห่างกันออกไปเพื่อความเป็นส่วนตัวกันแทบทั้งนั้น รวมถึงตัวฉันเองด้วยที่ต้องการความสงบในการค้นตำราเปิดหาข้อมูลทำรายงานส่งอาจารย์อิทตย์หน้า ซึ่งถ้าเป็นช่วงตอนพีคอย่างตอนกลางวันน่ะเหรอ แค่มีที่ว่างให้อาศัยนั่งหลบร้อนระหว่างรอเรียนช่วงบ่ายบ้างก็นับว่าดีแล้ว

และคำถามแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวหลังลอบสำรวจอยู่เงียบ ๆ คือ

เราเคยรู้จักกันไหมนะ ?

เคยรึเปล่า ?

ฉันมุ่นคิ้วพลางเอียงคอเล็กน้อยเพื่อมองผู้ชายรูปร่างสูงโปร่งออร่าฟุ้งกระจาย ละสายตาได้ยากยิ่งตรงหน้าอย่างละเอียดถี่ถ้วน ไม่ว่าจะเค้าโครงใบหน้าแสนเพอร์เฟค ทรงผม คิ้ว ตา จมูก ปาก ขณะเดียวกันก็พยายามนึกย้อนเรื่องราวความทรงจำในอดีตประกอบไปด้วย แต่คิดเท่าไรก็คิดไม่ออกสักทีว่าคนลักษณะท่าทางแบบนี้ หน้าตาอย่างนี้ฉันเคยเจอที่ไหนมาก่อนหรือไม่ คือมันไม่มีแวบเข้ามาในหัวทั้งชื่อ ทั้งเค้ารางใด ๆ ดังนั้นฉันขอสรุปไปเลยละกันว่าเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน

ส่วนคำถามต่อมาก็คือ…

ทำไมเขาหล่อจัง ?

ซึ่งเอิ่ม...ดูเหมือนว่าคำถามนี้ของฉันมันจะไม่ใช่คำถามที่จะหาคำตอบได้ง่ายเท่าไรเนอะ อาจต้องเจาะลึกไปถึงพ่อแม่ ญาติพี่น้อง กระทั่งเหล่าบรรพบุรุษตั้งแต่สมัยพระเจ้าเหาเขาเลยว่าความหน้าตาดีนี้มีที่มาอย่างไร แต่ช่างคำถามไร้สาระของฉันเถอะ เอาเป็นว่าด้วยความน่าสนใจแบบมึน ๆ ชวนให้เกิดความสับสน และงงงวยชนิดหนักมากของปืนนี่แหละ สองลูกตาของฉันจึงยังคงจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าเนียนใสเขาคล้ายถูกตอกตรึงเอาไว้ด้วยตะปูแน่นหนา กว่าจะขยับปากเปล่งเสียงออกมาเบา ๆ แก้เก้อเมื่อรู้สึกตัวว่าจ้องจน ‘เกินงาม’ ได้ก็นานพอสมควร

“เอ่อ...สวัสดีค่ะ” คือนอกจากฉันจะเริ่มทำตัวไม่ถูก สีหน้าท่าทางค่อนไปทางเลิ่กลั่กเกินเบอร์แล้ว ก็ไม่รู้ว่าทำไมจะต้องรู้สึก เขินแบบแปลก ๆ กับคนแปลกหน้าที่เพิ่งเคยเจอด้วย งงตัวเองอะ เขาเองก็ไม่ได้แสดงท่าทีสนใจอะไรในตัวอะไรสักหน่อย ก็แค่ ‘จ้อง’ หน้ากลับคืน ไม่แน่ใจว่าเขาต้องการความช่วยเหลือจากฉันหรือว่าต้องการอะไรด้วยนะ ณ จุดนี้

และชั่วอึดใจกับการทนต่อสายตาที่จ้องมองมาคล้ายกำลังรออะไรสักอย่างจากฉัน ซึ่งแน่นอนว่าฉันไม่สามารถตีความหมาย หรือนั่งทางนัยหาคำตอบให้ตัวเองได้ว่าที่ปืนจ้องมาเนี่ยต้องการอะไร มันเลยเป็นเหตุให้ฉันมโนเอาเองแบบมั่นหน้า มั่นโหนก และมั่นใจว่าเขาคงรอให้ฉันแนะนำตัวกลับล่ะมั้ง และในจุดนี้แหละความลังเล มันเลยบังเกิด

เอ๊ะนั่น เอ๊ะนี่ คิดว่าจะดีหรือไม่ดี ที่ว่าทักเนี่ยมีจุดประสงค์อะไรแอบแฝงในใจรึเปล่า ถึงจะเป็นคนสถาบันเดียวกันก็ใช่ว่าจะไว้ใจได้ทุกคนนะ คือยิ่งคิดเยอะความคิดมันยิ่งเลอะเทอะไปกันใหญ่ พอลองหลับตาตั้งสติ สงบจิต สงบใจ และบวก ลบ คูณ หารในใจฉบับรวบรัดเสร็จสรรพก็ได้ผลลัพธ์ตรงกันข้ามกับสิ่งที่คิด คงไม่เสียหายอะไรหรอกก็แค่บอกชื่อเล่นเอง ฉันสบตาปืนแวบหนึ่งก่อนจะขยับปากพูดอีกครั้งหลังทิ้งช่วงไปพักใหญ่

“เราชื่อพริกหวานนะ”

“อืม...พริกหวาน”

ปืนทวนชื่อฉันในลำคอพลางพยักหน้าหงึกหงักเชิงรับรู้ ขณะเดียวกันมือเรียวยาวของเขาก็ทำการยกเก้าอี้ตัวที่อยู่เยื้องกับที่ฉันนั่งออกมาจากใต้โต๊ะแทนการลากด้วยมือเพียงข้างเดียว จากนั้นจึงหย่อนสะโพก ทรุดกายลงนั่ง แล้วก็ล้วงเอาสมาร์ตโฟนเครื่องหรู สีดำรุ่นใหม่ล่าสุดของแบรนด์ดังออกมาจากกระเป๋าเสื้อช็อปสีกรมอัน เป็นเอกลักษณ์ และบ่งบอกได้ว่าเจ้าตัวนั้นเรียนอยู่ที่คณะวิศวฯ คิ้วเข้มเห็นเพียงรำไรขมวดเป็นปมหน่อย ๆ ขณะที่นิ้วเรียวสวยของเขากดนั่นกดนี่ไม่ได้หยุด

รอยยิ้มมิตรภาพประหนึ่งตัวเองเป็นมิสแกรนด์ประจำจังหวัดบ้านเกิด (นครปฐม) ที่ฉันตั้งใจมอบให้เขามีอันต้องหุบฉับลงโดยปริยาย เพราะอีกฝ่ายก้มหน้าก้มตาสนใจแต่หน้าจอของเจ้าสิ่งที่อยู่ในมือมากกว่าจะเหลือบแลมาทางฉัน ก็คือพอหลังจากนั่งก็ทำการตัดฉันออกจากวงโคจรไปเลย

เหมือนอยู่คนละโลกอะ

คืออะไร ?

งงมากค่ะแม่

ที่คิดว่าเขาอาจจะมีอะไรแอบแฝงฉันคงมโนมากไปหน่อย แม้แต่หางตาเขายังไม่เหลือบแลฉันเลยจ้ะ เอาจริง ๆ ถ้าอยากนั่งโต๊ะนี้ บอกให้ฉันย้ายไปนั่งที่อื่นก็ได้นะ ง่ายดีด้วย ไม่ต้องลงทุนบอกชื่ออะไรกันหรอก แล้วก็คงไม่ต้องเสียเวลายืนกดดันโดยที่ฉันไม่รู้ตัว ตั้งหลายนาทีด้วย

เอ๊ะ!

เดี๋ยวนะ...

หรือเขามีปัญหาเรื่องการใช้รูปประโยคที่ถูกต้อง

ฉันมุ่นคิ้วสงสัยก่อนจะเลิกสนใจแล้วก้มหน้าลงเพื่ออ่านหนังสือที่เปิดกางเอาไว้ตามเดิม คือท่าทางเหมือนจะดีอยู่หรอกฉันเนี่ย แต่ติดตรงที่ตั้งใจอ่านเท่าไรมันก็ไม่เข้าหัวแล้วนี่สิ ทั้งที่เพื่อนร่วมแชร์โต๊ะก็ไม่ได้ส่งเสียงดังรบกวนสมาธิอะไรเลยนะ ออกจะนิ่งสงบเสมือนไร้ตัวตนในสายตาฉันด้วยซ้ำ จะโทษเขาเต็มร้อยก็ไม่ได้ เอาเป็นว่าเป็นที่ตัวฉันเองนี่แหละที่สมาธิมีไม่มากพอ ทำยังไงก็ไม่สามารถจมอยู่กับตัวเองต่อไปได้เหมือนก่อนหน้าที่เขาจะปรากฏตัว

จะว่าความหล่อพาใจไม่นิ่งก็...

มีนิดหนึ่งแหละ

ยอมรับ

นี่ถ้ายัยแจนกับยัยเบลไม่ชิ่งหนีฉันกลับบ้านไปก่อนล่ะก็ กล้าฟันธงและคอนเฟิร์มเลยว่ายัยสองคนนั้นจะต้องออกอาการดี๊ด๊า ชนิดเก็บอาการยังไงก็ไม่เนียน เพราะโดยปกติก็ชอบส่องชอบเหล่หนุ่ม ๆ คณะวิศวฯ เป็นงานอดิเรกแก้เครียดกันอยู่แล้ว ถ้ารู้ว่าฉันได้นั่งร่วมโต๊ะกับหนุ่มหล่อคณะนี้ล่ะก็ คงได้ยินเสียงคนร้องโอดครวญแบบแพ็คคู่เพราะความเสียดายพันเปอร์เซ็นต์ และฉันก็ไม่คิดจะปิดปากเงียบด้วย ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าคืนนี้จะแชตไลน์ไปเม้าท์ให้เบลกับแจนได้ดีดดิ้นเล่น

และพอคิดถึงเพื่อนขึ้นมาก็อดเสียดายไม่ได้ที่ไม่รู้ว่าปืนอยู่ชั้นปีอะไร ถ้ารู้จะได้บอกข้อมูลยัยสองคนนั้นได้ถูกต้องถ้าโดนซักไซ้ในประเด็นนี้ขึ้นมา แต่ครั้นจะถามให้รู้เรื่องมันก็ดูยังไงอยู่ เพราะเขาเองก็ไม่มีทีท่าว่าอยากคุยกับฉันเท่าไรด้วย

ไม่สิ

เรียกได้ว่าไม่อยากเสวนาด้วยน่าจะใช้คำได้ถูกต้องมากกว่า จะให้ฉันเริ่มต้นชวนคุยก่อนมันก็ไม่ใช่นิสัยอีกแหละ ดีไม่ดีเดี๋ยวจะหาว่าฉันอ่อยเอาอีก พื้นฐานเป็นคนนิสัยหลงตัวเองหรือเปล่าก็ไม่รู้ เอาเป็นว่าฉันเก็บความสงสัยส่วนตัวเอาไว้ในใจจะดีกว่า ถามว่าโอกาสที่จะเจอกันอีกมีไหม ก็คงมีนั่นแหละ แต่เขาจะจำฉันได้ไหมในหลังจากนี้มันก็อีกเรื่อง สรุปว่าไม่สร้างปัญหายุ่งยากให้ตัวเองภายหลังเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

และในเมื่ออ่านหนังสือหาข้อมูลเพื่อประกอบการทำรายงานส่งอาจารย์วิชุดาอาทิตย์หน้าต่อไปไม่รู้เรื่องฉันจึงปิดมันลงในที่สุด เพราะรู้ว่าหากฝืนอ่านต่อไปก็สูญเสียเวลาเปล่า เพราะสมาธิที่เสีย ไปแล้วเรียกกลับคืนมาได้ยากแค่ไหนฉันรู้ดี และด้วยเหตุนี้ฉันเลยเริ่มลงมือเก็บชีทเรียน สมุดจดบันทึกเกี่ยวกับเรื่องเรียน ปากกาหลากสี ใส่กระเป๋าผ้าปักลายด้วยมือเพื่อเตรียมตัวกลับหอพักที่อยู่ห่างออกไปจากมหาวิทยาลัย

หลุบสายตาลงดูเวลาที่นาฬิกาบนข้อมือก็พบว่า ณ ตอนนี้เกือบจะหกโมงครึ่งแล้ว สามชั่วโมงกว่าที่นั่งอยู่ในหอสมุด คือมาอาศัยตากแอร์อยู่ที่นี่ตั้งแต่เรียนวิชาสุดท้ายของวันเสร็จ ก็ว่าแล้วว่าทำไมถึง ได้รู้สึกหิวขึ้นมาตงิด ๆ ที่แท้ก็ได้เวลาหาอะไรใส่ปากใส่ท้องแล้วนี่เอง ซึ่งเมนูในใจก็มีมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วล่ะ

นั่นก็คือ...

ก๋วยเตี๋ยวหมูตุ๋นหน้าปากซอยเข้าหอ

จริง ๆ อยากกินมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วแหละ แต่เผอิญว่าช่วงเวลาที่อยากมันดึกเกินกว่าจะออกไปเดินต๊อก ๆ เพื่อซื้ออะไรกินแล้วไง เลยอาศัยทำมาม่าเกาหลีแบบเผ็ดคูณสองใส่ไส้กรอกเซเว่นที่ซื้อติดตู้เย็นแก้ความอยากหมูตุ๋นแสนอร่อยแทน และแค่นึกถึงความหอมของน้ำซุปน้ำย่อยในกระเพาะก็เริ่มทำงานหนักขึ้นมาอีกแล้ว

กลับดีกว่า

ไม่รออะไรแล้ว

แต่ก่อนจะลุกออกมาจากโต๊ะแล้วหันหลังให้ใครอีกคนฉันก็แอบเหล่สายตามองแวบหนึ่งนะ เผื่อเขามองมาฉันก็จะพูดอะไรสักคำสองคำ ซึ่งฉันคงหวังมากไปเลยเลือกที่จะไม่พูดอะไร อีกอย่างก็เห็นว่าเขากำลังตั้งอกตั้งใจเล่นเกมในมือถือมาก ขืนทะเล่อทะล่าไปขัดจังหวะเข้าคงไม่ใช่เรื่องดีสำหรับตัวฉันสักเท่าไร ใครบ้างจะไม่รู้ว่าพวกผู้ชายเวลาเล่นเกมนี่จริงจังยิ่งกว่าจริงจังซะอีก สังเกตดูได้จากสีหน้าที่ ค่อนไปทางเคร่งเครียดนั่นสิ สงสัยกำลังอยู่ในช่วงพีคจัด โบกมือลากันตรงนี้ไปเลยละกัน

หลังทำเรื่องยืมหนังสือที่ต้องใช้ค้นหาข้อมูลประกอบการทำรายงานกับเจ้าหน้าที่บรรณารักษ์คนสวยมาสองเล่มเรียบร้อย เดินออกมาด้านนอกตึกหอสมุด ท้องฟ้าที่เคยมีแสงแดดเจิดจ้าก็ถูกความมืดกลืนกินไปกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว เสาไฟทุกต้นมีไฟ สีส้มส่องสว่างตลอดทาง

ฉันชอบนะ บรรยากาศตอนย่างก้าวเข้าสู่ช่วงหน้าหนาวแม้ว่าหน้าหนาวบ้านเราอากาศเย็นจะมาเร็วไปไวกว่าทุกประเทศก็เถอะ แต่จะว่าไปอากาศ ณ ตอนนี้ ในเวลาเกือบ ๆ จะหนึ่งทุ่มของวันที่ยี่สิบปลาย ๆ ของเดือนตุลาคม ช่วงปลายฝนต้นหนาวแบบนี้มันก็เย็นใช้ได้เหมือนกันแฮะ และเหมือนว่าอากาศมันจะเย็นกว่าทุกวันด้วยแฮะนับตั้งแต่ที่กรมอุตุนิยมวิทยาออกประกาศว่าประเทศไทยของเราได้เข้าสู่ช่วงฤดูหนาวอย่างเป็นทางการไปเมื่อสองอาทิตย์ก่อนด้วย ลมเย็น ๆ ที่พัดโชยผ่านหน้าไปเมื่อกี้ให้ความรู้สึกดีจนอยากยื้อเอาไว้นาน ๆ

“เป็นไปได้ขอหนาวกว่านี้อีกเยอะ ๆ เลยนะ”

ถึงฤดูนี้มันจะทำให้ดูเหงา ทำให้คนอยู่ไกลบ้านคิดถึงบ้าน คิดถึงครอบครัวมากกว่าช่วงเวลาปกติ แต่ความรู้สึกเหล่านั้นก็แฝงด้วยความสุข ฉาบด้วยรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ

และฉันก็เชื่อมั่นเต็มหัวใจว่าแทบทุกคนที่ตั้งหน้าตั้งตารอที่จะนับถอยหลังเข้าสู่เทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองอย่างคริสต์มาส และ ปีใหม่ ซึ่งก็เดือนหน้านี้แล้วที่เทศกาลเหล่านั้นจะวนกลับมามอบความสุข สนุกสนานอีกครั้ง

ฉันเงยหน้ามองท้องฟ้าแล้วคลี่ยิ้มก่อนจะก้าวเท้าเดินต่อไป กลับถึงห้องแล้วต้องโทรคุยกับแม่ให้หายคิดถึงหน่อย เวลานี้ต่อให้อยากยืนหลับตา ชูแขนซึมซับอากาศดี ๆ ที่หาได้ค่อนข้างยากในกรุงเทพฯ แค่ไหนก็ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมสักเท่าไร เพื่อนร่วมเดินทางเท้าไปด้านหน้ามหาวิทยาลัย ณ ตอนนี้ไม่ได้เยอะเหมือนตอนช่วง ที่พระอาทิตย์ยังลอยเด่นอยู่เหนือหัว รถบริการคันยาวคอยรับส่งอาจารย์ บุคลากร รวมทั้งนักศึกษาที่ต้องการไปกลับหน้ามอก็หยุดวิ่งไปตั้งแต่ห้าโมงแล้ว เวลานี้คือรีบได้ต้องรีบถ้าไม่อยากเดินออกไป คนเดียว

“พริกหวาน!”

พริกหวาน ?

มีใครตะโกนเรียกฉันงั้นเหรอ ?

ฉันย่นคิ้วแล้วเหลียวหลังกลับไปมองที่ต้นเหตุแห่งความสงสัย เห็นปืนวิ่งมาด้วยสีหน้าที่คาดเดาอารมณ์ไม่ถูกฉันก็ขมวดคิ้วแน่น ไม่ใช่จะตามมาต่อว่าที่ไปไม่ร่ำลาอะไรแบบนั้นใช่ไหม ถ้าเป็นอย่างที่คิดก็ดูไร้สาระไปหน่อยไหมอะ ไม่แน่ว่าวันพรุ่งนี้ถ้าบังเอิญเจอกันตามถนนหนทางเขาอาจจำฉันไม่ได้แล้วก็ได้

“เธอ...”

“หืม”

“…” เรียกแล้วเขาก็เงียบไป

“มีอะไรรึเปล่า ถ้าไม่มีเรา...”

“จะออกมาทำไมไม่บอก” เขาโพล่งขึ้นมาในขณะที่ฉันยังพูดไม่ทันจบ ซึ่งทำให้ฉันจำต้องกลืนส่วนที่เหลือลงคอไปแบบงง ๆ ปืนมองหน้าฉันนิ่งมาก คือคงไม่ได้คิดจะต่อว่าฉันจริง ๆ ใช่ไหม และก่อนที่ฉันจะคิดอะไรไปไกลปืนก็ทำฉันอึ้งเป็นรอบที่สอง “มันมืดแล้วเห็นไหม” คือทำเสียงดุไม่พอ ยังทำหน้าดุหน้าเข้มใส่ฉันอีก นี่เขากำลังข่มขวัญฉันอยู่กลาย ๆ รึเปล่า หรือเห็นฉันเป็นเด็กเล็กเหรอ แล้วถ้าเกิดฉันบ้าจี้ตอบไปว่ามืดแล้วมันยังไง ไม่บอกแล้วเธอจะทำไม เขาจะเหวี่ยงขายาว ๆ มาเตะก้นฉันไหม เอาเป็นว่าไม่เสี่ยงต่อความปลอดภัยดีกว่าเนอะ

“ขอโทษด้วยนะ ที่ไม่ได้บอกปืนก่อนว่าเราจะกลับแล้ว” ฉันพูดเสียงอุบอิบ ยิ้มจาง ๆ แบบเก้อเขิน ซึ่งตรงกันข้ามกับความคิดที่กำลังตีกันจนสับสนวุ่นวาย และพยายามที่จะไม่คิดอะไรมากกับประโยคที่ว่ามันมืดแล้วเห็นไหมของเขาด้วย “อีกอย่างคือเราก็ไม่กล้าเรียกด้วยไง เห็นว่าปืนกำลังใช้สมาธิเลยไม่อยากรบกวน” ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมจะต้องมายืนอธิบายเหตุผลอะไรกับคนที่เพิ่งเจอด้วย ก่อนหน้านี้นอกจากแนะนำตัวเองแบบสั้น ๆ เขาก็ดูไม่ได้สนใจไยดีอะไรฉันขนาดนั้น

และเหมือนปืนจะพูดอะไรสักอย่างฉันแอบจับสังเกตเขาได้ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไรออกมาสักคำได้แต่เดินหน้านิ่งขึ้นมาตีคู่ ฉันเลยทึกทักเอาเองว่าเขาคงจะเดินไปหน้ามอเหมือนกัน และยิ่งแน่ใจเมื่อฉันก้าวเท้า เขาก็ก้าวไปพร้อมกับฉัน ก้าวไปในจังหวะเดียวกัน

ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีเราสองคนก็เดินมาถึงหน้ามอ บริเวณจุดรอรถประจำทาง หรือป้ายรถเมล์นั่นแหละ โดยตลอดเส้นทางที่ฉันกับคนแปลกหน้าที่หน้าไม่แปลกเดินออกมาด้วยกันไม่มีบทสนทนาอะไรระหว่างเราเลย คำเดียวก็ไม่มี ฉันเองก็ไม่รู้จะเริ่มต้นคุยยังไง ปากหุบ ๆ อ้า ๆ อยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่ได้เปล่งเสียงออกไป ก็อย่างที่บอกเริ่มต้นไม่ถูก ตัวเขาเองก็ดูไม่ได้ต้องการจะคุย เลยเลือกที่จะเงียบ จมอยู่กับความคิดไร้สาระของตัวเอง

ฝ่ายปืนหลับตาใครก็ดูออกทั้งนั้นว่าเขาพูดไม่เก่ง เมื่อต่าง คนต่างเป็นแบบนี้บรรยากาศรอบกายจึงดูอึมครึมตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน และถือว่าเป็นโชคดีของฉันเลยแหละที่ไม่ต้องยืนรอรถนาน ไม่ต้องทนกับบรรยากาศแปลก ๆ รอบตัวนานเกินไป มาหยุดยืนที่ หน้าป้ายได้ไม่ถึงห้านาทีรถสีเหลืองคันยาวบรรจุคนได้เยอะ และจอดมันทุกป้ายก็แล่นมาให้เห็นแล้ว

ไม่ต้องคอยชะเง้อคอ ยื่นหน้าดูว่าสายไหนจะพากลับที่พักเหมือนหลาย ๆ คนเลยแหละ เพราะอะพาร์ตเมนต์ที่ฉันใช้เป็นแหล่งพักพิงมาตั้งแต่ปีหนึ่งนั่งรถเมล์ไปแค่สามป้ายเท่านั้นเอง ดังนั้นรถเมล์สายไหนที่จอดตรงหน้ามอฉันสามารถขึ้นได้หมด อีกหน่อยรถไฟฟ้าหน้ามอสร้างเสร็จสมบูรณ์วันนั้นฉันคงสบายกว่านี้ สายมียาวเลย หอเลยมอไปถึงสถานที่สำคัญหลายที่เลย ไม่เกินสิ้นปีนี้คงได้ใช้ บางสถานีมีเปิดทดลองให้ใช้บริการแล้ว

“เรากลับก่อนนะ แล้วก็...ยินดีที่ได้รู้จักนะปืน” ฉันยิ้มกว้างให้ปืนด้วยความจริงใจเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะก้าวเท้าออกไปข้างหน้าเพื่อเตรียมตัวขึ้นรถโดยสารที่กำลังแล่นมาตามถนน และจะจอดเทียบป้ายในอีกไม่ช้า

ฉันไม่รู้ว่าปืนใช้สายตาแบบไหนมองมาที่ฉัน เขาจะยิ้มหรือไม่ยิ้มเรื่องนี้ฉันก็ไม่รู้อีกเพราะไม่ได้หันหลังกลับไปมอง เอาเป็นว่าเรื่องนั้นฉันไม่จำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจแล้วล่ะเพราะฉันจะถือว่าอย่างน้อย ๆ วันนี้ก็ได้รู้จักคนเพิ่มอีกหนึ่งคน

อ่านต่อ

หนังสืออื่นๆ ของ siree/evavy

ข้อมูลเพิ่มเติม

หนังสือที่คุณอาจชอบ

ขอโอกาสอีกครั้ง

ขอโอกาสอีกครั้ง

โรแมนติก

5.0

หลังจากเมา เธอก็ได้รู้จักกับคนใหญ่คนโตคนหนึ่ง เธอต้องการความช่วยเหลือจากเขา ส่วนเขาหลงเสน่ห์รูปร่างที่ดีและความสวยงามของเธอ พอเวลาผ่านไป เธอก็ตระหนักได้ว่าเขามีคนอยู่ในใจแล้ว เมื่อรักแรกของเขากลับมา เขาก็ไม่ค่อยได้กลับบ้าน แต่ละคืนเหวินม่านอยู่ในห้องว่างเปล่าด้วยคนเดียว แต่สุดท้ายแล้ว สิ่งที่เธอได้รับมาก็มีแต่เช็คใบหนึ่งและคำกล่าวลาเท่านั้น เดิมทีคิดว่าเธอจะร้องไห้โวยวาย แต่ไม่คาดคิดว่าเธอหยิบใบเช็คแล้วจากไปอย่างไม่ลังเล: "คุณฮั่ว ลาก่อน!"... พอพบกันอีกครั้ง เธอก็มีคนอยู่ข้างกายแล้ว เขาพูดด้วยตาแดงก่ำ: "เหวินม่าน ผมคบกับคุณมาก่อนนะ” เหวินม่านยิ้มเบา ๆ แล้วพูดว่า "ทนายฮั่ว คนที่บอกเลิก นั่นคือคุณเองนะ! ถ้าอยากจะเดทกับฉัน คุณต้องต่อคิว..." วันถัดมา เธอได้รับเงินโอนหนึ่งแสนล้านพร้อมแหวนเพชร ทนายฮั่วคุกเข่าข้างหนึ่ง: "คุณเหวิน ผมอยากจะแทรกคิว"

พระชายาของข้าคนเดียว

พระชายาของข้าคนเดียว

โรแมนติก

5.0

เดิมทีนางเป็นทายาทของตระกูลแพทย์เทพ แต่จู่ๆ นางก็กลายเป็นบุตรีของภรรยาเอกจากจวนเสนาบดีที่พ่อไม่สนใจใยดีและแม่ก็เสียชีวิตตั้งแต่ยังนางยังเด็ก ในวันที่นางย้อนยุค นางถูกใส่ร้ายว่าเป็นผู้ร้ายตัวจริงที่สังหารฮูหยินจวนโหว นางพยายามพลิกผัน พลิกสถานการณ์ และพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของนาง นางคิดว่าภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนั้นจบลงแล้ว แต่นางไม่รู้ว่าสิ่งที่นางจะต้องเผชิญคือเหวอันไม่มีที่สิ้นสุด เป็นถึงบุตรีของภรรยาเอกจากจวนเสนาบดีกลับมีอันตรายอยู้รอบตัวมากมาย ทุกคนก็รังแกนางได้ พ่อไม่สนใจนางจะเป็นหรือจะตาย แม่เลี้ยงและน้องสาวต่างแม่สนุกกับการทรมานนาง คู่หมั้นชั่วร้ายของนางอยากจะใช้นางเป็นประโยชน์เพื่อขึ้นไปที่สูง และแม้แต่น้องชายแท้ๆ ของนางยังทรยศนาง นางจึงเริ่มต่อสู้กับคนเจ้าเล่ห์ ข่มเหงแม่เลี้ยงของนาง และดูแลน้องชายและน้องสาวของนาง ดังนั้นนางวางแผนที่จะเล่นงานผู้ชายชั่ว เอาคืนแม่เลี้ยง และแก้แค้นน้องๆ ระหว่างที่นางแก้แค้นนั้น นางมีชีวิตที่มีความสุข แต่กลับไม่รู้ว่าไปยั่วยุคนใหญคนหนึ่งเข้าเมื่อไร เมื่อนางจะทำเรื่องไม่ดีหรือฆ่าคน เขาก็ช่วยนางหมด ในที่สุดนางก็อดไม่ได้ที่ถามออกมาว่า "ท่าน แม้ว่าข้าจะทำลายโลกที่ไม่มความยุติธรรมนี้ ท่านก็จะช่วยข้าเช่นกันหรือ" เขาทำหน้าใจเย็น "ตราบใดที่เจ้าอยู่เคียงข้างข้า แม้ว่าจะเป็นโลกใบนี้ ข้าก็สามารถให้เจ้าได้"

ขอเถอะครับให้ผมได้เป็นพ่อของลูก

ขอเถอะครับให้ผมได้เป็นพ่อของลูก

โรแมนติก

4.9

เผลอ One night stand กับคนที่ไม่ใช่ เธอจึงลาออก หลบมาเปิดร้านกาแฟเลียแผลใจ ลูกคนเดียวเธอเลี้ยงได้ แล้วไหงคนที่ไม่ใช่ ยังกลับมาเสนอหน้า ขอเป็นพ่อของลูกอีกล่ะ +++++++++++++++++++++ วนิษศากลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ มือกระชับถุงของที่ถือมาแน่น “ท้องทำไมไม่บอกผมหือ... หนูแหวน” เสียงทุ้มต่ำไม่ต่างกับคำราม เขายืนย้อนแสง ยิ่งทำให้เงาร่างใหญ่โตดูทะมึน กลบตัวเธอแทบมิด “ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณนี่” ว่าที่คุณแม่ตอบใจดีสู้เสือ ขณะอีกฝ่ายท่าทางเหมือนเตรียมกระโจนพร้อมเข้างับเหยื่อเนื้อหวานอย่างเธอเสียเหลือเกิน “ทำไมจะไม่เกี่ยวก็ในท้องคุณเป็นลูกผม” วนิษศาฟังแล้วอยากหัวเราะ “เชื่อได้ยังไงว่าเป็นลูกคุณ” หญิงสาวเชิดหน้าขึ้น จ้องตาเขาแบบไม่ยอมแพ้ “เชยเป็นป้าอย่างคุณน่ะนะหนูแหวน ทำงานให้พี่ผมงกๆ จะมีเวลาไปหาแฟนที่ไหน” ได้ฟังถึงกับมือสั่น ยอมรับ...วนิษศาแต่งตัวเป็นป้า แต่ไม่ต้องย้ำขนาดนี้ก็ได้ ++++++++++++++++++++++++

จำนนรักจอมเผด็จการ

จำนนรักจอมเผด็จการ

มหาเศรษฐี

5.0

แสงเหนือ เจ้าของฟาร์มวัวนม เป็นคนดุ ทำแต่งาน ไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร และเกลียดเด็ก! แต่กลับถูกขอร้องให้ช่วยดูแลลูกสาวของเพื่อน และใช่... คิดว่าสามขวบ ที่ไหนได้ยี่สิบสองต่างหาก นี่เวลาผ่านไปเร็วอะไรเบอร์นี้ แต่เขายังหล่อ รวย โสดอยู่เลย กับคำขอร้องของเพื่อนรุ่นพี่ ให้ดัดนิสัยลูกสาวให้แต่เขาปฏิเสธหัวชนฝา ไม่เอาเด็ดขาด แต่ความจริงบางอย่าง ทำให้เขาต้องช่วยเหลือและปฏิเสธไม่ได้ แคท หรือแคทรียา ลูกสาวท่านนายพลจากเมืองกรุงฯ ต้องจากบ้านอันแสนสุขสบาย ไปเลี้ยงวัว ล้างขี้วัว ตากแดดหน้าดำ เพื่อ... เพื่อหนีไอ้เฒ่าหัวงูหื่นกามที่มารดาสรรหามาให้ จะฟังพ่อหรือฟังแม่ก็เลือกเอา แน่นอนเธอเลือกฟังพ่อ แต่หนีเสือปะจระเข้หรือเปล่าไม่รู้ เพราะแค่วันแรก... ก็ทำเอาใจเหลวเป็นน้ำเพราะเจ้าของฟาร์มดันอวดสาขาใหญ่ให้เธอใจเต้น...

บท
อ่านเลย
ดาวน์โหลดหนังสือ