Login to MeghaBook
icon 0
icon เติมเงิน
rightIcon
icon ประวัติการอ่าน
rightIcon
icon ออกจากระบบ
rightIcon
icon ดาวน์โหลดแอป
rightIcon
ยอดดวงใจซื่อจื่อ

ยอดดวงใจซื่อจื่อ

ซีไซต์

5.0
ความคิดเห็น
2.4K
ชม
25
บท

ฉางเจียอีได้พบกับบุรุษปากร้ายจอมนินทาผู้หนึ่งซึ่งทำให้นางกับเขามีเรื่องราวจนถึงกับลั่นวาจาว่าชาตินี้จะไม่เผาผีกันอีก แต่ชะตาชีวิตกลับเล่นตลกเมื่อนางต้องเข้าไปพัวพันกับเขาเพราะต้องการช่วยพี่ใหญ่ของตนเองให้รอดพ้นจากความทุกข์อันแสนสาหัส ชีวิตนี้ของนางมิใช่ต้องการสิ่งใดมาก นอกจากการใช้ชีวิตอันหรูหราในบ้านของตนเองไปจนตาย ทว่าสวรรค์กลับไม่เมตตานางเพียงนั้นเมื่อทุกอย่างผิดเพี้ยนจากความตั้งใจเพราะมีคนผู้นั้นเข้ามาเกี่ยวพันในชีวิต ให้ตายเถิดเรื่องไม่ได้ง่ายอย่างที่นางคิดเอาไว้เลยแม้แต่น้อย หมายเหตุ นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายสุขนิยม ปมไม่ซับซ้อนจบสวยงามนะคะ กราบขอบพระคุณทุกท่านมากค่ะ

บทที่ 1 พบกัน

“เร็วเข้าเดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”

ฉางเจียอีกำลังเร่งให้เสิ่นเสียนบ่าวรับใช้ของตนเองให้คลายเชือกของม้าที่ผูกเข้ากับต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่หน้าวัดไป๋หลาง

วันนี้พ่อค้าใหญ่ฉางหลีบิดาของนางพาครอบครัวมาไหว้พระที่วัดไป๋หลางที่ผู้คนในลั่วหยางให้ความศรัทธาอย่างที่สุดเพื่อเป็นสิริมงคลในวันขึ้นปีใหม่

ฉางเจียอีเพิ่งฝึกขี่ม้าได้ไม่นานจึงบังเกิดความฮึกเหิมเพราะก่อนหน้านี้นางเพียงแต่ได้ขี่ม้าวนอยู่ในสนามฝึกขี่ม้าในจวนเท่านั้น บัดนี้เมื่อได้โอกาสออกมาข้างนอกทั้งด้านหลังวัดไป๋หลางยังเป็นทุ่งกว้างเหมาะอย่างยิ่งที่นางจะได้ลองฝีมือ

บ่าวบุรุษที่เฝ้าม้าบัดนี้มีสีหน้าไม่สู้ดี เขามิได้ช่วยฉางเจียอีเพียงแต่ยืนมองเฉย ๆ เกรงว่าหากลงมือช่วยเหลือจะเป็นการสมรู้ร่วมคิดและทำให้ตนเองมีความผิดจนถูกนายท่านลงโทษ

“คุณหนูอันตรายนะขอรับ”

“ข้าขี่ม้าเป็นแล้วจะอันตรายได้อย่างไร”

ฉางเจียอีถลึงตาใส่บ่าวผู้นั้นเมื่อเห็นว่าสีหน้าของเขาซีดเซียวไม่สู้ดีจึงเอ่ยว่า

“ไม่ต้องห่วงข้าจะพามันกลับมาให้เจ้าก่อนที่ท่านพ่อกับท่านแม่จะกลับจวน ไม่เกิดเรื่องกับเจ้าแน่นอนหรือหากเกิดเรื่องข้าก็จะออกหน้ารับแทนเจ้าเอง”

วันนี้บิดาของนางได้เข้าพบกับท่านเจ้าอาวาสแล้วปกติจะใช้เวลาไม่ต่ำกว่าครึ่งวันเพื่อสนทนาธรรม จากนั้นครอบครัวจะรับประทานอาหารเจที่วัดแล้วค่อยกลับจวน

ฉางเจียอีคิดว่าตนเองมีเวลามากพอที่จะไปขี่ม้าอย่างสบายอารมณ์และย่อมกลับมาทันเวลารับประทานอาหารอย่างแน่นอน

สาวใช้ของนางเสิ่นเสียนขี่ม้าได้คล่องกว่าฉางเจียอีนั่นเป็นเพราะบิดาของเสิ่นเสียนมีหน้าที่ดูแลม้าในของสกุลฉาง นางจึงได้ฝึกฝนมาไม่น้อย

ยามนี้สองนายบ่าวขี่ม้าเคียงกันตามเส้นทางเล็ก ๆ ระหว่างทางก็พบชาวบ้านจำนวนไม่น้อยทั้งเดินเท้าและนั่งรถม้า บ้างก็ขี่ม้ามาเพื่อไหว้พระในวันขึ้นปีใหม่

จุดหมายก็คือทุ่งกว้างหลังวัดไป๋หลางพวกเขาเพียงแต่ไปให้ถึงทางแยกข้างหน้าแล้วเลี้ยวซ้ายก็จะไร้ผู้คนแล้ว

เพราะคนเริ่มมากขึ้นเสิ่นเสียนจึงหันไปบอกกับฉางเจียอีให้ระวังตัว

“ระวังนะคะคุณหนู คนเยอะมากอย่าให้ม้าตื่นตระหนก”

“ไม่เป็นไร ข้าควบคุมได้”

กล่าวยังไม่ทันขาดคำ เบื้องหน้าก็พบคนกลุ่มหนึ่งกำลังฮ้อม้าตรงมาด้วยความรวดเร็ว ฉางเจียอีคิดจะให้ม้าของตนเองหลบไปข้างทางแต่แล้วกลุ่มม้าของคนพวกนั้นกลับเบียดม้าของนางจนตื่นตระหนก

ม้าตัวใหญ่ยกสองเท้าขึ้นร้องฮี้ ฉางเจียอีเกือบจะตกลงจากหลังม้าแล้วดีที่นางทรงตัวเอาไว้ได้ทัน ทว่าหลังจากนั้นมันกลับพุ่งตัวไปข้างหน้าด้วยความเร็วจนนางตกใจ

มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งหลบไม่ทันทำให้บางคนถึงกับล้มลงไปโชคดีที่ม้าไม่ได้เหยียบจึงได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย

ฉางเจียอีตกใจยิ่งนัก เพราะม้ากำลังวิ่งด้วยความเร็วที่นางไม่อาจควบคุม นางกรีดร้องอยู่บนหลังม้าไม่ได้ยินเสียงอันใดนอกจากเสียงของลมหวีดหวิวอยู่ข้างหู

ฉางเจียอีคิดหาวิธีหยุดม้าทว่าสมองกลับขาวโพลนคิดสิ่งใดไม่ออก

แต่แล้วบุรุษผู้หนึ่งก็ขี่ม้ามาประชิดข้างม้าของนาง ฉางเจียอีมองเขาแวบหนึ่งคนผู้นั้นก็กระโดดมานั่งบนหลังม้าตัวเดียวกันกับนางแล้ว

แผ่นหลังของนางพลันอุ่นขึ้นมาเมื่อเขากำลังโอบรอบร่างของนางแล้วจังมือที่กำบังเหียนของนางเอาไว้

เขาร้อง ย๊า ออกมาคำหนึ่ง เริ่มบังคับม้าของนางด้วยความเชี่ยวชาญ เพียงไม่นานฝีเท้าของม้าก็ลดลงจนกระทั่งเปลี่ยนเป็นวิ่งเหยาะๆ ในที่สุด

ฉางเจียอีพ่นลมหายใจยาวเมื่อสักครู่นางรู้สึกว่าตนเองกำลังวิ่งเข้าสู่ความตายด้วยความเร็วที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนในชีวิตภาพต่าง ๆ ในอดีตผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เขาว่ากันว่าคนเราก่อนจะตายมักจะเห็นภาพในอดีตนางในตอนนั้นก็เห็นเป็นเช่นนั้นเช่นกัน

โชคดีที่มีคนมาช่วยเอาไว้ได้ทัน

“ขอบคุณคุณชายที่ช่วยเหลือข้า”

เขาไม่ตอบรับคำขอบคุณของนาง กลับเงียบขรึมจนฉางเจียอีประหลาดใจเขาบังคับให้ม้าหยุดเดินพร้อมกับยื่นมือทั้งโน้มตัวมาลูบแผงคอของม้าพร้อมกับกล่าวว่า

“เด็กดี”

แน่นอนว่าการกระทำนี้ของเขาทำให้นางต้องโน้มตัวตามและถูกเขารัดรึงเข้าไปในอ้อมกอด กลิ่นหอมสะอาดของเขาทำให้ฉางเจียอีรู้สึกหัวใจเต้นระรัว ช่วงหน้าอกของเขานี้ก็ช่างแข็งและกว้างให้ความรู้สึกปลอดภัยได้อย่างน่าประหลาด

นางไม่เคยใกล้ชิดบุรุษใดมาก่อน ความช่วยเหลือของเขานางย่อมซาบซึ้งใจยิ่งนัก

แล้วบุรุษผู้หนึ่งก็ขี่ม้าตามมาในมือของเขาจูงสายบังคับม้าอีกตัวที่บนหลังไม่มีคนขี่ตามมาด้วย

“ซื่อจื่อเป็นอันใดหรือไม่ขอรับ”

คนผู้นั้นส่ายหน้าตอบน้ำเสียงราบเรียบชัดเจน

“ไม่”

บุรุษร่างสูงที่อยู่ข้างหลังนางเอ่ยหนัก ๆ ฉางเจียอีเห็นหน้าคนผู้มาใหม่ชัดเจนก็จำได้ว่าเขาคือกลุ่มคนนั้นที่เบียดม้าของนางจนทำให้ม้าตกใจ

“ที่แท้ก็พวกเดียวกัน พวกท่านทำให้ม้าของข้าตกใจจนเป็นแบบนี้”

ฉางเจียอีกล่าวโทษคนทันที โม่หนิงหลงที่นั่งอยู่ข้างหลังนางถึงกับส่ายหน้า เขาขยับตัวเล็กน้อยจากนั้นก็เหวี่ยงตัวเองลงจากหลังม้า เขายืนบนพื้นอย่างมั่นคงก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองนางกล่าวเสียงเย็น

“เป็นเจ้าที่ขี่ม้าไม่เป็นยังจะมากล่าวโทษผู้อื่น ตนเองผิดแท้ ๆ ยังคิดโยนความผิดให้คนอื่นอีก เห็นได้ชัดว่าคนเช่นเจ้าช่างไร้สมอง”

ฉางเจียอีถึงกับพูดไม่ออก เมื่อสักครู่นางยังรู้สึกใจเต้นกับเขาอยู่เลย บัดนี้คนผู้นี้กลับเป็นหนึ่งในตัวต้นเหตุที่ทำให้นางเกือบตายและเขาก็ยังเป็นผู้ที่ช่วยชีวิต

แต่หากไม่ใช่เพราะเขานางก็ไม่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์นี้ นางคิดว่าการที่เขาช่วยนางเอาไว้ย่อมนับว่าเหมาะสมแล้วไม่นับเป็นบุญคุณอันใด

“เจ้าเพิ่งขี่ม้าเป็นไม่ควรเที่ยวขี่ม้าไปทั่วเช่นนี้ เส้นทางมายังวัดไป๋หลางผู้คนพลุกพล่านและใช้ม้าและรถม้าเป็นจำนวนไม่น้อย หากเจ้าบังคับม้าไม่ได้ก็อย่ามาเที่ยวเกะกะทำให้ผู้อื่นได้รับความเดือดร้อน”

ฉางเจียอีจ้องเขาเขม็งจู่ ๆ ก็ถูกตำหนิและถูกต่อว่าทั้ง ๆ ที่พวกเขาเป็นตัวต้นเหตุแท้ ๆ ก็ทำให้นางมีโทสะ

ดวงตาคมยังจ้องนางอย่างคาดโทษ บุรุษผู้นี้ใบหน้าคมคายหล่อเหลาสะดุดตา ผิวขาวเนียนละเอียด ร่างกายสูงโปร่งสง่างาม สวมอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มยังสวมกวานสีเงินบ่งบอกว่าเป็นคนชนชั้นสูง

ถึงจะหล่อเหลาสูงส่งแล้วอย่างไร ทำผิดอย่างไรก็ต้องรับผิดชอบ

ฉางเจียอีลงจากหลังม้า ครานี้เสิ่นเสียนตามมาทันแล้วเสิ่นเสียนย่อมตระหนกเมื่อเห็นคุณหนูของตนกำลังยืนเผชิญหน้ากับคุณชายผู้หล่อเหลาผู้หนึ่งทั้งยังทำท่าจะกัดกินคนผู้นั้น

“ข้าขี่ม้ามาดี ๆ เป็นเพราะพวกท่านทำให้ม้าของข้าตื่นตระหนก มองอย่างไรก็เป็นพวกท่านที่ผิด”

โม่หนิงหลงจ้องใบหน้างามของนางแล้วส่ายหน้า เขาไม่คิดจะโต้เถียงกับสตรีที่ดื้อรั้นไม่ยอมรับผิดคนนี้แล้ว

คงอย่างที่เขาเคยได้ยินมาว่าสตรีที่งดงามมักจะไม่มีสมองนั้น นางผู้นี้เห็นจะเป็นเช่นนี้

เขาหันหลังและคิดจะเดินหนี แต่ฉางเจียอีกลับไม่ยินยอม

“ทำผิดแล้วคิดจะหนีหรือ ท่านต้องขอโทษข้าด้วย”

“ทำคุณบูชาโทษข้าน่าจะปล่อยให้เจ้าตกม้าตายไปเสีย ไม่เห็นบุญคุณก็ช่าง แต่ยังมากล่าวหาคนอื่นเช่นนี้ที่บ้านแม่นางสั่งสอนมาเช่นไร”

“นี่ท่าน”

ฉางเจียอีหัวคิ้วขมวดดวงหน้างามแดงก่ำ โกรธจนอยากกระทืบเท้า นางรีบลงจากหลังม้าคิดจะขวางเขาเอาไว้ไม่ให้หนีแล้วต่อเขาอีกสักหลายคำ ทว่าเสิ่นเสียนเข้ามาขวางหน้านางเอาไว้แล้วเอ่ยอย่างร้อนรน

“คุณหนู เพราะม้าตื่นทำให้มีคนเจ็บไม่น้อยให้ทำอย่างไรเจ้าคะ”

ฉางเจียอีจ้องเขาราวกับจะกินคน

“เห็นหรือไม่ว่าเพราะท่านจึงทำให้เกิดเรื่องเช่นนี้”

เขายกมุมปากน้อย ๆ

“ทักษะการขี่ม้าของเจ้าไม่ได้เรื่องจึงทำให้คนบาดเจ็บ ผู้ใดทำความผิดก็ต้องรับผิดชอบด้วยตนเองจะมาโยนความผิดให้คนอื่นไม่ได้”

“หากพวกท่านไม่ขี่ม้าไม่ดูตาม้าตาเรือจนเบียดม้าข้าจะเกิดเรื่องเช่นนี้หรือ”

“ข้าขี่มาตามถนนและม้าของผู้อื่นก็หลบหลีกได้เป็นอย่างดี สตรีไร้สมองไร้ฝีมือเช่นเจ้าคงคิดไม่ได้กระมังว่าสมควรจะหลบอย่างไร”

เขากล่าวจบก็กระโดดขึ้นบนหลังม้าของตนเองแล้วจากไปทันใดโดยไม่แม้กระทั่งจะชายตาแลนางอีก

ฉางเจียอีได้แต่ก่นด่าเขาตามหลังด้วยโทสะ

“หน้าตาดีเสียเปล่าแต่กลับเป็นคนเช่นนี้ เพ้ย! กล้าว่าข้าไร้สมองหรือ คนบ้า ข้าขอสาปแช่งท่านให้ได้แต่งงานกับสตรีพิการตาบอด หรือไม่ก็ง่อยเปลี้ยเสียขาทุกข์ทรมานไปตลอดชีวิต คนบ้า!”

หลังจากคนพวกนั้นจากไปแล้ว ฉางเจียอียิ่งโมโหหนักขึ้นเมื่อตนเองต้องเสียเงินทองไปไม่น้อยเพื่อจ่ายค่าทำขวัญชาวบ้านที่ตื่นตกใจเพราะนาง

ด้วยฐานะบุตรสาวของพ่อค้าเสิ่นผู้ร่ำรวยและมีกิจการมากมายที่สุดในลั่วหยาง เงินทองของนางมีมากมายล้นฟ้าย่อมไม่คิดเสียดาย เพียงแต่นางเจ็บใจที่ต้องมาสูญเสียเงินให้กับเรื่องไร้สาระอันเกิดจากการกระทำของคนกลุ่มนั้นที่เป็นตัวต้นเรื่อง

คอยดูเถิดหากนางได้พบเขาอีกครั้ง นางไม่มีวันปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน

อ่านต่อ

หนังสือที่คุณอาจชอบ

หนังสืออื่นๆ ของ ซีไซต์

ข้อมูลเพิ่มเติม
บท
อ่านเลย
ดาวน์โหลดหนังสือ