1
เงาอดีต
‘อย่ามาแก่แดดแก่ลมแถวนี้ พี่เกลียดเด็กใจแตกแบบเธอที่สุดรุ้ง !’
ความทรงจำสุดท้ายที่รุ้งพรายจำได้เกี่ยวกับคริษฐ์ พี่ชายบ้านข้างเรือนเคียงกัน เธอผิดหรือที่เห็นเขาเป็นดั่งเจ้าชาย ใฝ่ฝันอยากได้เขามาเป็นเจ้าของ รุ้งพรายไม่เคยชายตามองผู้ชายอื่นนอกจากเขา เธอก็แค่รักเขาชื่นชอบเขา เธอคิดแค่นั้นจริง ๆ
‘รำคาญ เลิกตามสักทีจะได้ไหม !’
ตอนนั้นรุ้งพรายยอมรับว่าเธอมองคำต่อว่าของคริษฐ์เป็นเรื่องขบขันไม่เคยคิดละอายแก่ใจแม้แต่น้อย กระทั่งคริษฐ์มีคนรักเธอก็ยังตามติดเขาไม่ยอมปล่อย ใครจะห้ามจะปรามก็ไม่ยอมฟัง คิดแค่ว่าเธอมาก่อนใครหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์ แต่เธอคิดผิด ตอนรุ้งพรายอายุสิบแปดปี เธอถูก คริษฐ์ทำโทษให้หลาบจำ นับจากนั้นหญิงสาวก็แทบไม่อยากเข้าใกล้เขาอีกเลย
“ยังคิดถึงเรื่องเก่า ๆ อยู่อีกหรือรุ้ง” มารดาของหญิงสาวถามพร้อมรอยยิ้ม เมื่อเห็นท่าทีเหม่อลอยของลูกสาว
“ก็นิดหน่อยค่ะแม่ รุ้งไม่ได้กลับมาที่นี่ตั้งหลายปีทุกอย่างเปลี่ยนไปมากเลยนะคะ” รุ้งพรายในปัจจุบันอายุย่างเข้ายี่สิบห้าปี เพิ่งเดินทางมาจากต่างจังหวัดหลังจากบิดาได้เสียชีวิตลง หญิงสาวหันหน้ามายิ้มให้มารดาซึ่งตอนนี้ท่านก็เริ่มแก่ชราลงไปตามวัย
“แต่ห้องนอนของรุ้งก็ยังเหมือนเดิมนะลูก ขึ้นไปดูกัน” นางอำไพพาลูกสาวขึ้นไปบนชั้นสองของบ้านไม้ ซึ่งด้านล่างได้ต่อเติมเป็นปูนตั้งแต่สองปีที่แล้ว ชั้นบนมีระเบียงไม้สีขาวรอบตัวบ้าน
เปิดเข้าไปภายในห้องนอนรุ้งพรายก็ยิ้มกว้างในทันที เตียงนอนขนาดเล็กกับผ้าม่านสีขาว มีตู้เสื้อผ้ากับโต๊ะเครื่องแป้งแค่สองชิ้นเท่านั้นเอง หน้าต่างห้องนอนสามารถเปิดกว้างออกเพื่อชมทิวทัศน์ข้างบ้านได้ เมื่อก่อนหญิงสาวชอบใช้มุมนี้ในการแอบมองใครบางคน แต่ตอนนี้สภาพข้างบ้านไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว บ้านไม้สองชั้นหลังด้านข้างในอดีต ได้แปรสภาพเป็นบ้านสองชั้นร่วมสมัยซึ่งสูงกว่าบ้านกว่าของเธอ ชนิดที่ว่าต้องแหงนหน้ามองถึงจะเห็นชั้นสองของตัวบ้าน
“คุณป้าพิมพ์สร้างบ้านใหม่เมื่อไหร่คะแม่”
“ก็ราว ๆ ห้าปีได้แล้วมั้ง กิจการที่บ้านของคุณป้าพิมพ์เขาเจริญรุ่งเรือง รวยแบบก้าวกระโดดกันเลย”
“มีรั้วกั้นสูงแบบนี้แม่กับคุณป้าพิมพ์คงไม่ได้มานั่งคุยเล่นกันเหมือนเมื่อก่อนแล้วใช่ไหมคะ”
“ก็ทำนองนั้นแหละรุ้ง คุณป้าพิมพ์เขาเข้าไปทำงานในบริษัทไม่ได้มาเป็นแม่บ้านเหมือนแม่นี่ แต่เขาเก่งนะดูแลบริษัทจนเจริญก้าวหน้าเป็นที่รู้จักกันกว้างขวาง ยิ่งได้คริษฐ์เข้ามาดูแลช่วยก็ยิ่งรุ่งเรืองไปกันใหญ่” คำบอกเล่าของมารดาทำให้รุ้งพรายสะดุดตรงชื่อของเขาคนนั้น
เหมือนเรื่องราวของเธอและเขาถูกสภาพแวดล้อมทำให้ห่างกันยิ่งกว่าเดิมอีก เมื่อก่อนเธอก็แค่ลอดรั้วไม้เก่า ๆ เข้าไปวิ่งเล่นในบ้านหลังด้านข้าง แต่ตอนนี้คอนกรีตหนาหนักสูงราวสองเมตรขวางกั้นจะข้ามไปได้อย่างไร คงต้องยอมรับสภาพที่ว่าต่างคนต่างอยู่กันไป
“หิวข้าวไหมรุ้ง ขับรถมาไกล ๆ แบบนี้เหนื่อยแย่” นางอำไพเดินมาแตะไหล่ลูกสาว ที่เอาแต่ยืนมองกำแพงรั้วบ้านหลังด้านข้าง
“รุ้งชินแล้วล่ะแม่ อยู่ที่ไร่ของพ่อก็ขับรถระยะไกลบ่อยครั้งเหมือนกัน” หญิงสาวบอกแบบยิ้ม ๆ บิดาของเธอมีครอบครัวใหม่ แต่ท่านก็เลี้ยงดูเธอจนจบปริญญาตรี กระทั่งท่านได้เสียชีวิตลงด้วยโรคร้าย รุ้งพรายจึงตัดสินใจยกสมบัติครึ่งหนึ่งซึ่งก็คือบ้านพร้อมที่ดินของไร่ให้กับภรรยาใหม่ของบิดา
“แม่ไม่โกรธรุ้งนะคะ ที่ยกสมบัติครึ่งหนึ่งของพ่อให้แม่ฝนกับน้องน้ำพุ”
“พ่อเขายกให้รุ้งก็แสดงว่าเขามั่นใจว่าลูกสาวของแม่จะจัดการทุกอย่างได้อย่างยุติธรรม แบบนี้แม่จะไปโกรธรุ้งทำไมล่ะลูก”
“แม่ฝนดีกับพ่อมาก น้องน้ำพุก็น่ารัก รุ้งไม่อยากทำให้พวกเขาต้องลำบากค่ะ” แม้จะเจ็บที่บิดาปันใจไปจากมารดา แต่ว่ารุ้งพรายก็หนีความจริงเรื่องนี้ไม่พ้น และเมื่อนานวันเข้าหญิงสาวก็ทำใจกับเรื่องนี้ได้
“อืมแม่รู้”
“แต่แม่ก็คือแม่ของรุ้ง คือคนที่รุ้งรักมากที่สุดในชีวิตนะคะ” หญิงสาวเดินเข้าไปสวมกอดมารดา และรู้ดีว่าทำไมท่านถึงได้ส่งเธอไปอยู่กับบิดา เพราะเพียงแค่อาชีพแม่ค้าขายขนมไทยคงไม่สามารถส่งเสียให้เธอได้เรียนในมหาวิทยาลัยจนจบได้ ลำพังแค่ค่าน้ำค่าไฟก็แทบจะเดือนชนเดือนด้วยซ้ำไป
‘พ่อบอกว่าจะไม่ส่งเสียรุ้งหากรุ้งไม่ไปอยู่กับพ่อ พ่อบอกว่าแม่เอาเปรียบพ่อที่เอารุ้งมาเลี้ยงคนเดียว’
อดีตนั้นรุ้งพรายไม่รู้สึกยินดีในเงื่อนไขของบิดา แต่เพราะเหตุการณ์บางอย่างทำให้เธอไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไป การไปอยู่กับบิดาจึงเป็นทางเลือกสุดท้ายที่เธอต้องการ