Login to MeghaBook
icon 0
icon เติมเงิน
rightIcon
icon ประวัติการอ่าน
rightIcon
icon ออกจากระบบ
rightIcon
icon ดาวน์โหลดแอป
rightIcon
ซาตานตีตราแค้น

ซาตานตีตราแค้น

เทียนธีรา

5.0
ความคิดเห็น
2.4K
ชม
59
บท

เมื่อ ‘เจ้าสาวตัวจริง’ คิดคดไม่รักษาสัญญาที่เคยให้กันไว้ ด้วยการส่ง ‘เจ้าสาวตัวปลอม’ มาเป็นตัวตายตัวแทน คนไม่โง่และไม่เคยยอมให้ใครลบคมง่ายๆ อย่าง ‘อัทธ์ อัฐเสนา’ จึงต้องดัดสันดานคนขี้โกงให้หลาบจำ ในเมื่อรังเกียจและเจ้าเล่ห์กันนักก็เอา ‘ความแค้น’ ไปแทน ‘หัวใจ’ แล้วกัน >>อัทธ์ อัฐเสนา<< ผู้ชายไทยวัย ๓๒ ชื่อไทยแท้ แต่สายเลือดของเขามีเลือดของแม่ชาวเวเนซุเอลาปนอยู่ครึ่งหนึ่ง เขาไม่เคยยอมเสียเปรียบใคร เมื่อรู้ว่าลูกน้องของพ่อคิดคดโกงแล้วเชิดเงินหนีไปอย่างลอยนวล เขาจึงไล่ล่าและจับทำสัญญาชดใช้หนี้พร้อมกับจ่ายดอกเบี้ย เพื่อแลกกับการไม่ลากเข้าคุก แต่ลูกสาวคนโกงกลับตอบแทนความใจดีของเขาด้วยการหลอกลวง >>มัดไหม<< เด็กสาววัย ๑๙ กำลังจะได้เข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัย แต่ผู้เป็นบิดากลับมาด่วนจากไป พร้อมกับทิ้งภาระอันแสนหนักอึ้งไว้ให้เด็กกำพร้าตัวเล็กๆ ต้องเผชิญ เมื่อหาทางออกให้ตัวเองไม่ได้ มัดไหมจำต้องใช้วิธี 'หลอกลวง' ผู้เป็นเจ้าหนี้และว่าที่เจ้าบ่าว ด้วยการส่งตัวพี่สาวคนสนิทไปทำหน้าที่แทน โดยไม่รู้เลยว่าผลของการกระทำครั้งนั้นจะทำให้ชีวิตของตัวเองตกที่นั่งลำบากยิ่งกว่าเดิม >>เสาวรส<< น้ำตาและเสียงสะอื้นอันบาดใจของ คนที่รักเหมือนน้องสาว ทำให้หล่อนต้องเสียสละตัวเองเพื่อตอบแทนบุญคุณของครอบครัวมัดไหม โดยการมารับบทบาทเจ้าสาวตัวปลอมของอัทธ์ แต่เขาไม่ได้เป็นปิศาจร้ายอย่างที่คิด เสน่ห์ของเขาสั่นคลอนหัวใจของหล่อน ยิ่งใกล้ก็ยิ่งหวั่นไหว แต่จะทำเช่นไร ในเมื่อรู้ตัวเองดีว่าไม่ใช่เจ้าสาวตัวจริงของเขา >>ธีระ<< เขาเติบโตมาภายใต้ร่มเงาของอัทธ์ อัทธ์เป็นทั้งพี่ชายและผู้มีพระคุณ แต่เขากลับรักคนที่ไม่ควรรักซึ่งอยู่ใกล้เกินเอื้อม สาวน้อยยกมือขึ้นกอดอกและทอดสายตาขึ้นมองท้องฟ้าในคืนเดือนแรมอย่างหนาวเหน็บเช่นเดียวกับคืนที่ได้รู้ว่าเสาวรสกับอัทธ์กำลังจะแต่งงานกัน หล่อนพยายามปล่อยตัวปล่อยใจและสลัดทิ้งความเศร้าสร้อยออกไปจากหัวใจ ทว่ามันก็ไม่สำเร็จเลยแม้แต่เสี้ยววินาที หัวใจดวงน้อยวูบโหวง เจ็บในอกลึกๆ ขอบตาร้อนผ่าว และน้ำใสๆ ในนั้นก็กำลังจะกลั่นออกมา หากว่าไม่มีอ้อมแขนของใครคนหนึ่งสอดมาจากด้านหลังพร้อมๆ กับที่สัมผัสอุ่นๆ ที่กดลงบนซอกคอของหล่อน “อยู่นี่เองตามหาซะทั่วเลย” เสียงทุ้มคุ้นหูรำพึงขึ้นที่ข้างหูพร้อมด้วยสัมผัสหยอกเย้าคลอเคลียที่เริ่มจะหนักขึ้นๆ “ปล่อยค่ะคุณอัทธ์” “ไม่ปล่อย...ฉันคิดถึงเธอจะตายอยู่แล้ว รู้หรือเปล่ามัดไหม” “คุณไม่ควรทำแบบนี้นะคะ พรุ่งนี้คุณก็จะแต่งงานกับพี่รสแล้ว มัดไม่อยากให้พี่รสเสียใจ” “แล้วเธอล่ะ ไม่เสียใจสักนิดเลยเหรอที่ฉันกำลังจะแต่งงาน” “มัดยินดีต่างหากค่ะ คุณกับพี่รสเหมาะสมกันที่สุดแล้ว” มัดไหมพูดเสียงสั่นเครืออย่างหักห้ามความรู้สึกตัวเองไม่อยู่ ก่อนที่น้ำตาที่กลั้นเอาไว้จะไหลเป็นทางออกมาเป็นทาง “เธอเป็นอะไรหือ...” อัทธ์ถามด้วยเสียงงอนง้อ ห่วงหา ก่อนจะจับไหล่บางหมุนให้หล่อนหันมาเผชิญหน้า แม้จะมืดสลัวแต่เขาก็เห็นว่าหล่อนกำลังร้องไห้ นิ้วเรียวจึงเกลี่ยน้ำตาออกให้อย่างอ่อนโยน “มัดเปล่าค่ะ” “เปล่าอะไร เห็นอยู่ว่าร้องไห้ขี้แย” เสียงทุ้มเอ่ยกระเซ้า นั่นยิ่งทำให้น้ำตาของมัดไหมไหลออกมามากกว่าเดิม หล่อนไม่อยากให้เขาอ่อนโยน ไม่อยากให้เขาทำตัวสนิทสนม เพราะแค่นี้หล่อนก็ตัดใจยากมากอยู่แล้ว “ได้โปรดเถอะค่ะ อย่าทำแบบนี้กับมัด” “ฉันรู้ว่าเธอเสียใจ แต่จะเป็นไรไปมัดไหม ฉันก็แค่แต่งงานตามหน้าที่ ยังไงเธอก็ยังเป็นเมียฉันเหมือนเดิม” “มัดไม่ได้ต้องการอย่างนั้น” “แต่ฉันต้องการเธอมัดไหม ต้องการมาก...” น้ำเสียงนั้นฟังดูเว้าวอน ออดอ้อน เต็มไปด้วยความปรารถนา ก่อนที่เรียวปากหยักจะทาบทับลงมาปิดบนปากของหล่อน เขาบดจูบอย่างเร่าร้อน เรียกร้อง จนมัดไหมอดไม่ได้ที่จะจูบตอบเขา จุมพิตนั้นจึงเป็นจุมพิตที่เต็มไปด้วยอารมณ์โหยหา อาลัยอาวรณ์ และปรารถนากันและกันอย่างสุดซึ้ง

บทที่ 1 ดั่งเปลวเทียนต้องลม

1

ดั่งเปลวเทียนต้องลม

เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างน่าสงสารดังแว่วออกมาจากบ้านไม้สักสภาพกลางเก่ากลางใหม่ รูปทรงที่เป็นแบบเฉพาะนั้นบ่งบอกว่าครั้งหนึ่งเจ้าของบ้านหลังนี้เคยมีฐานะที่ร่ำรวยมาก่อน ก่อนที่มันจะทรุดโทรมลงตามเวลาและฐานะของผู้เป็นเจ้าของซึ่งระยะหลังประสบปัญหาหนี้สินอย่างหนัก

หลังจากผู้เป็นบิดาเสียชีวิตลงเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ตอนนี้ชีวิตของเด็กสาววัยสิบเก้าอย่าง ‘มัดไหม’ ก็ไม่ต่างอะไรกับเรือน้อยที่กำลังลอยเคว้งอยู่กลางพายุอันเชี่ยวกราดในทะเล เพราะไม่มีอะไรหรือใครเป็นเสาหลักให้ยึดเหนี่ยวอีกต่อไปแล้ว

พรุ่งนี้เจ้าหนี้ของพ่อจะมารับตัวหล่อนไปอยู่กรุงเทพฯ เพื่อเตรียมตัวเป็นเจ้าสาว หลังจากที่พ่อไม่สามารถชดใช้หนี้สินหลายล้านให้กับเจ้าหนี้ได้ หล่อนนึกอยากมีปีกแล้วบินหนีได้เหมือนนก แต่หากหล่อนคิดจะบิดพลิ้วหรือหนีไปเช่นนั้น ไร่แห่งนี้ก็จะถูกยึด ซ้ำตัวหล่อนเองยังต้องถูกฟ้องร้องในฐานะทายาทคนเดียวของพ่อ

“ผมเป็นทนายของคุณอัทธ์ อัฐเสนา มาติดตามเรื่องสัญญาระหว่างคุณอัทธ์กับคุณมนูญ ตามที่ได้มีการทำสัญญาระบุเป็นลายลักษณ์อักษร ว่าหลังจากที่คุณมนูญเสียชีวิต คุณมนูญจะให้ลูกสาวไปอยู่กับคุณอัทธ์และแต่งงานกับคุณอัทธ์ ดังนั้นผมจึงมาแจ้งให้ทราบล่วงหน้าว่า อีกสามวันคุณอัทธ์จะให้คนมารับตัวลูกสาวของคุณมนูญไปอยู่ที่กรุงเทพฯ เพื่อเตรียมตัวแต่งงานนะครับ อย่าลืมเตรียมตัวให้พร้อม”

นั่นคือถ้อยคำประกาศิตที่ทนายของเจ้าหนี้มาบอกไว้เมื่อหลายวันก่อน ไม่ต่างอะไรกับสายฟ้าฟาดลงกลางดวงใจน้อยๆ ที่กำลังอยู่ในภาวะมืดมน ความฝันที่เคยวาดไว้ซึ่งใกล้จะมาถึงในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ ก็คือการได้ใส่ชุดนักศึกษาในมหาวิทยาลัยที่ตัวเองใฝ่ฝัน คงไม่มีวันจะเป็นจริงแล้ว การแต่งงานกับเจ้าหนี้ใจร้ายมันจะต่างอะไรกับการต้องตกนรกทั้งเป็น

น้ำตาหยดใสๆ อาบลงสองแก้มไม่ขาดสายจนหมอนเปียกชุ่ม เสียงสะอื้นจนตัวโยนที่บ่งบอกความอ้างว้างเจ็บปวดนั้นบาดลึกเข้าไปในหัวใจคนฟังเหลือคณา จนคนที่ยืนฟังอยู่ข้างนอกทั้งสามคนต้องผลักประตูเข้ามาปลอบโยน

“ร้องไห้อีกแล้วเหรอคะคุณมัด” สาวิตรีคนเก่าแก่และเป็นคนสนิทของมารดาของมัดไหมถาม พลางเอื้อมมือไปกอดร่างบางซึ่งลุกขึ้นนั่งเมื่อเห็นครอบครัวของสาวิตรีเข้ามาในห้องอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา

“มัดจะทำยังไงดีคะป้าสา ลุงโรจน์ พี่รส”

“ใจเย็นๆ นะคะคุณมัด ค่อยๆ คิดหาทางออกกัน” สาวิตรีเอ่ยปลอบและลูบศีรษะของสาวน้อยเบาๆ

“มันไม่มีทางใดแล้วละค่ะป้าสา พรุ่งนี้คนของคุณอัทธ์ก็จะมารับมัดแล้ว ถ้ามัดไม่ไปเขาก็จะยึดไร่ของเรา แล้วทุกคนที่นี่จะอยู่กันยังไง” มัดไหมส่ายหน้าอย่างท้อแท้ เสียงสะอื้นที่พยายามจะกลั้นเอาไว้หลุดออกมาอีกหนึ่งคำรบ ร่างเล็กโยกโยนราวกับลูกนกน้อยเปียกฝนก็ไม่ปาน

“แต่คุณมัดยังต้องเรียนหนังสือนะคะ” เสาวรสลูกสาวของสาวิตรีเอ่ยขึ้นอย่างเวทนาเด็กสาวที่ตัวเองทำหน้าที่เป็นเหมือนพี่เลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก จึงรักมัดไหมเหมือนน้องสาวแท้ๆ คนหนึ่ง หล่อนเองเพิ่งจะจบจากมหาวิทยาลัยราชภัฎแห่งหนึ่ง โดยมนูญพ่อของมัดไหมเป็นคนส่งเสีย ทำให้หล่อนรู้ว่าการเรียนนั้นสำคัญมากแค่ไหน

“มันจบแล้วค่ะพี่รส มัดคงไม่ได้เรียนแล้ว”

“คุณมัดต้องได้เรียนค่ะ ส่วนเรื่องแต่งงานใช้หนี้พี่จะทำแทนเอง” เสาวรสบอกอย่างเด็ดเดี่ยว หล่อนตัดสินใจแล้วว่าจะทำมันเพื่อตอบแทนบุญคุณของครอบครัวมัดไหม

“พี่รส!” มัดไหมอุทานออกมาอย่างตกใจ เช่นเดียวกับพ่อแม่ของเสาวรสที่ต่างก็หันไปมองเสาวรสเป็นตาเดียวกันเมื่อได้ยินเช่นนั้น

“มันเป็นทางออกเดียวที่จะทำให้คุณมัดไม่ต้องไปค่ะ พ่อกับแม่อย่าว่ารสเลยนะจ๊ะ รสคิดดีแล้ว” เสาวรสขอความเห็นใจจากผู้เป็นบุพการีให้เห็นด้วยกับการตัดสินใจของตน

“ไม่ได้นะคะพี่รส มันไม่ใช่เรื่องที่พี่รสจะต้องมารับผิดชอบเลย” มัดไหมเอ่ยคัดค้าน แม้ตัวเองจะต้องทนทุกข์กับความรู้สึกของการถูกบังคับมากแค่ไหน แต่หล่อนก็จะไม่ยอมให้ใครต้องมารับหน้าที่แทน

“แต่ลุงเห็นด้วยกับยัยรสนะครับคุณมัด อย่างน้อยยัยรสก็จะได้ดูแลคุณมัดด้วย ตอนที่คุณมัดไปเรียนในกรุงเทพฯ”

“มัดเห็นแก่ตัวขนาดนั้นไม่ได้หรอกค่ะลุงโรจน์”

“ครอบครัวของคุณมัดมีบุญคุณกับครอบครัวของลุง เพราะฉะนั้นนี่เป็นโอกาสที่เราจะได้ตอบแทน อย่าปฏิเสธเลยครับคุณมัด มันเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว” สาโรจน์ยืนยันเจตนารมณ์ของครอบครัวตัวเอง และสาวิตรีกับเสาวรสต่างก็พยักหน้าสนับสนุน

“พี่จะพยายามถ่วงเวลาเอาไว้ค่ะคุณมัด พี่จะไม่แต่งงานกับคุณอัทธ์จนกว่าคุณมัดจะเรียนจบ และหลังจากนั้นเราค่อยคิดกันอีกทีว่าจะทำยังไง”

“แล้วถ้าคุณอัทธ์จับได้ล่ะคะพี่รส” มัดไหมเริ่มคลายใจเมื่อเสาวรสพูดเช่นนั้น แต่ก็ยังมีอีกปัญหาที่เด็กสาวอย่างหล่อนยังต้องกังวล

“อย่าลืมสิคะว่าคุณอัทธ์ไม่เคยเห็นคุณมัด และพวกเราก็ไม่เคยมีใครเห็นคุณอัทธ์ ได้ยินแต่ชื่อเท่านั้น คุณมัดทำใจให้สบายนะคะ เตรียมตัวไปเรียนก็พอ แล้วเจอกันที่กรุงเทพฯ ค่ะ”

“ขอบคุณค่ะพี่รส ขอบคุณลุงโรจน์ ขอบคุณป้าสาค่ะ” มัดไหมยกมือขึ้นไหว้ทั้งสามคนด้วยความซาบซึ้งใจโดยที่คราบน้ำตายังเปื้อนแก้ม

“คราวนี้ก็นอนได้แล้วนะคะคุณมัด ไม่ร้องแล้วนะคะคนดีของป้า” สาวิตรีกอดปลอบโยนลูกสาวของผู้มีพระคุณอย่างอ่อนโยนอีกครั้ง

“ค่ะ มัดสัญญาว่าจะไม่ร้องไห้อีก”

มัดไหมรับปากกับทุกคนแล้วล้มตัวลงนอน แม้จะไม่สบายใจเท่าใดนักกับทางออกเช่นนั้น แต่มันก็เป็นทางออกเดียวที่สามารถทำได้ในตอนนี้

อ่านต่อ

หนังสือที่คุณอาจชอบ

หนังสืออื่นๆ ของ เทียนธีรา

ข้อมูลเพิ่มเติม
บท
อ่านเลย
ดาวน์โหลดหนังสือ