ฝูจื่อหรงก้มหน้าวูบลงมาบดริมฝีปากกับโจวเจ้าเว่ยเบาๆ แต่เจ้าเว่ยต้องการมากกว่านั้น หญิงสาวแลบลิ้นออกมารอรับ นางเป็นฝ่ายสอดความอ่อนนุ่มเข้าไปภายในปากของเขาแทน แม้มือจะยังไม่มีแรงมากนักแต่การยึดเหนี่ยวใบหน้าเขาไว้กลับไม่เป็นปัญหา หญิงสาวบดริมฝีปากสามีอย่างเร่าร้อน "ถอดเสื้อผ้าให้ข้า จื่อหรงถอดให้ข้ามันร้อนเหลือเกิน" เจ้าเว่ยปากสั่นร้อนรนเพราะทนกับความรู้สึกเสียวซ่านที่รบกวนจนรู้สึกทรมานในทุกสัมผัสของเขา พรางนึกขัดใจตนเองที่สิ้นไร้เรี่ยวแรงแม้กระทั่งเสื้อผ้าของตนเองยังไม่มีปัญญาถอด "เจ้าเว่ยของข้าอย่าได้รีบร้อน เราจะค่อยๆสัมผัสและมีความสุขด้วยกัน" ฝูจื่อหรงจุมพิตปากบาง พลางถอดอาภรณ์ของนางอย่างทะนุถนอม "พี่เต้ข้าไม่เข้าใจ เจ้าหลีกเลี่ยงข้ามาตลอดเหตุใดถึงยอมโดยง่าย หากข้ามีแรงมากกว่านี้คงได้ปลุกปล้ำเจ้าไปหลายครั้งแล้ว" เจ้าเว่ยกล่าวพลางพยามยามใช้มือคว้ามังกรตัวใหญ่ไว้ในมือจนสำเร็จ อารมณ์ความต้องการเพิ่มทวีขึ้นโดยที่เจ้าเว่ยไม่อาจระงับอารมณ์ได้อีกต่อไป เธอกำความใหญ่แน่นแล้วลูบไล้ช้าๆ มันร้อนไปทั่วทั้งฝ่ามือ ภายใจร่างกายและจิตใจของเจ้าเว่ยสั่นระริกด้วยความร้อนและไฟปรารถนา ในที่สุดฝูจื่อหรงก็ถอดอาภรณ์ออกจากร่างบางได้สำเร็จ เจ้าเว่ยดูเหมือนจะมีแรงขึ้นมาเล็กน้อย นางยังกำมังกรยักษ์แน่นไม่ยอมปล่อย นางเลียริมฝีปากเมื่อมองร่างมันจนฝูจื่อหรงรู้สึกลำคอแห้งผาก รู้สึกอยากกดศีรษะของคนตัวเล็กลงแล้วยัดมังกรเข้าไปในโพรงปากให้นางได้สมปรารถนาเสียเดี่ยวนี้ "ปล่อยมันก่อนเจ้าเว่ย เจ้าต้องไปอาบน้ำ" เขากระซิบเสียงแหบพร่า พยายามแกะมือเล็กที่กอบกำมังกรของเขาอยู่ เจ้าเว่ยต้องปล่อยอย่างอดเสียดาย ใบหน้าของนางฟ้องความต้องการออกมาจนฝูจื่อหรงนึกขัน แนะนำตัวละคร เรื่องย่อ โจวเจ้าเว่ย องค์หญิงแห่งแคว้นเหลียง ทายาทของเผ่าบุปผาขึ้นชื่อว่าเป็นโฉมงามล่มเมือง คนของเผ่าบุปผาเป็นเผ่าที่ถือกำเนิดมาจากเทพเซียนรูปโฉมงดงามแต่ต้องคำสาปเรื่องของความรัก หากพวกเขามีความรักจะไม่สมหวังและตายอย่างอนาถด้วยความรักนั้น ฝูจื่อหรง ฮ่องเต้แคว้นชินที่มีเบื้องหลังการครองอำนาจโดยการสนับสนุนของมหาเสนาบดีฟางอี้จวิ้น รูปโฉมงดงามจนทำให้แข้งขาสตรีอ่อนระทวย เรื่องสตรีสำหรับเขาเป็นเพียงเพื่อมีไว้สนับสนุนบัลลังก์ให้มั่นคงเท่านั้น คนทั่วราชสำนักรู้ดีว่าเขาเป็นเพียงหุ่นเชิดของมหาเสนาบดีฟางอี้จวิ้น กระทั่งวันหนึ่งเขาต้องแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีกับองค์หญิงผู้ลึกลับผู้หนึ่ง ที่เข้ามาพังทะลายกำแพงหัวใจที่เขาตั้งเอาไว้ และ นางผู้นั้นยังทำท่าคล้ายกับว่าไม่อาจอยู่กับเขาได้อีก สตรีผู้หนึ่งซึ่งมีความลับบางประการซ่อนอยู่ โจวเจี๋ยหลุน พี่ชายฝาแฝดขององค์หญิงโจวเจ้าเว่ยโจวเจ้าเว่ยองค์หญิงผู้สามารถเดินทางข้ามมิติได้โดยใช้ขลุ่ยเพรียกบุปผาซึ่งเป็นขลุ่ยวิเศษในการเดินทางข้ามมิติ โจวเจ้าเว่ยเป็นสตรีของเผ่าบุปผาอันลี้ลับ ต้องคำสาปที่ไม่สามารถมีความรักได้ หากนางมีความรักจำเป็นต้องเจ็บปวดจนถึงแก่ความตาย เพราะเหตุนี้โจวเจ้าเว่ย และ โจวเจี๋ยหลุน พี่ชายจึงต้องออกเดินทางเพื่อตามหาวิธีแก้คำสาปที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด และ พวกเขาไม่อาจเปิดเผยความลับนี้ให้ ฝูจื่อหรงล่วงรู้ได้ (เรื่องนี้เป็นนิยายภาคต่อของต้องมนต์บุปผาค่ะ)
ขลุ่ยเพรียกบุปผาเป็นของล้ำค่าของเผ่าบุปผาซึ่งเป็นลูกหลานของเผ่าสวรรค์ตั้งแต่ครั้งอดีต ขลุ่ยนี้สามารถควบคุมกองทัพผึ้งพิษดึกดำบรรพ์ให้เชื่อฟังคำสั่งจึงเป็นของวิเศษที่คนในใต้หล้าต่างค้นหาเพื่อครอบครอง
ว่ากันว่าขลุ่ยเพรียกบุปผาได้หายสาบสูญไปอย่างลึกลับเป็นเวลาถึงสิบแปดปีแล้วตั้งแต่ครั้งศึกชิงบัลลังก์ของแคว้นเหลียงจนบัดนี้ยังไม่มีผู้ใดตามหาพบ จนหลายคนคิดว่าขลุ่ยนี้ได้กลับสู่สรวงสวรรค์ไปแล้ว
โจวเจ้าเว่ยร่ายคาถาฉับพลันขลุ่ยเพรียกบุปผาในมือก็อันตรธานหายไป หญิงสาวมองไปยังพี่ชายแล้วหัวเราะเสียงดัง โจวเจี๋ยหลุนเดินขึ้นมาจากลำธารเสื้อผ้าเปียกปอน โจวเจี๋ยหลุนถอดเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดออกจากตัว ก่อนจะบิดเสื้อแล้วสะบัดแรง ๆ หลายครั้งแล้วพับอย่างเรียบร้อยเก็บไว้ในกระเป๋าเป้กันน้ำสัมภาระที่เขาใช้เดินทางเป็นประจำ
การเดินทางย้อนเวลามาแคว้นเหลียงและกลับไปยังเวลาปัจจุบันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทุกสามเดือนแต่พวกเขาทั้งคู่ไม่อาจคาดเดาวันที่ชัดเจนได้ เมื่อถึงวันนั้นขลุ่ยจะปรากฏกายอยู่ตรงหน้าของโจวเจ้าเว่ยและเธอจะเป่าบทเพลงข้ามกาลเวลาโดยไม่รู้ตัว แม้ว่าโจวเจี๋ยหลุนจะอยู่ที่ใดก็ตามเขาจะได้ยินเสียงขลุ่ยดังก้องในหูต้องแอบหลบผู้คนและย้อนเวลากลับมากับน้องสาวด้วยทุกครั้ง ครานี้ก็เช่นกัน
"เปียกเป็นลูกหมาตกน้ำเลยเจี๋ยหลุน" น้องสาวยังหัวเราะไม่หยุด
"บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้เรียกพี่"
พี่ชายส่ายหน้าให้กับอาการไม่เชื่อฟังของน้องสาวตัวน้อย
"เกิดห่างกันไม่กี่นาทีจะเรียกพี่ทำไม อีกอย่างทำแบบนี้จะได้คอยกันสาวๆพวกนั้นไม่ให้เข้าใกล้เจี๋ยหลุนไงล่ะ เห็นแล้วรำคาญลูกกะตาชะมัด" โจวเจ้าเว่ยเดินเข้าไปเกาะแขนพี่ชายอย่างออดอ้อน เธอยีผมยาวของพี่ชายแล้วช่วยเซตให้เข้าที่
"พอแล้ว"
โจวเจี๋ยหลุนปัดมือน้องสาวออก เขาไม่ชอบให้ใครแตะต้องตัว แต่ก็ยอมปล่อยให้โจวเจ้าเว่ยที่ดูเหมือนจะเป็นเจ้าของร่างกายเขาอีกคนแตะต้องเขาได้โดยง่าย
"ที่นี่คือที่ไหนเหรอ ไม่คุ้นตาเลย" โจวเจ้าเว่ยมองไปรอบ ๆ บริเวณ แถวนี้ดูไม่คุ้นตา
"นั่นสิ ปกติเราไม่โผล่ที่วัง ก็ต้องไปโผล่ที่จวนนี่นา"
โจวเจี๋ยหลุนจับมือน้องสาวแน่น มองรอบข้างอย่างระวัง เมื่อมองไปโดยรอบเขาก็รู้สึกคุ้นเคยที่แห่งนี้ เขาลากน้องสาวให้เดินตาม แล้วจับข้อมือของเธอพากระโดดขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
เมื่อมาอยู่บนที่โจวสูงเจี๋ยหลุนมองเห็นรอบบริเวณได้ชัดเจนขึ้น โจวเจี๋ยหลุนเอากล้องส่องทางไกลออกมาจากกระเป๋าแล้วบอกน้องสาวเบา ๆ
“เราอยู่ใกล้กับสำนักคุณหลุน นี่ก็ใกล้มืดแล้วเราคืนนี้เราต้องไปค้างที่นั่น เว่ยเว่ยต้องปลอมกายหน่อย สำนักคุณหลุนมีกฎห้ามสตรีเข้าไปภายใน”
“อ้อโรงเรียนของตัวเองน่ะเหรอ แค่แต่งตัวเป็นผู้ชายก็เข้าไปได้แล้วเหรอ มันจะไม่ง่ายไปหน่อยเหรอ” โจวเจ้าเว่ยส่ายหน้าทำท่าครุ่นคิด
“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นพี่จะใช้วิชาพรางกายไม่ให้ใครรู้ว่าน้องเป็นผู้หญิง ทุกคนจะเห็นน้องเป็นเพียงเด็กผู้ชายคนหนึ่ง แถวนี้มีสัตว์เวทย์ที่สำนักร่ายไว้เพื่อป้องกันอันตรายจากพวกปีศาจในตอนกลางคืน แต่สัตว์เวทย์นี้ดุร้ายแม้แต่คนแปลกหน้าที่ไม่ใช่ศิษย์สำนักก็ไม่แน่ว่าพวกมันอาจทำร้าย ดังนั้นคืนนี้เราจะอยู่นอกสำนักไม่ได้ พรุ่งนี้ค่อยพี่จะขอยืมม้าเร็วจากอาจารย์เพื่อเดินทางกลับ”
“ปีศาจเหรอ”
“ใช่น้องอาจไม่รู้หลายปีมานี้มีสำนักมารเกิดขึ้นมากมาย จึงมีพวกเรียนวิชานอกรีตที่ต้องการครองใต้หล้าพยายามสร้างกองทัพภูติผีบ้างสำเร็จ บ้างปล่อยออกมาเร่ร่อนดังนั้นอยู่นอกวังและหมู่บ้านย่อมไม่ปลอดภัย”
“ทำไมเค้าไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้”
“ในวังและในหมู่บ้านล้วนถูกปกป้องด้วยอาคมเวทย์ขับไล่ปีศาจเว่ยเว่ยเลยไม่เคยพบยังไงล่ะ แต่ออกห่างหมู่บ้านเพียงห้าสิบลี้พลังเวทย์ไม่อาจคุ้มครองดังนั้นจึงมีปีศาจปะปนอยู่ไปทั่ว”
“น่ากลัวจัง”
“เช่นนั้นเราต้องรีบแล้ว”
กล่าวจบโจวเจี๋ยหลุนก็ดึงร่างน้องสาวกระโดดลงจากต้นไม้ ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแบบบุรุษที่อยู่ในกระเป๋าเป้ที่พกติดตัวเป็นประจำออกมา เขายิ้มแล้วส่งเสื้อผ้าให้น้องสาว
สำนักคุณหลุนนับเป็นสำนักสำหรับร่ำเรียนวิชาปราบภูตผีและฝึกวิทยายุทธอันดับหนึ่งในยุทธภพ อีกทั้งยังสอนหลักธรรมเกี่ยวกับการปกครอง การวางแผนกลยุทธ์ และการครองตนให้ทรงคุณธรรมอันเลื่องชื่อ
ในเดือนอีเย่ว์หรือเดือนมกราคมจะมีการคัดเลือกเด็กชายอายุไม่เกินแปดขวบไม่สนฐานะว่าคนผู้นั้นจะร่ำรวยหรือยากจน ขอเพียงแต่มีความสามารถสอบผ่านได้ข้อสอบของสำนักที่มีทั้งด้านบุ๋นและบู๊ได้ก็ไม่ต้องจ่ายค่าเล่าเรียนแม้แต่อีแปะ
แต่กระนั้นทุกคนที่จบจากสำนักล้วนกลับมาตอบแทนให้ในจำนวนเงินมหาศาล เนื่องจากค่าตอบแทนที่เหล่าศิษย์มอบให้มีจำนวนมหาศาลและสำนักคุณหลุนหาได้ใช้เงินทองฟุ่มเฟือยแต่ประการใด บัดนี้จึงกลายเป็นสำนักที่ร่ำรวยที่สุดก็ว่าได้
ผู้สำเร็จจากสำนักนี้ล้วนเป็นคนเก่งในยุทธภพจิตใจมีคุณธรรมและสง่างามแม้จะเคยยากจนเพียงใดหากเข้ามาเรียนที่สำนักคุณหลุนแล้วล่ะก็ล้วนสามารถสร้างฐานะได้อย่างรวดเร็วเพราะความสามารถของศิษย์สำนักคุณหลุนนั้นได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในใต้หล้าหาสำนักใดเทียบเท่า
นั่นเป็นเพราะว่าสำนักคุณหลุนเป็นสำนักที่สืบทอดมาจากอาจารย์ผู้ก่อตั้งคือเซียนเจี่ยนจือผู้ได้รับหน้าที่ลงมาปราบมารจากสรวงสวรรค์แม้ว่าบัดนี้เขาได้ปล่อยสำนักให้คนรุ่นหลังดูแลสืบทอดส่วนตนเองนั้นกลับสู่สรวงสวรรค์ด้วยหมดหน้าที่แล้วก็มีลูกศิษย์ที่เขาตั้งให้เป็นเจ้าสำนักผู้เก่งกาจและทรงคุณธรรมดูแลสืบต่อกันมาหลายร้อยปี
ด้วยเพราะเป็นสำนักเซียนที่สืบทอดมาจากเซียนสายตรง สำนักแห่งนี้จึงมีกฎเข้มงวดเป็นพันข้อและเหมือนจะเพิ่มขึ้นทุกปี อาจารย์ที่สอนในสำนักล้วนเป็นศิษย์เก่าผู้มีชื่อเสียงเรื่องความเข้มงวดและความเก่งกาจ แม้แต่โจวเจ๋อฮั่นผู้ได้รับการจารึกชื่อในยุทธภพว่าเก่งกาจที่สุดในใต้หล้าซึ่งเป็นบิดาของคู่แฝดโจวเจี๋ยหลุนและโจวเจ้าเว่ยก็เคยเรียนที่นี่เมื่อครั้นเยาว์วัย
ถึงจะกล่าวว่าสำนักคุณหลุนไม่สนฐานะรับศิษย์ทุกคนไม่ว่าจะยากดีมีจนขนาดไหน แต่ในความเป็นจริงแล้วคนมีความสามารถที่ผ่านการคัดเลือกก็ล้วนแต่เป็นลูกเศรษฐีหรือไม่ก็เหล่าเชื้อพระวงศ์ บุตรของเสนาอำมาตย์ที่ผ่านการฝึกฝนในทุกๆด้านมาตั้งแต่เด็กจนเชี่ยวชาญเกินปัญญาที่เด็กชาวบ้านทั่วไปจะเข้ามาร่ำเรียนได้
โจวเจี๋ยหลุนก็เป็นหนึ่งในศิษย์เอกของสำนักแห่งนี้ เรื่องที่เขาต้องเดินทางไปมาระหว่างสองโลกเจ้าสำนักผู้เป็นอาจารย์ใหญ่ทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดี โจวเจี๋ยหลุนร่ำเรียนในสำนักครบแปดปีก็สำเร็จทุกวิชาทั้งที่คนปกติใช้เวลาถึงสิบปีกว่าปี บางคนเรียนตลอดชีวิตจนแก่เฒ่าจนต้องถูกขับออกจากสำนักก็มีเยอะ
พวกเขาเหล่านั้นตอนอยู่ในสำนักนับเป็นประเภทที่สอบตกซ้ำชั้นแต่พอออกนอกสำนักก็ถือว่าเป็นผู้เก่งกาจฝีมือดีผู้หนึ่ง จึงมีหลายคนทะนงตนไปตั้งสำนักของตนเองรับศิษย์เข้ามาฝึกเพื่อแสวงหาเงินทอง
แม้จะไม่จบจากสำนักแถมยังมีพวกที่ถูกขับไล่เพราะทำผิดกฎจนยากเยียวยา แต่ด้วยความที่สำนักคุณหลุนไม่ได้ใส่ใจเรื่องภายนอกจึงไม่มีผู้ใดติดตามศิษย์นอกคอกเหล่านี้จึงเป็นช่องว่างให้พวกเขายังใช้ชื่อสำนักคุณหลุนรับศิษย์ของตนเอง และกอบโกยเงินทองจากผู้หลงเชื่อมากมาย
ผู้คนที่ยอมทุ่มเงินเพื่อเข้าสำนักปลอมเหล่านั้นล้วนมีทั้งพ่อค้าขุนนางที่ร่ำรวยเมื่อบุตรของตนเองไม่สามารถสอบเข้าสำนักคุณหลุนได้แต่ยังมีจิตใจที่จะให้บุตรของตนได้ร่ำเรียนแม้จะเป็นเพียงเรียนจากศิษย์ของสำนักก็ดีจึงทำให้ยอมเสียเงินทองให้บุตรของตนเองเข้าเรียนอย่างไม่มีข้อแม้
ดังนั้นภายนอกจึงมีสำนักที่เป็นศิษย์ของศิษย์ของศิษย์อีกที่เกิดขึ้นมากมาย ขอเพียงรู้เคล็ดวิชาเล็กน้อยก็หลอกเงินเศรษฐีหน้าโง่ได้โดยไม่มีใครมากำหราบ
สองพี่น้องเดินทางไม่นานก็มาหยุดที่สำนักคุณหลุน โจวเจี๋ยหลุน แจ้งแก่คนเฝ้าประตูว่าเขาจะขอพักแรมที่นี่สักคืน แม้ว่าเขาจะออกจากสำนักมาหลายปีแล้วแต่ศิษย์น้องผู้ทำหน้าที่เฝ้าประตูก็ยังจดจำศิษย์พี่โจวเจี๋ยหลุนผู้เป็นศิษย์เอกของสำนักผู้นี้ได้ เขาและโจวเจ้าเว่ยจึงได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี
“เชิญศิษย์พี่และคุณชายขอรับ”
คนเฝ้าประตูในอาภรณ์สีขาวลายกิเลนเหินที่ถูกปักไว้อย่างประณีตอันเป็นสัญลักษณ์ของสำนักคุณหลุนค้อมศีรษะให้อย่างนอบน้อม
“ขอบใจเจ้ามาก” โจวเจี๋ยหลุนพยักหน้าแล้วหันมาเอ่ยกับโจวเจ้าเว่ย
“เข้าไปข้างในกัน”
โจวเจ้าเว่ยยิ้มรับ กระโดดเกาะแขนโจวเจี๋ยหลุนแล้วเดินตามเขาแจ ก่อนจะหันหลังมายิ้มให้ศิษย์น้องของพี่ชายเป็นการขอบคุณ ระหว่างทางมาที่นี่โจวเจี๋ยหลุนกำชับเธอนักหนาว่าห้ามซุกซนเนื่องจากสำนักมีกฎมากมาย โจวเจ้าเว่ยจึงต้องระวังให้มาก
พลันบุรุษผู้นั้นก็เผลอจับจ้องใบหน้างดงามจิ้มลิ้มเหมือนสตรีของน้องชายศิษย์พี่โจวอย่างชื่นชม ริมฝีปากแดงเรื่อ ผิวพรรณเกลี้ยงเกลาดุจหยกเนื้อดี ดวงตากระจ่างใสดุจดารา รูปร่างบอบบาง เพราะที่นี่เป็นสำนักชายล้วนเขาจึงเคยเห็นบุรุษที่อ้อนแอ้นเช่นนี้มามากแต่ไม่มีผู้ใดที่ดูงดงามยิ่งกว่าสตรีเหมือนบุรุษผู้นี้ สายตาของเขาจับจ้องที่เรือนร่างอรชรของโจวเจ้าเว่ยจนลับตา
“ช่างเป็นวาสนาของเราที่ได้พบศิษย์พี่ซึ่งถือเป็นกิเลนคู่สำนักอันเลื่องชื่อ วันนี้ยังได้พบคุณชายผู้งดงามที่สุดอีกคน” บุรุษอีกคนที่อยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้น
สองบุรุษผู้เฝ้าสำนักเก็บความปลื้มปิติและชื่นชมไว้ภายในใจ ตั้งใจยืนหลังตรงผึ่งผายปฏิบัติหน้าที่เฝ้าประตูที่ได้รับมอบหมายด้วยความตั้งใจต่อไป
“เจี๋ยหลุนตอนตัวอยู่ที่นี่นอนตรงไหนเหรอ เค้าอยากไปดูบ้านพักของตัว”
“หอนอนพักรวมกับศิษย์คนอื่น” โจวเจี๋ยหลุนตอบเบา ๆ
“อ้อเหมือนโรงเรียนประจำสินะ แล้วเค้าเข้าไปดูได้มั๊ย” โจวเจ้าเว่ยเอ่ยเสียงเบาเช่นกัน
“ไม่ได้”
“ทำไมล่ะ”
“มีศิษย์น้องที่เข้ามาภายหลังใช้ไปแล้ว”
“ว๊าเสียดายจัง” โจวเจ้าเว่ยทำหน้ามุ่ยอุตส่าห์เข้ามาภายในได้แท้ๆ กลับไม่ได้เห็นหอนอนของพี่ชาย
“อย่าได้ส่งเสียงดังไป พูดจาต้องระมัดระวังเพราะอาจมีคนกำลังฝึกจิตบำเพ็ญเพียรเราอาจไปล่วงเกินเขาได้”
โจวเจี๋ยหลุนยกมือปิดปากน้องสาวแล้วเอ่ยเสียงเบา เขาย้ำกับเธอเป็นร้อยรอบว่าห้ามส่งเสียงดังก่อนหน้าก็เหมือนจะเข้าใจดี แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่จดจำใส่ใจเอาเสียเลย
“แล้วกฎสำนักนี่ตัวจำได้หมดทุกข้อหรือเปล่า” คราวนี้เธอกระซิบเสียงเบา
“กฎของสำนักไม่ต้องท่องแต่เป็นการฝึกตนให้เป็นนิสัยจนจำได้ขึ้นใจ” เขากล่าวเรียบๆ
“มิน่าล่ะ ตัวถึงได้กลายเป็นคนประหลาดแบบนี้”
“สถานที่ทุกที่หากต้องการให้อยู่ในความสงบเรียบร้อยทุกคนย่อมต้องรักษากฎที่นี่ก็เช่นกัน” โจวเจี๋ยหลุ่นเอ่ยเสียงเบา เขายังคงกิริยาดั่งเช่นสุภาพชนไว้ทุกกระเบียดนิ้วแม้จะพูดกับน้องสาวก็ตามที
โจวเจ้าเว่ยเบ้ปากแล้วพูดเสียงเบาไม่ต่างกัน
“น่าเบื่อชะมัด ภายในตกแต่งเรียบง่ายเหมือนวัดเลยไม่มีอะไรน่าตื่นตาตื่นใจแม้แต่น้อย”
“ที่นี่เป็นโรงเรียนไม่ใช่โรงแรมหรือสวนสนุกเว่ยเว่ยจะมาคาดหวังอะไรล่ะ”
“นั่นสิ เค้ายังคิดว่าตัวเรียนจบแล้วจะทิ้งทางโลกไปปฏิบัติธรรมเสียอีก” หญิงสาวกล่าวค่อนแคะพี่ชาย
เขาได้แต่ยิ้มบางแล้วส่ายหน้า ก่อนก้าวเท้าอย่างสุขุมเดินตรงอย่างคุ้นเคยเข้าไปภายใน
โจวเจ้าเว่ยมองแผ่นหลังองอาจของพี่ชายแล้วครุ่นคิด ปกติพี่ชายเธอก็เงียบขรึมอยู่แล้วยิ่งมาเรียนที่สำนักคุณหลุนที่เคร่งเรื่องกฎเกณฑ์จึงทำให้เขากลายเป็นคนกว่าจะเอ่ยวาจาใดออกมาได้ก็ยากยิ่งนัก เขาเป็นพวกใช้สมองมากกว่าใช้ปาก ผิดกับเธอที่ชอบใช้ปากพูดไม่ทันคิด นิสัยทั้งคู่แตกต่างจนดูไม่ออกเลยว่าเป็นฝาแฝดที่เกิดห่างกันเพียงไม่กี่วินาที
“และกฎข้อห้ามสำคัญของที่นี่คือห้ามให้ผู้หญิงเข้ามา พี่พาเว่ยเว่ยเข้ามาครั้งนี้ถือว่าทำผิดกฎสำนัก หากยังเรียนอยู่ที่นี่ต้องถูกทำโทษสถานหนักดังนั้นทำตัวดีๆ อย่าวุ่นวาย” โจวเจี๋ยหลุนเอ่ยปากเตือนน้องสาวเสียงเบา
“ทำโทษยังไงเหรอเจี๋ยหลุน” หญิงสาวกระซิบถามเสียงเบาเช่นกัน
“นั่งคัดกฎทุกข้อหนึ่งพันรอบและคุกเข่าต่อหน้าแท่งศิลาสามวันโบยหนึ่งร้อยไม้” โจวเจี๋ยหลุนกล่าวราบเรียบ
“โหดร้ายตั้งพันรอบเมื่อไหร่จะเสร็จมีเยอะขนาดนั้น ยังมีโทษโบยอีกเป็นเค้าคงตายตั้งแต่ไม้แรกแล้ว” แค่คิดโจวเจ้าเว่ยก็น้ำตาคลอ แค่พาผู้หญิงเข้ามาถึงขนาดต้องโบยกันเลยเหรอ
“เพราะแบบนี้ถึงไม่เคยมีผู้ใดผิดกฎมาก่อนเลยยังไงล่ะ”
“แล้วคราวนี้ตัวจะโดนโบยหรือไม่”
“ไม่หรอก ขอเพียงน้องอยู่อย่างสงบไม่ก่อเรื่องก็ไม่มีเรื่องอันใดให้กังวล” เขาตอบอย่างมั่นใจ
“เราจะไปไหนกันอ่ะ” หญิงสาวถามต่อมองทางแยกสี่ทางด้านหน้าอย่างงงงวย
“ไปคารวะอาจารย์ที่อาศรม”
“อาจารย์ของตัวเป็นพระหรือ”
“ไม่ใช่พระ แต่ปลีกวิเวกเรือนของอาจารย์คืออาศรมไร้เสียง ดังนั้นพี่ขอร้องว่าน้องห้ามวุ่นวายและปิดปากให้เงียบ”
“อือ” โจวเจ้าเว่ยพยักหน้าอย่างเข้าใจ เหตุใดถึงดูวุ่นวายขนาดนี้ เข้ามาในนี้ไม่ถึงสิบนาทีเธอก็อึดอัดจนแทบจะบ้าตายอยู่แล้ว
โจวเจ้าเว่ยจึงได้ปิดปากเงียบเชียบ เดินตามก้นพี่ชายด้วยความระมัดระวัง แม้ว่าโจวเจี๋ยหลุนจะออกจากสำนักมาหลายปีแล้วแต่เขาก็ยังคงเป็นที่จดจำในฐานะศิษย์ดีเด่นอันดับหนึ่งในของสำนัก ดังนั้นทุกย่างก้าวของเขาที่เดินผ่านศิษย์น้องแม้จะไม่เคยพบหน้าเขาก็ได้รับการคารวะอย่างนอบน้อม
นั่นเป็นเพราะทันทีที่เขามาถึงคนเฝ้าประตูก็กระจายข่าวให้ศิษย์น้องทราบจนทุกคนล้วนอยากมาพบตัวจริงของศิษย์พี่คนดังแห่งคุณหลุน ความฮอตของพี่ชายทำให้โจวเจ้าเว่ยรู้สึกน้ำตาไหลพราก แม้แต่ในโรงเรียนชายล้วนอย่างสำนักคุณหลุนโจวเจี๋ยหลุนก็ยังโดดเด่นกว่าผู้ใด
พี่ชายของเธอรูปโฉมงดงาม ผิวพรรณขาวผ่อง เดินตรงสง่างาม ใบหน้าเรียบเฉย ผิดกับเธอที่เดินก้มหน้า มือจับชายผ้าของโจวเจี๋ยหลุน สายตาหวาดระแวง หวาดกลัวว่าจะโดนจับได้ แค่ท่าเดินและความมั่นใจก็ต่างกันราวฟ้ากับเหวแล้ว
แม้จะได้รับการคารวะและการชื่นชมอย่างออกหน้าออกตาของศิษย์น้องโจวเจี๋ยหลุนก็ยังตีหน้าขรึมเหมือนคนเพิ่งกินยาขมมา
โจวเจี๋ยหลุนเพียงแต่พยักหน้าเล็กน้อยให้บรรดาศิษย์น้องเท่านั้น ท่าทางองอาจเคร่งขรึมดูสง่างามของเขาทำให้ทุกคนส่งเสียงชื่นชมแผ่วเบาซึ่งเบามากจนแทบไม่ได้ยินแตกต่างจากกิริยาตื่นเต้นจนออกนอกหน้าของบรรดาศิษย์น้อง โจวเจ้าเว่ยอดชื่นชมพวกเขาไม่ได้แม้แต่จะยินดีที่ได้พบศิษย์พี่คนดัง ทุกคนยังอยู่ในความสงบและรักษามารยาทแห่งความเงียบงันได้เป็นอย่างดี
ตลอดสองข้างทางที่สองพี่น้องเดินต่างมีขบวนต้อนรับของศิษย์น้องในชุดขาวซึ่งเป็นเครื่องแบบของสำนักนับได้เป็นร้อยยืนเรียงรายราวกับกำลังต้อนรับคนสำคัญของโลกเสียอย่างนั้น โจวเจ้าเว่ยแม้จะตื่นเต้นแต่เธอก็ได้แต่ก้มหน้าลงเดินตามพี่ชายอย่างเงียบเชียบไม่อยากให้ใครจับพิรุธได้
โจวเจี๋ยหลุนนำโจวเจ้าเว่ยเข้ามาจนถึงเรือนต้อนรับเพื่อผ่านเข้าไปพบอาจารย์ที่อาศรมไร้เสียง แต่ถูกศิษย์น้องมาขวางทางไว้เสียก่อน
“อาจารย์รอศิษย์พี่อยู่ด้านในเรือนต้อนรับขอรับ เชิญศิษย์พี่”
โจวเจี๋ยหลุนเลิกคิ้วฉงน ทุกปีในเวลานี้อาจารย์จะบำเพ็ญตนโดยไม่ย่างก้าวออกมาจากอาศรมเลย เหตุใดจึงมารอเขาที่เรือนต้อนรับแห่งนี้ เขาพยักหน้าแล้วดึงแขนโจวเจ้าเว่ยเบาๆ หญิงสาวพยักหน้าแล้วก้าวตามพี่ชายมาติดๆ
เมื่อเข้ามาด้านในโจวเจ้าเว่ยแอบมองโดยรอบอย่างระวัง สถานที่แห่งนี้ ให้ความรู้สึกเหมือนวัดป่าที่ตั้งอยู่กลางภูเขามากกว่าจะเป็นสำนักฝึกยุทธอันดับหนึ่งของใต้หล้า เครื่องประดับเรือนไม่มีอะไรเลยสักอย่าง หญิงสาวเห็นเพียงเก้าอี้ประธานตั้งอยู่ตรงกลางและเก้าอี้สำหรับแขกตั้งเรียงไม่กี่ตัวอยู่ด้านล่าง สมกับที่ได้รับฉายาว่าสำนักคุณหลุนที่สงบสง่างามและเรียบง่ายโดยแท้จริง
เธอพบบุรุษผู้หนึ่งแม้จากการคาดเดาน่าจะมีอายุราวหกสิบกว่าๆ ใบหน้าเคร่งขรึมนั่งอยู่ตรงตำแหน่งประธานดูจากรัศมีรอบกายคงไม่มีผู้ใดกล้าตอแย รอบข้างตัวเขาที่เงียบเชียบอยู่แล้วกลับยิ่งดูวังเวงนิ่งสงบราวกับอยู่ในป่าช้า
บุรุษผู้นั้นสวมชุดขาวสง่างามปักลายกิเลนเหินลายปักตรงไหล่ขวา ดูแตกต่างจากอาภรณ์ของศิษย์คนอื่นที่โจวเจ้าเว่ยพบมาก่อนหน้า
ผู้อาวุโสสวมเสื้อคลุมตัวโปร่งสีขาวปักดิ้นทองกิเลน อีกทั้งบนศีรษะมีปิ่นกิเลนอันใหญ่ปักมวยผมแทนปิ่นหยกธรรมดา คนผู้นี้ดูสูงส่งดุจเทพเซียนมีอำนาจบารมีจนเพียงแค่สัมผัสก็ต้องเกรงกลัว โจวเจ้าเว่ยก้มหน้านึกกลัวความเข้มงวดของเขาจนรู้สึกอึดอัดไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ
“คารวะอาจารย์”
โจวเจี๋ยหลุนประสานมือทำความเคารพอย่างนอบน้อม เจ้าสำนักคุณหลุนนามว่าหลุนหว่างซีรีบลุกขึ้น ใบหน้าเคร่งขรึมอ่อนแสงลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อได้พบศิษย์รักของเขาอีกครั้ง
“เจ้าจากอาจารย์ไปหลายปีบัดนี้กลับมาเยี่ยมบ้านไม่ว่าด้วยเหตุผลอันใดอาจารย์ดีใจนัก” ผู้อาวุโสปรายตามองโจวเจ้าเว่ยแล้วยิ้มอย่างรู้ทันแล้วเอ่ยขึ้นว่า “คนผู้นี้คือ”
“เรียนเจ้าสำนัก ข้าน้อยเป็นน้องเอ่อ..น้องชายของท่านพี่เจี๋ยหลุนขอรับ” โจวเจ้าเว่ยทำความเคารพกดน้ำเสียงให้ต่ำลง
“ขออภัยท่านอาจารย์ ศิษย์ฝ่าฝืนกฎสำนักแต่ด้วยความจำเป็นไม่อาจทิ้งนางไว้ด้านนอกได้”
ผู้เป็นพี่รีบเอ่ยขึ้น อาคมพรางตนเป็นอาคมที่เจ้าสำนักเชี่ยวชาญที่สุดและเป็นผู้สอนเขามาเองเหตุใดเขาจะดูไม่ออกว่าโจวเจ้าเว่ยกำลังถูกบดบังตัวตนด้วยอาคมนี้อยู่
“เรื่องไม่ควรเอ่ยเจ้าไม่จำเป็นต้องพูดออกมา เราศิษย์อาจารย์ไม่ได้พบหน้ามาหลายปี มีเรื่องสนทนาอีกมาก เจ้ามาครานี้จะพำนักอยู่นานแค่ไหน”
หลุนหว่างซีเอ่ยเนิบๆ คล้ายจะบอกแก่โจวเจี๋ยหลุนว่าเขาจะแสร้งทำเป็นไม่รับรู้เสีย ส่วนเจ้าก็อย่าได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ออกมาอีก
โจวเจี๋ยหลุนเข้าใจในทันที จึงไม่เอ่ยถึงน้องสาวอีก เพียงตอบคำถามที่อาจารย์ถามเท่านั้น
“เพียงราตรีเดียวขอรับ ศิษย์มีหลายเรื่องต้องรีบจัดการ”
โจวเจ้าเว่ยมองพี่ชายกับอาจารย์ของเขาตาโต แม้แต่ท่านเจ้าสำนักผู้เคร่งครัดก็ยังยอมละเว้นให้พี่ชาย เขานี่ถือเป็นยอดคนเสียจริง แต่ก็เป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือที่พี่เธอมีอิทธิพลต่อผู้อื่นถึงเพียงนี้
“เจ้ามาก็ดีแล้วศิษย์พี่ของเจ้าเดินทางมาถึงเมื่อวานด้วยเรื่องธุระสำคัญ เห็นทีว่าศิษย์อาจารย์ที่ไม่ได้เจอกันนานอย่างเรามีเรื่องสนทนากันอีกเยอะ มาครานี้ได้พบกันราวปาฏิหาริย์ กี่ปีแล้วนะที่พวกเจ้าจากอาจารย์ไปและไม่ได้กลับมาอีกเลย” หลุนหวางซีตบไหล่โจวเจี๋ยหลุนเบาๆ
“ศิษย์อกตัญญูแต่เพราะความจำเป็นจึงหาโอกาสมาคารวะไม่ได้ ตั้งแต่จากกันครั้งสุดท้ายก็เป็นเวลาสามปีย่างสี่ปีแล้วขอรับ”
“ท่านพ่อของเจ้าคงสบายดีใช่หรือไม่”
เจ้าสำนักคุณหลุนความจริงเป็นสหายเก่าของโจวเจ๋อฮั่นบิดาของโจวเจี๋ยหลุนและโจวเจ้าเว่ยผู้ที่เคยศึกษาอยู่ที่สำนักคุณหลุนเมื่อครั้งยังเยาว์เช่นกัน
“ขอรับ หลายครายังบ่นคิดถึงสำนักคุณหลุนและอาจารย์ให้ศิษย์ฟัง”
“หากเจ้ากลับไปนำความห่วงใยของอาจารย์ไปถึงพ่อของเจ้าด้วย การมาครานี้นับเป็นเรื่องดี อาจารย์ให้คนจัดเตรียมห้องพักให้เจ้าและน้องของเจ้าแล้ว ตามเขาไปพักผ่อนแล้วค่อยมาสนทนากับอาจารย์ มาครานี้ช่างเป็นเหตุบังเอิญที่ดียิ่งเจ้าพบศิษย์พี่หรงของเจ้าเสียหน่อยเขาคงดีใจเป็นอย่างมาก พวกเจ้าศิษย์พี่ศิษย์น้องไม่ได้พบกันนานแล้วไม่ใช่หรือ”
“ศิษย์พี่อยู่ที่นี่หรือขอรับ” โจวเจี๋ยหลุนดูเหมือนจะดีใจมากเช่นกัน ใบหน้าราบเรียบของเขาเปล่งประกายถึงความดีใจและตื่นเต้น โจวเจ้าเว่ยนึกสงสัยว่าคนผู้นั้นเป็นผู้ใดถึงได้ทำให้พี่ชายของเธอดีใจถึงเพียงนี้
“ใช่เขาเพิ่งกลับเรือนพำนักไปหากได้พบเจ้าคงดีใจเช่นกัน ดังนั้นเจ้าจงไปเก็บสัมภาระและดูแลน้องของเจ้าให้เรียบร้อย อีกครึ่งชั่วยามให้ไปพบอาจารย์ที่อาศรมกับศิษย์พี่ของเจ้า”
“เช่นนั้นศิษย์ขอตัวก่อนก่อนขอรับ” โจวเจี๋ยหลุนยกมือประสานกัน โจวเจ้าเว่ยทำตามผู้เป็นพี่เดินตามเขาออกมาจากห้องอย่างสำรวม
บทที่ 1 No.1
19/06/2024
บทที่ 2 No.2
19/06/2024
บทที่ 3 No.3
19/06/2024
บทที่ 4 No.4
19/06/2024
บทที่ 5 No.5
19/06/2024
บทที่ 6 No.6
19/06/2024
บทที่ 7 No.7
19/06/2024
บทที่ 8 No.8
19/06/2024
บทที่ 9 No.9
19/06/2024
บทที่ 10 No.10
19/06/2024
บทที่ 11 No.11
19/06/2024
บทที่ 12 No.12
19/06/2024
บทที่ 13 No.13
19/06/2024
บทที่ 14 No.14
19/06/2024
บทที่ 15 No.15
19/06/2024
บทที่ 16 No.16
19/06/2024
บทที่ 17 No.17
19/06/2024
บทที่ 18 No.18
19/06/2024
บทที่ 19 No.19
19/06/2024
บทที่ 20 No.20
19/06/2024
บทที่ 21 No.21
19/06/2024
บทที่ 22 No.22
19/06/2024
บทที่ 23 No.23
19/06/2024
บทที่ 24 No.24
19/06/2024
บทที่ 25 No.25
19/06/2024
บทที่ 26 No.26
19/06/2024
บทที่ 27 No.27
19/06/2024
บทที่ 28 No.28
19/06/2024
บทที่ 29 No.29
19/06/2024
บทที่ 30 No.30
19/06/2024
บทที่ 31 No.31
19/06/2024
บทที่ 32 No.32
19/06/2024
บทที่ 33 No.33
19/06/2024
บทที่ 34 No.34
19/06/2024
บทที่ 35 No.35
19/06/2024
บทที่ 36 No.36
19/06/2024
บทที่ 37 No.37
19/06/2024
บทที่ 38 No.38
19/06/2024
บทที่ 39 No.39
19/06/2024
บทที่ 40 No.40
19/06/2024
หนังสืออื่นๆ ของ ซีไซต์
ข้อมูลเพิ่มเติม