ในค่ำคืนที่เงามืดกลืนกินแสงสว่างรอบตัวจนหมดสิ้น แสงไฟจากพุ่มไม้ประดับที่ถูกปลูกเอาไว้เป็นแนวยาวส่องให้เห็นสองร่างที่กำลังกอดรัดกันนัวเนีย
ริมฝีปากของคนที่บังเอิญมาพบเห็นเผยอค้างเติ่ง ไม่ต่างจากดวงตาที่แทบจะถลนออกมากับภาพที่ได้เห็น แม้จะไม่ชัดเจนนัก แต่ก็สามารถบอกได้เต็มปากเต็มคำเลยว่าสองร่างนั้นคือผู้ใด
มือเรียวเล็กขาวสะอาดขององค์หญิง มารีอาห์ บิน ชารีฟ อัล ซานัล น้องสาวแท้ๆ ขององค์สุลต่าน ลูฟาส บิน ชารีฟ อัล ซานัล ผู้ปกครองนคร ฟาดิลาห์อันยิ่งใหญ่ไพศาล ยกขึ้นปิดปากเพื่อไม่ให้เสียงอุทานด้วยความตกใจเล็ดลอดออกมา
ฮันนา ลูกสาวคนสวยของอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย กำลังนั่งกอดจูบพลอดรักอยู่กับ ฮูเซ็น พี่ชายบุญธรรมของตนเอง
ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้ เพราะฮันนาคือว่าที่องค์สุลตาน่าแห่งนครฟาดิลาห์ ซึ่งจะเข้าพิธีอภิเษกสมรสอันแสนยิ่งใหญ่กับเสด็จพี่ของหล่อนในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้า
องค์หญิงมารีอาห์รีบเร้นตัวห่างออกไปอย่างระมัดระวัง ความตกใจยังคงอัดแน่นอยู่ภายในอก หากค่ำคืนนี้หล่อนไม่ได้ลอบหนีออกจากตำหนักเพื่อปลอมตัวไปเที่ยวนอกวัง หล่อนก็คงจะไม่บังเอิญมาเห็นเหตุการณ์น่าสะอิดสะเอียนในครั้งนี้ มือขาวสะอาดกำเข้าหากันแน่น และแน่นอนว่าหล่อนจะต้องนำเรื่องที่พบเจอไปบอกพี่ชายของตนเอง
เรือนร่างสูงใหญ่ราวๆ หกฟุตสามนิ้วก้าวออกมาจากห้องประชุม ใบหน้าหล่อจัดเคร่งเครียดไม่ต่างจากทุกครั้ง ดวงตาสีสนิมรียาวหรี่แคบมองเรือนร่างอรชรของน้องสาวที่มาดักรออยู่ถึงหน้าห้องประชุมด้วยความแคลงใจ
หลังจากที่บิดาและมารดาสิ้นพระชนม์ไปในเวลาไล่เลี่ยกัน ตั้งแต่เขาอายุได้เพียงแค่สิบห้าปี ทิ้งให้เขาต้องแบกรับภาระอันยิ่งใหญ่นั่นก็คือการปกครองนครฟาดิลาห์ และก็ดูแลน้องสาวเพียงคนเดียวนั่นก็คือเจ้าหญิง มารีอาห์ผู้แสนซุกซน
“วันนี้ไม่มีเรื่องสนุกอะไรให้เจ้าทำแล้วหรือ เจ้าถึงได้ดั้นด้นมาหาพี่ถึงห้องประชุมน่ะ มารีอาห์”
มารีอาห์ฉีกยิ้มประจบประแจง ก่อนจะเดินเข้าไปกอดแขนล่ำสันของพี่ชาย “หม่อมฉันคิดถึงเสด็จพี่นี่เพคะ”
“เจ้าอย่ามาปากหวานเลย มีอะไรก็ว่ามา”
“แหม เจ้าพี่น่ะ ทำไมรู้ทันหม่อมฉันเสมอเลยเพคะ” องค์หญิงแสนงามกล่าวกับพี่ชายด้วยความหมั่นไส้ พร้อมกับทำจมูกย่นใส่ “เสด็จพี่ฉลาดในการมองคนเสมอ แต่ว่าทำไมถึงมองฮันนาไม่ออกเพคะ”
“เจ้าพูดแบบนี้อีกแล้วนะ มารีอาห์” น้ำเสียงของลูฟาสเต็มไปด้วยความเบื่อหน่าย
“ก็หม่อมฉันรู้จักนิสัยนางดียังไงล่ะเพคะ”
คนเป็นพี่ชายดันร่างน้องสาวออกห่าง และจ้องลึกเข้าไปในดวงตาหวานซึ้งของหญิงสาว “เจ้าน่ะไม่ชอบนาง เพราะเจ้าเป็นเพื่อนกับน้องสาวขี้อิจฉาของนาง อย่าคิดว่าพี่ไม่รู้นะมารีอาห์”
มารีอาห์ได้ยินผู้เป็นพี่ชายกล่าวถึงเพื่อนของตนเองแบบนั้นก็อดที่จะกางปีกปกป้องไม่ได้ “เสด็จพี่ตรัสแบบนี้ไม่ถูกต้องนะเพคะ จินนี่ไม่ได้เป็นคนขี้อิจฉาสักหน่อย มีแต่ถูกพี่สาวขี้ริษยารังแกเสียมากกว่า”
มารีอาห์ทำหน้าไม่พอใจ เพราะหล่อนยังจำรอยฟกช้ำที่ต้นแขนของจิรัชยาได้เป็นอย่างดี
“เจ้าน่ะหูเบารู้ไหม มารีอาห์”
“เสด็จพี่นั่นแหละเพคะที่พระกรรณแสนเบาหวิว ฮันนาทูลอะไรหน่อยก็ทรงหลงเชื่อ ทั้งๆ ที่ทุกคนในวังนี้ก็รู้กันทั้งนั้นว่า ฮันนาและแม่ของนางกลั่นแกล้งจินนี่กับแม่เสมอ”
ลูฟาสส่ายหน้าไปมา ชื่อของจิรัชยาทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ดวงตากลมโตที่เต็มไปด้วยความเศร้าหมองตลอดเวลา กลีบปากอิ่มเต็มที่ดูหนาเกินไปเล็กน้อย ปลายจมูกโด่งเชิด และท่าทางสงบเสงี่ยมเจียมตัวที่หล่อนมักจะแสดงออกมา ซึ่งเขารู้ทันว่ามันก็แค่ภาพลวงตาเท่านั้น
ฮันนาโชว์รอยเขียวช้ำให้เขาดูหลายครั้ง รอยฟกช้ำที่ฮันนาบอกว่าถูกจิรัชยารังแก
“พี่ว่าเจ้าถูกหลอกแล้วละ มารีอาห์”
“หม่อมฉันทูลเสด็จพี่ตามความจริงเพคะ ฮันนาน่ะไม่ได้สวยและแสนดีอย่างที่นางแสดงออกมาให้เจ้าพี่ทอดพระเนตรหรอกเพคะ”
ลูฟาสแค่นยิ้มหยัน “พี่ว่าเพื่อนของเจ้ามากกว่าที่ไม่ได้แสนดี และน่าสงสารอย่างที่พยายามเสแสร้งแสดงออกมา”
“เสด็จพี่เพคะ... ทำไมตรัสแบบนี้ล่ะเพคะ”
ลูฟาสกระแทกลมหายใจออกมาแรงๆ อย่างเบื่อหน่าย และยกมือขึ้นเป็นเชิงห้ามปราม
“เจ้าหยุดพูดก่อนเถอะ พี่ปวดหัว”
“แต่ว่า...”
“ถ้าหากการที่เจ้ามาดักรอพี่ที่หน้าห้องประชุมแบบนี้ คือแค่จะมาใส่ร้ายใส่ไฟฮันนา และก็ยกยอเพื่อนรักของเจ้าให้พี่ฟังละก็ พี่ไม่ว่างฟังหรอกนะ มารีอาห์”
“มันไม่ใช่อย่างนั้นเพคะเสด็จพี่”
“แล้วมันอย่างไหน”
“เอ่อ...” มารีอาห์หยุดพูดเล็กน้อย เพื่อตั้งหลัก หล่อนจะต้องเรียบร้อยคำพูดให้ดี เพราะลูฟาสเชื่อมาเสมอว่าฮันนาเป็นหญิงงามแสนดีราวกับนางเอกในนิยาย
“เจ้ามีอะไรก็ว่ามา แต่ถ้าไม่มี พี่จะไปแล้วนะ”
“เดี๋ยวเพคะเสด็จพี่” มือเล็กของมารีอาห์รีบคว้าแขนล่ำของพี่ชายเอาไว้
“คือ เมื่อคืน...”