ณ แคว้นเหมิงอันกว้างใหญ่ หิมะกำลังโปรยปรายลงมาอย่างหนักกระทั่งสายลมยังแรงยิ่งทั้งพัดเอากิ่งไม้ปลิวมาเคาะหน้าต่างโรงเตี๊ยมที่อันซูเซี่ยนอนอยู่กระทั่งเกิดเสียงดัง
แม่นมเผิงซึ่งเป็นสตรีร่างท้วมลืมตาตื่นขึ้นมาเพราะเสียงอันดังสนั่นหวั่นไหวของกิ่งไม้ที่กระแทกบานหน้าต่างไม่หยุด
ยามนี้คงถึงเวลายามเหม่า[ ประมาณตี5]แล้วพวกนางต้องเร่งออกเดินทางตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางจึงถือว่าเสียงดังนั้นช่วยปลุกนางให้ตื่นขึ้นพอดี
นางยันกายลุกขึ้นกระชับเสื้อนวมอุ่นพร้อมกับเก็บที่นอนของตนเองจนเรียบร้อยจากนั้นจึงค่อยย่องออกจากห้องเพื่อไปสั่งให้สาวใช้เตรียมน้ำอุ่นเพื่อรอปรนนิบัติให้องค์หญิงล้างหน้าถูฟัน
เพราะอากาศทั้งหนาวทั้งชื้นจึงทำให้รู้สึกไม่สบายตัวบัดนี้กระถางไฟในห้องก็ดับมอดใกล้จะหมดแล้วนางจึงไม่อยากรบกวนองค์หญิงของตนเองให้ตื่น อย่างน้อยให้องค์หญิงได้หลับตาเพิ่มอีกสักหน่อยก็ยังดี
ทว่าเท้าของนางยังไม่ทันก้าวพ้นประตูน้ำเสียงหวานปนแหบของอันซูเซี่ยพลันดังขึ้น
“แม่นมจุดเทียนเถิด ข้าตื่นแล้ว”
แม่นมเผิงเอ่ยด้วยสุ้มเสียงอ่อนโยนยิ่ง
“ไยรีบตื่นเล่าเพคะ เมื่อคืนกว่าพวกเราจะเดินทางมาถึงที่นี่ก็กินเวลาไปถึงดึกแล้ว”
“เสียงไม้กระแทกหน้าต่างดังเช่นนี้ข้าข่มตานอนไม่หลับ”
แม่นมเผิงหมุนกายกลับมา เพ่งดวงตามองเรือนร่างลาง ๆ ที่นอนอยู่บนที่นอนอุ่นก่อนจะเดินกลับไปหาหญิงสาวนางนั้นแล้วดึงผ้าห่มมาคลุมจนถึงปลายคาง ห่อตัวนางให้แน่นหนาขึ้น
“เช่นนั้นรอบ่าวสักครู่นะเพคะ ประเดี๋ยวบ่าวไปจัดเตรียมน้ำอุ่นเสียก่อน”
“อืม”
แม่นมเผิงลุกขึ้นจากนั้นจึงเดินไปจุดตะเกียงน้ำมันจนสว่างไปทั้งห้อง
บัดนี้จึงเผยโฉมหน้าดรุณีน้อยนางหนึ่งที่ใบหน้าเลอโฉมดุจดวงจันทร์ ผิวพรรณขาวประดุจหิมะ แม้ว่าสีหน้าจะขาวไร้เลือดฝาดด้วยเพราะเพิ่งตื่นนอนแต่กลับยิ่งขับเน้นความงดงามโดดเด่นของนางให้มากยิ่งขึ้น
ยามแม่นมเผิงกลับมาพร้อมสาวใช้อีกสามคนอันซูเซี่ยก็ลุกขึ้นนั่งและขดกายอยู่ในผ้าห่มท่าทางประดุจหนอนผีเสื้อตัวหนึ่งแล้ว
แม่นมเผิงยกมือทาบอกอุทานเสียงแผ่วเบา
“ตายแล้ว องค์หญิงมิอาจนั่งท่าไม่สำรวมนี้ได้นะเพคะ บ่าวสอนไปตั้งกี่ครั้งแล้ว”
อันซูเซี่ยถอนหายใจยาว ปล่อยให้บ่าวพวกนั้นปรนนิบัติตนล้างหน้าหวีผมทั้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย
“ข้ายังจำได้ที่แม่นมสอนข้า แต่ยามนี้ยังไม่เข้าเมืองหลวงท่านก็ปล่อยให้ข้าเป็นอิสระเถิด หลังจากนั้นข้าคงไม่ได้ทำอะไรเช่นนี้อีกแล้ว”