ผู้หญิงทะเลกับผู้ชายบนเกาะ

ผู้หญิงทะเลกับผู้ชายบนเกาะ

ต๋อง น่ะ

5.0
ความคิดเห็น
143
ชม
20
บท

รักแล้วไม่กลัวเจ็บ แต่ต้องเก็บเป็นความลับ เพราะไม่สามารถเปิดเผยรักที่แท้จริงได้ จึงต้องฝืนทนกล่ำกลืนรักที่แสนรันทัด แต่ถึงกระนั้นทั้งคู่ก็ไม่กลัวที่จะได้รักกัน ถึงแม้จะเป็นรักที่เจ็บๆแต่จริงใจและห่วงใย

บทที่ 1 สิ่งมหัศจรรย์

ชายหนุ่มร่างบึกบึนนอนแน่นิ่งที่ชายหาดอันขาวสะอาดดูงามตา คลื่นได้ซัดกระทบร่างครั้งแล้วครั้งเล่า แสงตะวันได้สาดส่องทั่วชายหาดและเรือนร่างของชายหนุ่มผิวสีแทน คลื่นซัดลูกแล้วลูกเล่าแต่ยังไม่มีทีท่าว่าชายหนุ่มจะรู้สึกตัว แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ชายหนุ่มนั้นได้รู้สึกขึ้นมา นั่นคือแสงแดดอันร้อนแรงที่แยงตา จนทำให้ชายหนุ่มเริ่มลืมตาขึ้นและขยับตัวอย่างช้าๆ

เมฆหนุ่มหล่อลูกน้ำเค็มลุกขึ้นนั่งและครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น เพราะยังมึนงงอยู่ว่ามานอนตรงชายหาดได้อย่างไร เมฆพยายามทบทวนความจำที่เกิดขึ้น ซึ่งก็ใช้เวลาไม่นานเท่าไรก็จำได้ในทันที ในวันเกิดเหตุนั้นออกเรือหาปลาอยู่กลางทะเล จูจู่ก็เกิดพายุโหมกระหน่ำโดยไม่มีทีท่าว่าจะเกิดขึ้นมาก่อน ฝนฟ้าคะนองคลื่นซัดกระหน่ำเรือหาปลาแตกเป็นเสี่ยงๆ จนร่างของเมฆจมลงสู่ก้นทะเล เมฆพยามตะเกียดตะกายขึ้นเหนือน้ำแต่ไม่เป็นผล หลังจากนั้นเขาก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย

เมฆครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งเมื่อไม่สามารถจำอะไรได้ เขาจึงลุกขึ้นยืนและเดินโซซัดโซเซลัดเลาะชายหาดไปเรื่อยๆ ได้เจอชาวบ้านหลายคนที่มองดูเขาอย่างกับสัตว์ประหลาด และถามเป็นเสียงเดียวกัน

“มึงรอดมาได้อย่างไร”

“กูไม่รู้ พอกูตื่นขึ้นมาก็อยู่บนชายหาดนี่แล้ว”เมฆตอบอย่างมึนงงและสับสนตัวเอง ในส่วนลึกเมฆก็คิดอย่างเดียวกับชาวบ้าน เขารอดมาได้อย่างไรเพราะเรือล่มอยู่กลางทะเล

“มึงโชคดีว่ะ มีพระดีอะไรหรือเปล่า”ชายหนุ่มคนเดิมเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“ไม่มี”เมฆส่ายหัว

“เอ่อ ถ้าอย่างงั้นถือว่าดวงยังไม่ถึงฆาต”ชายหนุ่มพูดขึ้นและได้เดินจากไป

เมฆพยายามที่จะไม่พูดและโต้ตอบกับชาวบ้านมากนัก เพราะยังจำเรื่องราวหลังจากเรือล่มไม่ได้ ซึ่งเป็นเหตุที่ทำให้ไม่สามารถพูดอะไรได้นอกจากคำว่าไม่รู้เหมือนกัน เมฆจีงรีบเดินกลับบ้านอย่างโดยเร็ว เพราะเมฆเป็นห่วงพ่อแม่และน้องสาวสุดที่รัก

เมฆใช้เวลาเดินมาที่บ้านไม่นานนัก ก็มาถึงบ้านที่เป็นกระท่อมหลังเล็กๆ เมฆยืนนิ่งมองเข้าไปภายในกระท่อมหลังเล็กของครอบครัวเขา เมื่อเมฆได้เห็นพ่อแม่และน้องสาว จึงรีบเดินเข้าไปในทันทีพร้อมตะโกนเรียกจนเสียงดังกังวาน

“พ่อ แม่ ผมกลับมาแล้ว”

สมบุญกับกุหลาบซึ่งเป็นพ่อแม่ของเมฆ และอีกคนหนึ่งคือฟ้าน้องสาวสุดที่รักต่างหันหน้ามาพร้อมกัน ทุกคนต่างตกตะลึงและดีใจแสดงออกทางสีหน้าอย่างชัดเจน

“ลูกแม่มึงรอดมาได้อย่างไง”กุหลาบถามขึ้นพร้อมกับเช็ดน้ำตาที่ไหลรินออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ

“ผมก็ไม่รู้ มารู้สึกตัวอีกทีก็อยู่ตรงชายหาดแล้ว”

“แล้วมึงอยู่บนชายหาดได้อย่างไรว่ะ มีแต่คนบอกว่ามึงตายไปแล้ว แต่เมื่อมึงกลับมาได้พ่อก็ดีใจว่ะ”สมบุญพยายามกลั้นน้ำตาไว้ไม่ไห้ไหลออกมา

“ผมไม่รู้จริงๆ”เมฆส่ายหน้าและนั่งลงข้างๆน้องสาวแสนสวย

เมฆพยายามย้อนนึกเหตุการณ์อีกครั้งหลังจากเรือแตก ก็พอจำได้ลางๆว่า เห็นหญิงสาวผมยาวแวกว่ายน้ำอยู่ใกล้ๆ พอหลังจากนั้นเมฆก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย

“พี่เมฆรู้ไหมว่าฟ้าภาวนาบนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้พี่รอดปลอดภัยด้วยแหละ”

“ขอบใจฟ้ามากนะ อาจเป็นแรงอธิฐานของน้องก็ได้”เมฆยิ้มให้ฟ้าน้องสาวอย่างเบิกกว้าง

“เอาเถอะ ไหนๆมึงก็ปลอดภัยแล้ว อย่าไปพูดอะไรให้มากความ”กุหลาบเอ่ยขึ้นและจับมือเมฆไว้แน่น

“พี่เมฆรู้ไหมว่าพี่หวานเป็นห่วงพี่มากไม่เป็นอันกินอันนอนเลย”ฟ้ามองตาพี่ชาย เพราะเธอก็อยากรู้ว่าเมฆจะรู้สึกได้อย่างไร เมื่อพูดถึงคนรักของพี่ชาย

เมฆอมยิ้มและไม่ได้พูดอะไรต่อ เพราะรู้สึกดีใจอย่างมากที่หวานคนรักได้เป็นห่วงเป็นใยเขาอย่างมากตามคำบอกของฟ้า

“เมฆ เมฆ เมฆ”หวานตะโกนพร้อมวิ่งมาอย่างรวดเร็วจนเกือบล้ม เมื่อเธอมาถึงตรงร่างของเมฆ แต่หวานก็ไม่กล้าเข้าไปกอดเพราะสมบุญกับกุหลาบนั่งมองอยู่ เธอจึงรู้สึกเกรงใจและยังมีความอายที่จะกระทำเช่นนั้น

“หวานดีใจมากเลยที่เมฆกลับมาอย่างปลอดภัย”หวานนั่งลงข้างๆใกล้ๆเมฆ

“หวานรู้ได้อย่างไงว่าเมฆกลับมาแล้ว”เมฆถามด้วยความสงสัย

“ข่าวของเมฆดังไปทั่วหมด มีแต่คนพูดถึงหวานจึงมาหาเมฆเพื่อความแน่ใจไง”

“ข่าวไวจังเลยนะ ต่อไปพี่เมฆต้องเตรียมตอบคำถามชาวบ้านแล้วแหละว่ารอดมาได้อย่างไง”ฟ้าพูดขึ้น

“หวานก็มัวแต่ดีใจ จนลืมถามเมฆไปเลยว่ารอดมาได้อย่างไร”

“เมฆก็ไม่รู้พอตื่นขึ้นมาก็นอนอยู่บนชายหาดแล้วนั่นแหละ”

“แปลกนะ สงสัยคลื่นคงซัดเมฆเข้าฝั่งมาอย่างแน่นอน”หวานมองหน้าเมฆและยิ้มอย่างสุขใจ

“อย่าไปพูดถึงมันเลย เพราะเมฆคิดเท่าไรก็คิดไม่ออก”เมฆถอนหายใจเฮือกใหญ่ แต่เขาก็ยังไม่วายคิดถึงหญิงผมยาวที่แวกว่ายอยู่กลางทะเล เมฆยังสงสัยไม่หายว่าคนหรือผี หรือสิ่งใดที่อาศัยอยู่ในท้องเทะเลอันแสนกว้าง

“ถ้างั้นพวกเอ็งคุยกันไปก่อนนะเดี๋ยวแม่จะไปทำกับข้าวให้กิน”กุหลาบพูดจบก็ลุกขึ้นออกไปนอกบ้านเพื่อก่อไฟทำกับข้าวให้ลูกชายได้กิน

“พี่สองคนคุยกันไปก่อนนะ ฟ้าจะไปบอกข่าวดีกับพี่มะขาม”เมื่อฟ้าพูดจบเธอก็รีบวิ่งออกจากบ้านทันที เพื่อไปหามะขามและบอกกล่าวเรื่องราวของเมฆที่รอดชีวิตมาจากท้องทะเล

เมื่อฟ้าวิ่งออกจากบ้านไปจนสุดลูกตา เมฆจึงชวนหวานเดินไปยังริมทะเลในมุมที่เขาทั้งสองพบหาพูดคุยกันเป็นประจำ สาเหตุที่ทั้งสองต้องคอยหลบอยู่ในมุมเมื่อพบเจอกัน เพราะพ่อของหวานกับพ่อของเมฆไม่ถูกกันเป็นคู่อริตั้งแต่หนุ่มๆ

ทั้งคู่เดินได้ลัดเลาะริมชายหาดและเดินไปจนห่างไกลสายตาผู้คน เมื่อถึงในที่แห่งรักในมุมสงบ สองร่างได้นั่งเคียงคู่กันตรงซอกหินอันเงียบสงบ มีเพียงเสียงคลื่นที่ซัดกระทบหินดังเป็นระยะๆ ดั่งเสียงเพลงอันโรแมนติกท่ามกลางธรรมชาติ

เมฆหันหน้ามามองหวานด้วยสายตาอันหยาดเยิ้มเป็นประกาย ด้วยความคิดถึงและรักใคร่ในตัวหวานอย่างเหลือล้น เขาจึงเอื่อมมือไปกุมมือของหวานไว้อย่างหลวมๆ พร้อมกับยกขึ้นมาบริเวณใกล้ริมฝีปาก จนทำให้หวานรู้สึกเขินอายแต่ก็ยินดีและเต็มใจ

“ไม่เอาน่าเมฆเดี๋ยวมีใครมาเห็นเข้าจะทำไง”หวานเหล่สายตามองเมฆแล้วค่อยๆดึงมือกลับ

“เมฆรักหวานมากเลยนะ”เมฆดึงมือหวานกลับมาใหม่แล้วกระทำตามความคิดเดิม เขาค่อยๆโน้มริมฝีปากลงมาจุมพิตที่หลังมือของหวาน

“อย่าอายผีสางบ้าง”หวานพยายามผลักร่างของเมฆให้ออกห่าง ในขณะเดียวกันเมฆก็ไม่ยอมแพ้โอบกอดหวานไว้ในวงแขนอย่างรวดเร็ว หวานพยายามออกแรงดิ้นนิดหน่อยเพื่อให้หลุดจากอ้อมกอดของเมฆแต่ไม่เป็นผล หวานจึงจำยอมด้วยใจจริงให้เมฆโอบกอดอยู่อย่างนั้น ยิ่งเมฆกอดนานเท่าไรยิ่งทำให้หวานคล้อยตามอารมณ์ ที่เมฆส่งมาให้อย่างเหลือล้นไม่มีวันหมดสิ้น แต่แล้วความรู้สึกและความต้องการ ที่ทั้งสองมีให้กันต้องหยุดชะงักในทันใด เมื่อมีเสียงดังตูมพร้อมน้ำที่กระจายกระเด็นจนเปียกชุ่มร่างของสอง ทั้งคู่จึงรีบหันไปมองในทันทีและต้องตะลึงกับสิ่งที่เห็น

“ปลาอะไรขนาดหางยังใหญ่ขนาดนี้”หวานตาโตด้วยความตะลึง

เมฆรีบลุกขึ้นยืนดูและมองอยู่นานสองนาน แต่ก็ไร้ร่องรอยปลาตัวที่หวานเห็น เมฆจึงครุ่นคิดและใคร่สงสัยว่าเป็นปลาหรือว่าตัวอะไรกันแน่

“เมฆคิดอะไรยืนนิ่งไปเลย”หวานเอ่ยขึ้น

“คิดถึงหวานนั่นแหละ”พอเมฆได้สติจึงเปลื่ยนเรื่องมาใช้คำหวานแทน

“ไม่เชื่อหรอก หรือว่าที่รอดมาได้เพราะมีนางเงือกมาช่วยแน่เลยตัวเมื่อกี้ใช่ไหม”หวานหัวเราะกับความคิดของตัวเอง เพราะหวานพูดไปเรื่อยแหย่เมฆเล่นเฉยๆ

เมฆสะดุ้งกับคำพูดและความคิดของหวานอย่างมาก จึงทำให้ยืนนิ่งไปอีกครั้งหนึ่ง เมฆจึงครุ่นคิดถึงเหตุการณ์เรือแตก เขาพยายามนึกคิดแต่ก็คิดไม่ออกว่าหลังจากนั้นมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น

“หรือว่านางเงือกมาช่วยเมฆไว้จริงๆบอกมาเดี๋ยวนี้นะ”หวานแกล้งพูดหยอกล้ออีกครั้งหนึ่ง

“เมฆรักหวานคนเดียว ถึงมีสิบนางเงือกเมฆก็ไม่สนหรอก”เมื่อเมฆได้สติจึงรีบก้มลงพรหมจูบทั่วใบหน้าของหวานอย่างคนหื่นกระหาย ซึ่งในครั้งนี้หวานไม่ได้ปฏิเสธอย่างใด เธอตอบรับแรงปราถนาของเมฆและของตัวเองอย่างเต็มใจ

“ไอ้เมฆมึงทำอะไรลูกสาวกู”

เสียงชายแก่ๆดังขึ้นกระหึ่มด้วยความดุดัน จึงทำให้ทั้งเมฆและหวานต่างถอยห่างร่างออกจากกัน แต่แล้วหวานต้องมายืนบังร่างของเมฆไว้เพราะจอมพ่อของเธอหันกระบอกปืนมายังเมฆ

“พ่ออย่าทำอะไรเมฆนะ ถ้าพ่อจะยิงเมฆก็ผ่านศพหวานไปก่อน”หวานจ้องมองสู้สายตาผู้เป็นพ่ออย่างองอาจ

“หวานถอยไป”จอมตะโกนเสียงดังอีกครั้ง

“พ่อของหวานไม่กล้ายิงหรอก”หวานกระซิบข้างๆหู เมื่อเธอเห็นเมฆกำลังจะออกมายืนอยู่หน้าเธอ เพราะกลัวจอมจะยิงหวานจริงๆ

“นังหวานผู้ชายหมู่บ้านเรามีตั้งมากมายทำไมไม่เลือก ดันไปชอบพอกับไอ้เมฆบ้านมันมีอะไรบ้าง”จอมกัดฟันแน่นด้วยความโมโห

“เมฆหนีไปเร็ว ถ้าเมฆรักหวานก็ต้องเชื่อหวาน”หวานกระซิบที่ข้างหูของเมฆอีกครั้ง

“ได้”เมฆรับคำ

“ไปเลย”หวานค่อยๆกระซิบให้เมฆได้ยิน

เมื่อหวานส่งสัญญาณให้เมฆได้หลบหนี เมฆจึงรอจอมพ่อของหวานเผลอ หลังจากนั้นจึงรีบวิ่งหลบหนีหายไปในทันที

อ่านต่อ

หนังสืออื่นๆ ของ ต๋อง น่ะ

ข้อมูลเพิ่มเติม

หนังสือที่คุณอาจชอบ

ที่แท้เป็นคุณหนูตัวจริง

ที่แท้เป็นคุณหนูตัวจริง

Nadia Lada
5.0

เสิ่นชิงกลายเป็นลูกสาวของชาวนาจากคุณหนูที่ร่ำรวยของตระกูลเสิ่นในชั่วข้ามคืน ลูกสาวตัวจริงใส่ร้ายเธอ คู่หมั้นของเธอทำให้เธออับอาย และพ่อแม่บุญธรรมของเธอก็ไล่เธอออกจากบ้าน... ทุกคนต่างรอที่จะหัวเราะเยาะเธอ ทว่าเธอกลับกลายเป็นทายาทของตระกูลเศรษฐีในเมืองอย่างกะทันหัน นอกจาดนี้ เธอยังมีตัวตนหลากหลาย เช่น หัวหน้าแฮ็กเกอร์ระดับนานาชาติ นักออกแบบเครื่องประดับชั้นนำ นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ที่ลึกลับ และอัจฉริยะด้านการแพทย์! พ่อแม่บุญธรรมเสียใจกับการตัดสินใจของตนและบังคับให้เธอแบ่งทรัพย์สินครึ่งหนึ่งให้เพราะพวกเขาเลี้ยงดูเธอมา เมื่อเสิ่นชิงหยิบกล้องออกมาแล้วบันทึกท่าทางอันน่าเกลียดของพวกเขา อดีตคู่หมั้นรู้สึกเสียใจและพยายามจะคืนดีกับเธอ เสิ่นชิงหัวเราะเยาะ "เขาคู่ควรงั้นเหรอ" จากนั้นก็ไล่เขาออกจากเมือง ในที่สุด ผู้มีอำนาจแห่งเมืองก็พูดอ้อนวอนเบาๆ "ไม่จำเป็นต้องแต่งเข้าตระกูลผม เดี๋ยวผมไปหาเอง"

เธอคนนี้ ไม่ใช่สาวส้มหล่น

เธอคนนี้ ไม่ใช่สาวส้มหล่น

Livia
5.0

ตอนเด็กถูกทอดทิ้งให้โดดเดี่ยว แม่ถูกทำร้าย ฉือเนี่ยนสาบานว่าจะเอาทุกอย่างที่เป็นของตัวเองกลับคืนมา!ครั้งแรกที่กลับมาที่เมืองจิง เธอถูกมองว่าเป็นผู้หญิงที่ไร้การศึกษาและสำส่อนหลายคนบอกว่าลู่เหยียนสือต้องตาบอดแน่ๆ ถึงได้มาสนใจฉือเนี่ยนแต่มีแค่ลู่เหยียนสือเท่านั้นที่รู้ ว่าเธอที่เขารักและทะนุถนอมนั้นมากความสามารถ สามารถสร้างความวุ่นวายให้ทั้งเมืองจิงได้ด้วยตัวคนเดียวเธอคือหมอมือหนึ่ง เธอคือแฮ็กเกอร์มือทอง และยังเป็นนักปรุงน้ำหอมชั้นยอดที่ได้รับการยกย่องจากบุคคลสำคัญคนภายนอก: "คุณลู่ คุณจะเอาใจภรรยาจนไม่มีขอบเขตเลยเหรอ ทำไมแม้แต่ประชุมยังต้องอุ้มเธอไว้ด้วย!"ลู่เหยียนสือ "ต้องเอาใจภรรยาถึงจะรุ่งเรืองเฟื่องฟู"ต่อมาความลับของเธอถูกเปิดเผย ทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนหันมาชื่นชมและยกย่องเธอ...

หลินซือเยว่ผู้นี้ มีสามชะตาในคราเดียว

หลินซือเยว่ผู้นี้ มีสามชะตาในคราเดียว

มาชาวีร์
5.0

หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง

บท
อ่านเลย
ดาวน์โหลดหนังสือ