อ๋องตู้สะเทือนจวน

อ๋องตู้สะเทือนจวน

ณิการ์

5.0
ความคิดเห็น
3.2K
ชม
13
บท

"ท่านอ๋องตู้" ผู้เย็นชา จะพ่ายแพ้ให้กับสายน้อย "ชู่เอ๋อ" อย่างไรมาลุ้นกันนะคะ ว่าการแต่งงานทางการเมืองอำนาจของทัั้งคู่จะเปลี่ยนเป็นรักที่ตัดไม่ขาดได้รึไม่.... ----- “ท่านจะทำอะไรข้า?” ชู่เอ๋อเพิ่งหาน้ำเสียงตัวเองเจอ ส่วนตู้เหลียงเฉิงก็ผละมือที่จับคางมนออกแล้วเดินไปเก็บดาบกายในมือไว้ที่เก็บดาบข้างเตียงแล้วเดินกลับมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม นางช่างไร้เดียงสาตามที่อาจารย์ได้บอกไว้จริงๆ “อยากรู้เหรอว่าข้าจะทำอะไรเจ้าชายาของข้า” “ขะ...ข้าไม่อยากรู้แล้ว” นางขยับตัวถอยหนีทันทีเมื่อคนตรงหน้าได้เปลี่ยนมานั่งเบียดบนเตียง หึหึ “แต่ข้าอยากให้เจ้ารู้ชู่เอ๋อ ข้าอยากแสดงให้เจ้าดูว่าหน้าที่แท้จริงของชายานั้นต้องทำเยี่ยงไร” เขาเอ่ยพลางมือใหญ่ปลดเปลื้องอาภรณ์ของตัวเองออกช้าๆ “หม่อมฉันไม่อยากรู้แล้วท่านอ๋องตู้ หม่อมฉันง่วง อ่า...” นางพูดพร้อมยกมือปิดปากหาว เพราะรู้ถึงความหมายของคำพูดของตู้เหลียงเฉิง แม้นางจะซุกซน แต่ใช่ว่านางจะไม่รู้ว่าชายหญิงยามอยู่ด้วยกันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง “แต่เรายังไม่ง่วงชู่เอ๋อ คืนนี้คือคืนของเรา ยังไงเสียเจ้าก็ต้องปรนนิบัติข้าในฐานะเมีย!” ท้ายประโยคตู้เหลียงเฉิงเอ่ยเน้นให้นางเข้าใจเป็นพิเศษ “ตะ...แต่หม่อมฉันยังไม่พร้อมท่านอ๋อง เป็นวันอื่นได้ไหมเจ้าคะ?” นางต่อรอง “ช่างเจรจาเหลือเกิน เจ้ารู้ไหมว่าการแต่งเข้าจวนของอ๋องตู้ต้องเจอกับอะไรบ้าง” “ก็เจอกับท่านอ๋องตู้” นางตอบซื่อ “นั่นก็ถูก และรู้อะไรไหมว่ายามกลางคืนเจ้าต้องเจอเพลงดาบของข้าที่ได้ร่ำเรียนสะสมมานานตลอดหลายปี” “ท่านจะฆ่าหม่อมฉัน?” “เปล่าชายาข้า ดาบของข้ามันไม่ได้มีไว้เพื่อฆ่าเจ้าให้สิ้นลม แต่มันมีไว้เพื่อให้ความสุขเจ้าต่างหากเล่าชู่เอ๋อ” เอ่ยจบความอ๋องหนุ่มก็จัดการกับอาภรณ์ของตัวเองเสร็จพอดีพร้อมกับขยับตัวเคลื่อนไหวเข้าหาคนที่ขยับตัวถอยห่างและกักร่างเล็กไว้ไม่ให้หนีรอดพ้นมือตัวเองไปได้ “ทะ...ท่านถอดเสื้อทำไมเจ้าคะ” “ไม่ถอดแล้วจะแสดงวรยุทธ์ให้เจ้าดูได้เช่นไรเล่าชายาข้า และเจ้าเองก็ต้องถอดเหมือนกัน ที่หัวเจ้าคงหนักมากแล้วชู่เอ๋อ” มือใหญ่จัดการปลดเครื่องประดับบนหัวของพระชายาออกพร้อมกับก้มต่ำมองลำคอระหงสวยงามแล้วลอบกลืนน้ำลายลงคอไปด้วย กลิ่นกายอ่อนๆ ของสตรีโชยเข้าจมูกจนรู้สึกซาบซ่านท่อนเนื้อมังกรที่อยู่กลางหว่างขา....

บทที่ 1 เพลงดาบราคะจวนอ๋องตู้

ณ จวนอ๋องตู้ เสียงครวญครางดังลอดออกมานอกประตูห้อง ทำให้ทหารเวรยามต่างพากันหันมายิ้มให้กันกรุ้มกริ่มด้วยรู้ดีว่าท่านอ๋องของพวกตนกำลังทำอะไรอยู่ ส่วนด้านในห้องกำลังเคลื่อนไหวโยกกับนางรำที่เพิ่งหิ้วมาจากโรงน้ำชาด้านนอก แม่นางเสี่ยวเล้งคือแม่นางที่เป็นที่โปรดปรานของอ๋องตู้ ยามศึกอ๋องตู้จะโหดเหี้ยม แต่ยามพักศึกจะโหดเหี้ยมยิ่งกว่ายิ่งเวลาอยู่บนเตียง และความโหดเหี้ยมของท่านนี่แหละที่ทำเหล่าสตรีหลงใหลจนอยากปรนนิบัติท่านอ๋องของพวกมัน

“อ่า...อื้ม” เสียงครางของทั้งคู่ที่กำลังประกอบร่างหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันด้วยเพลิงราคะรัญจวนเสน่หา ทั้งสองร้องครางต่ำสลับกันขึ้นลงพร้อมกับที่ร่างน้อยของแม่นางเสี่ยวเล้งขยับโยกไหวแอ่นเด้งเร่าตอบสนองท่านอ๋องของนางที่กำลังสอดเร่ากระแทกเนื้อกายอุ่นร้อนใหญ่โตราวเหล็กกล้าเข้าออกในความเป็นสตรีของนาง

“อ่า...อืม เจ้าช่างอ่อนหวานนักเสี่ยวเล้งของข้า อืม...เจ้าไม่เคยทำให้ข้าต้องผิดหวังเลยเสี่ยวเล้ง อืม...” ปากหนาครวญครางพึมพำพร้อมกับดูดเร่าสองเต้าอวบใหญ่ล้นมือของแม่นางเสี่ยวเล้งคนงามจากหออี้หรู

“อือ...ท่านอ๋องตู้ก็ไม่เคยทำให้เสี่ยวเล้งแห้งเหือดเช่นกันเจ้าค่ะ อ่า...อืม” หล่อนร้องครางบิดเร่ากายตอบสนองคนตัวโตที่คร่อมทับโยกไหวเหนือร่างด้วยชั้นเชิงแห่งเทพ

พั่บ! พั่บ! พั่บ!

จังหวะเร่าร้อนของกายเนื้อเปลือยเปล่าดังกระทบกระทั่งกันทำให้ทหารเวรยามที่หน้าประตูได้แต่อมยิ้มบิดตัวเขินแทนเจ้าของห้อง ถึงจะเป็นแบบนี้เป็นประจำเวลาท่านอ๋องกลับจวนมักจะเรียกแม่นางเสี่ยวเล้งจากหออี้หรูมาให้ความสำราญยามเหนื่อยจากการฝึกซ้อมกองทัพที่ค่ายด่านนอกเมือง

“คุณหนู ท่านแม่ทัพให้มาตามคุณหนูไปพบเจ้าค่ะ” เสียงหลันหลงสาวใช้ประจำตัวคนสนิทที่มาด้วยกันกับนางเอ่ยบอกขณะที่เธอกำลังจะเดินออกนอกประตูของจวน

“ท่านพ่อเหรอหลันหลง”

น้ำเสียงสดใสของคุณหนูชู่เอ๋อ วัย 18 ปี เอ่ยถามสาวใช้คนสนิทตัวเองพร้อมกับยกยิ้มมุมปากส่งให้หลันหลงก่อนจะรีบสาวเท้าเร็วๆ แล้วเปลี่ยนเป็นวิ่งออกทางประตูจวนไปทันที ส่วนหลันหลงก็ได้แต่วิ่งตาม ที่ชู่เอ๋อไม่ไปพบท่านพ่อตามที่สาวใช้มาบอกนั้นเพราะรู้ดีว่าท่านจะพูดคุยเรื่องอะไรกับตน เพราะหลายวันก่อนท่านก็คุยเรื่องจะให้นางออกเรือนไปกับลูกชายของตระกูลหวัง

“คุณหนู! คุณหนู!”

หลันหลงได้แต่ตะโกนร้องเรียกคุณหนูของตนไว้พร้อมสาวเท้าวิ่งตามไปติดๆ พร้อมกับทหารรับใช้ที่เฝ้าประตูหน้าจวนก็วิ่งตามไปด้วยเช่นกัน

“หลันหลงเจ้ากลับไปบอกท่านพ่อเถอะ ข้าไม่ไปพบท่านหรอก ท่านจะบังคับข้าออกเรือน ข้าไม่ยอม” ชู่เอ๋อวิ่งหนีโดยไม่สนใจสิ่งกีดขวางข้างหน้า นางเป็นบุตรสาวคนเดียวของแม่ทัพชู่เว่ย และแม่ของนางก็อายุสั้นจากไปตั้งแต่ที่นางยังแบเบาะหลังจากให้กำเนิดนาง ท่านก็สิ้นใจทันที

“คุณหนูระวัง!”

หลันหลงร้องบอกคุณหนูของตัวเองที่กำลังวิ่งอยู่ตรงหน้า เมื่ออยู่ๆ ก็มีกลุ่มคนชุดดำมากมายวิ่งไล่กันมาทางนี้ ส่วนชู่เอ๋อเมื่อได้ยินดังนั้นจะหลบก็ไม่ทันเสียแล้ว เมื่อชายชุดดำกับกลุ่มคนที่ควบม้าไล่ตามมาได้มาถึงตัวแล้ว แต่จังหวะที่หยุดยกมือปิดหน้าตัวเองนั้น ร่างเปราะบางก็ลอยขึ้นเหนืออากาศแล้วมารู้สึกตัวอีกทีเมื่อก้นกระแทกกับอานม้า

ตุ้บ!

ว้าย!

“จับพวกมันให้ได้ ถ้าไม่ได้ก็ฆ่ามันให้หมด” เสียงเหี้ยมดังขึ้นเหนือหัวของชู่เอ๋อพร้อมกับที่ม้ายังคงถูกควบไปข้างหน้า และอีกมือของเขากำบังเหียน ส่วนอีกมือกอดรัดเอวนางแน่นจนอึดอัด

“อือ...ปล่อยข้านะ ปล่อยข้า!” ชู่เอ๋อเริ่มดิ้นเมื่อรู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังโดนชายแปลกหน้าโอบกอดเอว

“หุบปากเจ้าซะ!”

เสียงเข้มตวาดตอบกลับพร้อมกับเขาหยุดม้าแล้วผลักนางลงจากหลังม้า ก่อนจะควบม้าไล่ตามพวกชายชุดดำไป ส่วนชู่เอ๋อก็ได้แต่เม้มปากแน่น โกรธชิงชังคนที่เพิ่งช่วยตัวเองไม่ให้โดยม้าวิ่งเหยียบตาย

“เจ้าคนชั่ว! เจ้าคนเลว!” นางได้แต่ตะโกนไล่ด่าตามหลังตามม้าอ้วนพีสีน้ำตาลที่เพิ่งได้นั่งก่อนหน้านี้ไป

“คุณหนู...คุณหนูเป็นอะไรไหมเจ้าคะ” หลันหลงวิ่งมาถึงก็จับตัวคุณหนูหมุนไปมาเพื่อสำรวจทันทีด้วยความเป็นห่วง

“ข้าไม่เป็นอะไรหรอกหลันหลง แต่ข้าโกรธผู้ชายคนนั้น กล้าดียังไงมาตวาดข้า” นางชี้ไปยังม้าที่วิ่งห่างไปไกลมากโข

“แต่ยังไงเขาก็ช่วยคุณหนูไว้นะเจ้าคะ” หลันหลงเอ่ย

“ถ้าเจ้าคนเลวนั่นไม่ควบขี่ม้าเข้ามาในตลาดแล้วข้าจะเจออันตรายไหมหลันหลง เจ้าดูสิ มองไปดูด้านหลังสิ พวกพ่อค้าต่างก็เสียหาย” ชู่เอ๋อเอ่ยอย่างมีอารมณ์

“คุณหนูกลับจวนเถอะขอรับ” ทหารสองนายที่วิ่งตามมาเอ่ยทันทีเมื่อตามมาถึง

“ข้าไม่กลับ!” ชู่เอ๋อตอบกลับอย่างคนดื้อ

“แต่ว่าท่านแม่ทัพรอคุณหนูอยู่นะเจ้าคะ” หลันหลงเอ่ย

“ข้าไม่กลับจนกว่าท่านพ่อจะไม่ไล่ให้ข้าไปออกเรือน ข้ายังไม่อยากออกเรือนได้ยินไหมหลันหลง” นางโต้สวนกลับ

“แต่...”

“ข้าไม่กลับ ถ้าข้ากลับ ท่านพ่อก็จะบังคับให้ข้าออกเรือนกับลูกเหล่าขุนนางพวกนั้น ข้าไม่กลับหลันหลง” พูดจบความทหารทั้งสองก็เข้าประชิดตัวนางทันที

“พวกเจ้า!” นางขืนตัวเองตวาดใส่ทหารทั้งสองด้วยสายตาแข็งกร้าว

“คุณหนูได้โปรดกลับกับเราเถอะขอรับ ท่านแม่ทัพบอกว่าช่วงนี้ห้ามให้คุณหนูออกจากจวน พวกเราจำเป็นต้องทำแบบนี้ขอรับ” หนึ่งในทหารเอ่ยตอบ

“กลับกับพวกเราเถอะคุณหนู หลันหลงรู้ว่าคุณหนูรู้สึกยังไง แต่ว่าการที่คุณหนูหนีมาแบบนี้ พวกเราทุกคนก็โดนท่านแม่ทัพโบยทุกที” หลันหลงเอ่ยขอความเห็นใจ

ชู่เอ๋อคิดตามคำพูดของสาวใช้แล้วก็พยักหน้า ตวัดสายตาสั่งทหารทั้งสองให้ปล่อยตัวเองพร้อมกับเอ่ย

“ก็ได้ ข้าจะกลับกับพวกเจ้า”

พูดจบทหารทั้งสองก็ยอมปล่อยตัวคุณหนูให้เดินกลับจวนเอง หลันหลงและทหารทั้งสองต่างพากันถอนหายใจออกมาพร้อมกันด้วยความโล่งอกโล่งใจ หากกลับไปไม่มีคุณหนู พวกเขาต้องโดนท่านแม่ทัพโบยหลังแน่นอน

ตุ้บ!

สุดท้ายแล้วก็จับผู้ชายชุดดำพวกนั้นไม่ได้สักคน เพราะผู้หญิงคนนั้นคนเดียวที่มาขวางทางวิ่งของม้า อ๋องตู้ หรือตู้เหลียงเฉิง วัย 25 ปี ถึงกับเดือดดาลฟาดทุบโต๊ะอ่านหนังสือตัวเองด้วยความเกรี้ยวกราดทันที และนาทีนั้นฟ่านตงก็เดินเข้ามารายงานความคืบหน้าของพวกคนร้ายที่กล้ามาป่วนในจวนของตนตอนกลางวันแสกๆ

“ว่ายังไงฟ่านตง”

“ทูลท่านอ๋องตู้ คนชุดดำพวกนั้นเราจับมาได้สองคน แต่พวกมันปลิดชีพตัวเองไปแล้วขอรับ”

“เฮอะ! เป็นอย่างที่คิดจริงๆ แล้วที่ตัวพวกมันมีเบาะแสอะไรอีกไหม มีอะไรเป็นร่องรอยของพวกคนชั่วไหม” อ๋องตู้เอ่ยถามฟ่านตงด้วยน้ำเสียงเหี้ยมกระด้าง

“ไม่ขอรับ พวกมันทำงานกันดีมาก ไม่ทิ้งร่องรอยอะไรให้เราแกะเลยขอรับ”

“หึ! ดี! ให้มันได้แบบนี้ ข้าก็อยากรู้นักว่ามันจะเก่งในเงามืดได้อีกนานแค่ไหน พรุ่งนี้ข้าจะไปค่ายทหารด่านนอก” เขาสั่งเสียงเข้ม

“ขอรับท่านอ๋องตู้ ท่านอ๋องเหล่ากงกงมารอท่านอ๋องที่ห้องโถงขอรับ” ฟ่านตงเกือบลืมรายงานไปเลย

“อืม...ข้ารู้แล้ว เดี๋ยวข้าจะออกไปพบเหล่ากงกงตอนนี้แหละ บางทีเสด็จพ่ออาจมีงานให้ข้าทำ ส่วนเจ้าไปพาแม่นางเสี่ยวเล้งให้มารอข้าที่ห้อง” พูดจบตู้เหลียงเฉิงก็เดินออกจากห้องหนังสือตัวเองไปทันที ส่วนฟ่านตงก็เดินตามออกไปเพื่อไปทำงานของตนเองที่ได้รับมอบหมายเช่นกัน

เหล่ากงกงโค้งคำนับท่านอ๋องพร้อมกับเอ่ยถึงงานของตนที่ได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้มาทันที

“ทูลท่านอ๋องตู้”

“ว่ามากงกง เสด็จพ่อมีรับสั่งอะไรถึงให้เจ้ามาหาเราถึงจวนนี่ได้?”

น้ำเสียงทุ้มห้าวเอ่ยถามพร้อมกับนั่งลงยังเก้าอี้และรินน้ำชาขึ้นจิบด้วยท่าทางสบายทั้งๆ ที่ในอกนั้นร้อนรุ่มด้วยไฟโทสะที่โดนศัตรูลอบเข้ามาทำร้ายในจวนก่อนหน้านี้

“ฮ่องเต้ได้รับสั่งให้กระหม่อมมาทูลถามท่านอ๋องตู้เรื่องแต่งตั้งพระชายาพระเจ้าค่ะ” เหล่ากงกงเอ่ยบอกทันที

“ข้าได้ทูลเสด็จพ่อไปแล้วว่าข้ายังไม่อยากแต่งพระชายา แล้วทำไมเสด็จพ่อถึงต้องมาเร่งข้าด้วยเล่า” มือใหญ่กำถ้วยน้ำชาใบเล็กในมือแน่นด้วยความโกรธ แต่ก็ยังคงแสดงสีหน้าเรียบขรึมปกติ

“ข้าจะไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อตอนนี้” ตู้เหลียงเฉิงเอ่ยต่อพร้อมกับลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วเดินเร็วๆ ออกจากห้องโถงไปทันที ส่วนเหล่ากงกงก็ได้แต่กลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอด้วยรู้ถึงอารมณ์ของท่านอ๋องดีว่าเป็นเช่นไร

แม่ทัพชู่เว่ยถูกเรียกเข้าวังหลวงมาพบฮ่องเต้โดยไม่รู้สาเหตุว่าด้วยเรื่องอันใดถึงได้เรียกพบด่วนเช่นนี้ และแถมได้เข้าเฝ้าเป็นการส่วนตัวอีกด้วยยิ่งทำให้แม่ทัพชู่เว่ยมึนงงไม่เข้าใจในความประสงค์ของฝ่าบาทตนเอง

“แม่ทัพชู่เว่ย เห็นทีว่าเรื่องนี้จะมีแต่เจ้าเท่านั้นที่จะช่วยเราได้ เพื่อไม่ให้อ๋องตู้ถูกแย่งชิงตำแหน่ง เราจำเป็นต้องให้ลูกศิษย์ของเจ้าอภิเษกสมรส และพระชายาที่เราได้มองไว้และเหมาะสมเห็นทีจะมีแต่บุตรสาวของเจ้าเท่านั้นแม่ทัพชู่เว่ย เรารู้ว่าตอนนี้เจ้ากำลังหาคนที่คู่ควรกับบุตรสาวของเจ้า และทำไมจะเป็นอ๋องตู้บุตรชายของข้าไม่ได้เล่า”

“ฝ่าบาท!” แม่ทัพชู่เว่ยถึงกับเข่าอ่อนทรุดตัวคุกเข่ากับพื้นทันที

“ทำไมแม่ทัพชู่เว่ย อ๋องตู้ก็เป็นลูกศิษย์ของเจ้า และไยถึงไม่ยินดีเล่าที่อ๋องตู้จะเป็นเขยของเจ้า”

“ฝ่าบาท...ชู่เอ๋อบุตรสาวของกระหม่อมนั้นซุกซนยิ่งนัก ไม่มีความเป็นกุลสตรี เกรงว่าจะไม่เหมาะสมและคู่ควรกับอ๋องตู้พระเจ้าค่ะ” เขารีบตอบทันที

“บางทีชีวิตที่ตึงเครียดของอ๋องตู้อาจจะมีสีสันก็เป็นได้ เจ้าอย่าคิดมากไปเลย อีกอย่างไม่มีใครเหมาะสมกับอ๋องตู้ได้เท่าบุตรสาวของเจ้าแล้วแม่ทัพชู่เว่ย”

“พ่ะยะค่ะ” สุดท้ายแล้วแม่ทัพชู่เว่ยก็ต้องยอมรับ

“เราได้กำหนดวันอภิเษกของทั้งคู่ไว้แล้ว งานอภิเษกของทั้งคู่จะจัดขึ้นในอีกสามวันข้างหน้า”

“ฝ่าบาท! ทำไมถึงเร็วขนาดนี้พ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพเอ่ยถาม

“ช้ากว่านี้ไม่ได้แล้ว เจ้าเองก็รู้สถานการณ์ดีมิใช่เหรอแม่ทัพชู่เว่ย”

“พ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพชู่เว่ยเครียดทันทีเมื่อไม่รู้จะอธิบายกับชู่เอ๋อบุตรสาวอันเป็นที่รักอย่างไรดี พร้อมกับเสียงขันทีหน้าห้องทรงอักษรได้ร้องบอกว่าตู้เหลียงเฉิงได้มาถึงแล้ว และฝ่าบาทก็เอ่ยอนุญาตให้เข้ามา

“เสด็จพ่อ” ตู้เหลียงเฉิงทำความเคารพผู้เป็นบิดาพร้อมกับหันไปคำนับทำความเคารพอาจารย์ของตัวเองที่ลุกขึ้นยืนพอดีเช่นกัน แม้ว่าตัวเองจะเป็นถึงอ๋อง แต่แม่ทัพชู่เว่ยเป็นอาจารย์ของเขาตั้งแต่เด็ก เขาจึงให้ความเคารพท่านเสมอมา

“อาจารย์”

“เจ้ามาได้จังหวะพอดีอ๋องตู้” ฮ่องเต้เอ่ยกับบุตรชายตัวเองที่เพิ่งมาถึง

“พ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ เรื่องที่เหล่ากงกงได้บอกกับลูกนั่นคือความจริงรึไม่พ่ะย่ะค่ะ” เขาทูลถามทันที

“อือ”

“แต่ลูกได้ทูลบอกเสด็จพ่อไปแล้วเมื่อครั้งก่อนว่าลูกยังไม่พร้อมจะรับพระชายาเข้าจวน แล้วไยเสด็จพ่อถึงได้เร่งลูกด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

“อำนาจของเจ้าจะมั่นคงเมื่อเจ้ามีพระชายาและมีทายาทอ๋องตู้ และพระชายาของเจ้าก็เป็นบุตรสาวของอาจารย์เจ้า แน่นอนว่าอำนาจของเจ้าจะแข็งแกร่งกว่าเดิมหากได้อภิเษกกับบุตรสาวของแม่ทัพชู่เว่ย” ฮ่องเต้เอ่ย ที่ทำทั้งหมดตอนนี้เพื่อความมั่นคงทางการเมืองและทหารของบุตรชายตัวเองเท่านั้น

“ขอบพระทัยเสด็จพ่อ”

เมื่อเสด็จพ่อได้พูดเช่นนี้แล้ว เขาเองก็ปฏิเสธไม่ได้แล้ว แม้จะรู้ว่าอาจารย์ตัวเองมีบุตรสาว แต่ตัวเขาเองก็ไม่เคยเห็นนางสักครั้งว่ามีรูปร่างหน้าตาเช่นไร แต่อาจารย์ได้พูดถึงบ่อยๆ ว่าเป็นคนซุกซน

“ถ้างั้นเจ้าก็เตรียมตัวได้แล้ว อีกสามวันงานมงคลของเจ้าจะจัดขึ้นที่จวน แม่ทัพชู่เว่ยข้าฝากบุตรของข้าด้วย”

“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” แม่ทัพชู่เว่ยโค้งคำนับรับคำ แม้ว่าไม่ยินดี แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เมื่อนี่คือพระประสงค์ของฮ่องเต้

“เสด็จพ่อ ลูกขอทูลลาพ่ะย่ะค่ะ” ตู้เหลียงเฉิงเอ่ยพร้อมกับโค้งตัวทำความเคารพพระบิดาตัวเองแล้วหันมาคำนับอาจารย์ก่อนจะเดินออกจากห้องทรงอักษร ส่วนแม่ทัพชู่เว่ยเองก็เช่นกัน

ทั้งสองเดินออกมาจากห้องทรงอักษรพร้อมกัน แม่ทัพชู่เว่ยมีสีหน้าตึงเครียดกังวลถึงเรื่องก่อนหน้านี้ ด้วยไม่รู้จะบอกชู่เอ๋อบุตรสาวที่รักยังไงดีถึงเรื่องอภิเษกครั้งนี้ และแถมยังแต่งเข้าจวนอ๋องตู้ด้วย แม้จะรู้จักตู้เหลียงเฉิงมาตั้งแต่เด็ก แต่การที่แต่งเข้าจวนอ๋องตู้นั้นมันอันตรายเกินไปสำหรับดอกไม้งามของเขาที่เป็นดั่งดวงใจของเขา

“อาจารย์ไม่ต้องกังวลไป ข้าจะดูแลลูกของอาจารย์เป็นอย่างดี” ตู้เหลียงเฉิงอ่านความคิดของอาจารย์ออกว่าท่านนั้นกังวลถึงเรื่องที่จะตามมา

“หม่อมฉันรู้ว่าท่านอ๋องตู้จะดูแลชู่เอ๋อได้ แต่ชู่เอ๋อนั้นซุกซนยิ่งนัก กลัวแต่จะทำให้ท่านลำบากในภายภาคหน้า” แม่ทัพชู่เว่ยเอ่ย

“นางจะซุกซนแค่ไหนกันเชียวท่านอาจารย์ ยังไงเสียนางก็ต้องแต่งเข้าจวนของศิษย์อยู่ดีมิใช่รึท่านอาจารย์” ตู้เหลียงเฉิงยกยิ้มขำเล็กน้อยเมื่อนึกถึงคำพูดของอาจารย์ยามเล่าถึงบุตรสาว

“หากเจอนางแล้วท่านอ๋องตู้จักขำมิออก” แม่ทัพชู่เว่ยเอ่ย

“ไม่มีหญิงใดจะซุกซนต่อหน้าข้า ท่านอาจารย์ก็รู้”

“แต่ไม่ใช่กับชู่เอ๋อบุตรสาวของกระหม่อมแน่นอนท่านอ๋อง” ชู่เว่ยยังยืนยัน

หึหึ

“ก็ต้องมาดูกันวันที่แต่งนางเข้าจวนแล้วแหละท่านอาจารย์” พูดจบตู้เหลียงเฉิงก็เดินจากไปทันที ส่วนแม่ทัพชู่เว่ยก็เดินไปอีกทาง

ณ ค่ำคืนที่แสนเร่าร้อน จากที่ตั้งใจจะกลับค่ายทหารด่านนอกในตอนเช้าก็ต้องเลื่อนออกไป เพราะต้องอภิเษกสมรสแต่งตั้งพระชายาเข้าจวนเสียก่อน แต่นาทีนี้ตู้เหลียงเฉิงหาได้สนใจงานมงคลที่จะเกิดขึ้นไม่ เพราะเหนือร่างของเขากำลังมีสาวงามจากหออี้หรูมาปรนนิบัติตนเองบนเตียงนุ่มนิ่ม

“อ่า...อืม นั่นแหละ เจ้าทำดีมากเสี่ยวเล้ง อ่า...ดูดข้าแรงๆ อ่า...” เอวสอบหนาของตู้เหลียงเฉิงแอ่นเด้งรับขึ้นตอบสนองเรียวปากของสาวงามชื่อดังจากหออี้หรู พร้อมกับมือใหญ่ที่หยาบกร้านจากการทำศึกกดหัวทุยเล็กของแม่นางเคลื่อนไหวโยกเร่ากับกลางหว่างขาแข็งแรงตัวเอง

“อ่า...อืม ท่านอ๋องตู้ อ่า...ท่านช่างใหญ่เหลือเกินเจ้าค่ะ อ่า...อืม” ปากน้อยละเลียไล่ดูดคลอเคลียตั้งแต่โคนเนื้อมังกรร้อนของตู้เหลียงเฉิงขึ้นมาหาปลายปากของมังกรที่แข็งร้อนดุจเหล็กกล้าของท่านอ๋อง

“อ่า...เจ้าทำให้ข้าร้อนกายหนักเสี่ยวเล้ง อ่า...ครอบครองข้าสิ ขย่มข้าเสี่ยวเล้ง อ่า...”

มือใหญ่ดึงรั้งหัวทุยเล็กของนางยกขึ้นจากหว่างขาตัวเองและนางก็รีบจับมือใหญ่ที่จับรั้งจิกหัวตัวเองมาจูบหอม ก่อนจะเคลื่อนตัวขึ้นไปคร่อมทับใช้ความเป็นสตรีเพศที่อาบฉ่ำไปด้วยน้ำตัณหาตัวเองครอบครองกระแทกลงหาท่อนเนื้อมังกรของตู้เหลียงเฉิง

“อ่ะ...อ่า เจ้าช่างเป็นงานนักเสี่ยวเล้ง” ปากหนาร้องครางชื่นชมพร้อมกับแอ่นเด้งกระแทกเอวสอบขึ้นหาคนเหนือร่างที่กำลังเคลื่อนไหวโยกเร่าตอดรัดคลึงท่อนเนื้อมังกรตัวเองในตอนนี้

พั่บ! พั่บ! พั่บ!

เสียงจังหวะครวญเพลงกระบี่บนเตียงได้เริ่มขึ้นด้วยไฟร้อนรุ่ม สองกายเปลือยเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อราคะที่ทั้งคู่กำลังผลัดกันรับผลัดกันตามในตอนนี้

“อ่า...อืม”

อ่านต่อ

หนังสืออื่นๆ ของ ณิการ์

ข้อมูลเพิ่มเติม
กลืนกิน

กลืนกิน

โรแมนติก

5.0

เกือบหนึ่งพันปีที่เฝ้ามอบถวายชีวิตของตัวเองคอยรับใช้นายท่านนาสูร และเมื่อถึงเวลาที่ต้องเลือกอนาคตตัวเอง เขากลับเคว้งคว้างเดินไม่ถูก และยิ่งไปกว่านั้นเมื่อโชคชะตาส่งเด็กน้อยตัวเล็กอายุไม่กี่เดือนมาให้เขาได้ดูแล ‘เดหลี’ เขาดูแลเด็กน้อยไม่ต่างจากลูก แม้จะรู้ดีว่าอนาคตเด็กคนนี้จะเปลี่ยนชีวิตของตัวเอง ‘พาที’ นั่งใช้ความคิดอยู่คนเดียวในห้องนั่งเล่นของบ้านที่ตนเองและเดหลีอาศัยอยู่ด้วยกัน เพลานี้เด็กน้อยอายุเจ็ดขวบ เผลอแป๊บเดียวจากเด็กน้อยงอแงเอาแต่ใจ นอนตัวแดงแบเบาะ ตอนนี้รู้ความและขี้อ้อนมาก “คุณพาทีคะ คุณพาทีคะ” “หืม! เด็กน้อย” คนถูกเรียกหันมาหาเจ้าของเสียงเล็กสดใสของหนูน้อยวัยเจ็ดขวบ “แต่งงานคืออะไรคะ?” หนูน้อยเกาะแขนของผู้เปรียบเสมือนพ่อของตนเอง “คือคนสองคนรักกัน แล้วก็แต่งงานกัน เดี๋ยวโตขึ้นเดหลีก็จะเข้าใจเอง” พาทีลูบหัวหนูน้อยหน้ากลมที่แนบแขนตัวเองและกำลังแหงนเงยหน้าขึ้นมองจ้องหน้าตัวเอง เหมือนเขาที่กำลังก้มมองหน้ากลมๆ อ้วนๆ ของหนูน้อย “งั้นโตขึ้นเดหลีจะแต่งงาน และคุณพาทีต้องแต่งงานกับเดหลีด้วยนะคะ” “แต่งงานน่ะแต่งได้ แต่กับฉันไม่ได้เดหลี” “ทำไมไม่ได้คะ เดหลีรักคุณพาที ถ้าไม่แต่งกับคุณพาทีจะให้หนูแต่งกับใครคะ” หนูน้อยเจ็ดขวบตอบอย่างฉะฉาน ทั้งๆ ที่ไม่เข้าใจความหมายของคำว่า ‘รัก’ และ ‘แต่งงาน’ “โตขึ้นเธอจะรู้เองเดหลี ตอนนี้ได้เวลานอนแล้วนะ ไปนอนได้แล้ว เดี๋ยวฉันเอานมร้อนไปให้ดื่มก่อนนอนนะ” “อุ้มค่ะ” หนูน้อยยอมผละแขนสั้นๆ ที่กอดแขนใหญ่ออกมากางให้อีกฝ่ายอุ้มตัวเองกลับห้องนอน พาทียกยิ้มเอ็นดูท่าทางของหนูน้อยแล้วก็ช้อนอุ้มเด็กน้อยขึ้นแนบอกแล้วลุกขึ้นจากโซฟาพาเดินกลับห้องนอนด้วยเวลานี้ดึกมากแล้ว

นาสูร

นาสูร

โรแมนติก

5.0

“อ่ะ...อื้อ” เธอเบิกตากว้างในความมืดสลัวเมื่อรู้ว่าตอนนี้ตัวเองถูกคุกคามยามดึก “ชูว์! ฉันเองเด็กน้อย” เขายกมือมาปิดปากเธอพร้อมบอกให้รู้ว่าคือเขา “คุณนาสูร” “ใช่ ฉันเอง ก็บอกแล้วไงว่าเจอกัน” “ฟ้าอยู่” “เธอไม่ตื่นหรอก” เขาบอกตอบกลับ “แต่ไม่ได้นะคะ เราจะ...” “ทำไมจะไม่ได้ ก็ฉันหิวมาหลายวันแล้วน้อง เธอก็รู้ว่าฉันต้องการเธอมากแค่ไหน” เขารีบบอกสวนกลับโดยที่เธอยังพูดไม่สุดประโยคความ “พรุ่งนี้ฟ้าก็กลับแล้ว” เธอบอกพร้อมดันเขาไปนอนข้างๆ ตัวเองที่ยังมีพื้นที่ว่างอยู่ “ไม่มีพรุ่งนี้ทั้งนั้น ฉันต้องการวันนี้เด็กน้อย ขอเถอะนะ เพื่อนเธอไม่มีทางตื่นถ้าฉันไม่สั่งให้ตื่น เรามามีความสุขกันเถอะนะ ฉันรู้ว่าเธอเองก็โหยหาฉัน” มือใหญ่สอดเข้าไปในใต้ผ้าห่มแล้วบีบเคล้นเต้าของเธอ “อ่ะ...อื้อ คะ...คุณนาสูร ยะ...อย่าทำแบบนี้ค่ะ น้องอาย ถึงฟ้าจะไม่ตื่น แต่ฟ้าก็นอนอยู่ข้างๆ นะคะ” พึ่บ! แล้วผ้าห่มที่เธอแบ่งกันกับเพื่อนห่มนั้นก็ถูกถลกดึงรั้งขึ้นไปคลุมหัวของฟ้าใสทันที --- สวัสดีนักอ่านทุกคนค่ะ ณิการ์ขอฝากรูปเล่มนิยายเรื่อง “นาสูร” ภายใต้นามปากกา “ยักษ์” ด้วยนะคะ เป็นเรื่องราวของยักษ์ที่มาอายุนับพันกว่าปีกับมนุษย์สาวคนหนึ่ง แน่นอนว่าเป็นนิยายแฟนตาซีอีโรติกค่ะเรื่องนี้ “นาสูร” เป็นยักษ์ที่หิวกามมาก กินดุมาก เขาไม่สนใจเนื้อเท่ากับลีลารักบนเตียง และ “พุดซ้อน” ก็สนองตัณหาของเขาได้ดีทีเดียว แล้วเขาทั้งสองจะรักกันได้ยังไง เมื่อทั้งสองต่างแตกต่างกัน มาลุ้นไปกับความรักของยักษ์และมนุษย์ด้วยกันนะคะ

วิวาทรัก

วิวาทรัก

โรแมนติก

5.0

จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อคนสองคนไม่เคยเจอกัน ไม่เคยรู้จักกัน แต่ต้องมาแต่งงานกัน แน่นอนว่าการคลุมถุงชนครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะคนแก่ทั้งสองที่ให้คำมั่นสัญญากัน พวกเขาที่เป็นหลานจึงจำต้องแต่งงานกัน "น่านน้ำ" หนุ่มเจ้าของไร่กาแฟ กับสาวมั่น "พิมพ์มาดา" ที่ต้องมาเจอกัน ทั้งสองไม่ใช่คนที่จะเชื่อฟังใครง่ายๆ ต่างคนต่างดื้อ และการคลุมถุงชนครั้งนี้จะต้องไม่เกิดขึ้น แล้วเรื่องราววุ่นวายจึงเกิดขึ้น หนี....ใช่ต้องหนีเท่านั้น....แต่หนีไปไงมาไงมา "รัก" กันได้ไง ที่สำคัญหนีไปหนีมามาเจอพ่อคน "เซ็กส์จัด" ใช่ค่ะว่าที่เจ้าบ่าวของเธอเซ็กส์จัดจนต้องยอมแพ้....และเธอก็ชอบความหื่น ห่าม ถ่อย ของคนที่ชังหน้าแบบไม่รู้ตัว......และน่านน้ำก็หลงเจ้าสาวจอมดื้อแบบไม่ตั้งใจรักเช่นกัน...... ------------ “นายทำบ้าอะไรของนาย” “ลงโทษเมีย” น้ำคำห้วนๆ ตอบกลับทันควัน พร้อมกับจ้องหน้าสวยที่ตอนนี้แสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจในตัวเขาอยู่ในที แล้วเรื่องอะไรเขาต้องสนใจสายตาเกลียดชังที่หล่อนส่งมาให้ด้วยเล่า ในเมื่อพิมพ์มาดาเป็นของเขาและต้องเป็นของเขาคนเดียวเท่านั้น “ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นายน่าน” เธอสั่งเสียงแข็งไม่ยอมเช่นกัน พร้อมดิ้นหนีจากแรงกดของบุรุษที่คร่อมเหนือตัวเองอยู่ในตอนนี้ เขาบังคับให้เธอพิงไปกับพนักโซฟาและตัวเขาก็คร่อมกักร่างเธอไว้ โดยมีสองมือใหญ่กดหัวไหล่เธอให้อิงพิงไปกับพนักเก้าอี้ สองมือทุบตีไปกับหน้าอกแกร่งแต่เหมือนกับว่าทุบกำแพงหินผาเจ็บมือเสียแรงเปล่า “ทำไมฉันต้องปล่อยด้วย เธอคิดยังไงถึงไปคบกับไอ้ปลัดธนูนั่นทั้งๆ ที่มีฉันเป็นผัวทั้งคน หรือฉันคนเดียวไม่พอฮึดา” โน้มหน้าลงไปเอ่ยข้างหูเธอพร้อมกับกัดดึงหูเธอแรงๆ ด้วยความโมโห “โอ๊ย! ฉันเจ็บนะไอ้ซาดิสม์!” “ก็กัดให้เจ็บ ถ้าไม่เจ็บจะกัดทำไมวะ บอกฉันมาไปถึงไหนต่อไหนกับมันแล้ว” เงียบ! ปากช่างเจรจาของสาวจอมพยศเม้มแน่นไม่ปริปากตอบเมื่อเขาถาม และนั่นยิ่งกระตุ้นไฟโทสะในอกของน่านน้ำไปใหญ่ “ฉันถามเธออยู่ทำไมไม่ตอบ” เขากระชากเสียงถามเธอดังกว่าเดิม และครั้งนี้ก็บีบหัวไหล่ของเธอที่กดไปกับพนักโซฟาด้วย “เจ็บนะเว้ย! นายมันบ้าไปแล้วนายน่าน นายมันคนซาดิสม์ ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ ฉันเจ็บ” ทุบตีแขนของเขาให้นำพามือที่บีบหัวไหล่ตัวเองออก ตอนนี้ดวงตาสวยสดใสได้อาบล้นไปด้วยน้ำตาแห่งความเจ็บปวด เมื่อเขาไม่ยอมปล่อยมือจากหัวไหล่แต่เขากลับทำตรงกันข้ามคือบีบแรงกว่าเดิม “ฉันไม่ใจอ่อนกับน้ำตาของผู้หญิงอย่างเธอหรอกนะดา อย่ามาบีบน้ำตาปัญญาอ่อนต่อหน้าฉัน” น้ำเสียงเฉียบขาดเอ่ยขึ้นพร้อมกับผละมือข้างขวามาบีบคางเล็กของเธอให้แหงนเงยเชิดหน้าขึ้นสบตาตนเอง แล้วเขาก็โน้มลงไปบดขยี้ปากอวบอิ่มสีระเรื่อที่เม้มแน่นของหล่อนจริงๆ ในเมื่อไม่ยอมพูดไม่ยอมตอบเขาก็ไม่คิดจะสนใจแล้ว เพราะตอนนี้สิ่งที่ต้องการคือการทำให้พิมพ์มาดาจำ จำว่าร่างกายของหล่อนคือของเขา นายน่านน้ำไม่ใช่ของใครอื่นที่ไหน ผู้ชายหน้าไหนก็ห้ามแตะ เพราะเนี่ยคือสมบัติของเขา ถ้าเขาไม่ยกให้ใครหน้าไหนก็ห้ามพาหล่อนหนี “อ่ะ อื้อ.....

หนังสือที่คุณอาจชอบ

ฮูหยินของข้า แซ่บไม่เบา

ฮูหยินของข้า แซ่บไม่เบา

Burke Gee
5.0

ทุกคนรู้ดีว่า บุตรีคนโตที่ไม่เป็นที่โปรดปรานในจวนโหวอันติ้งแห่งเมืองหลวง ทำให้แม่แท้ๆ ของตนต้องเสียชีวิต เป็นคนที่ถูกมองว่าเป็นตัวโชคร้าย ก่อนแต่งงานก็ทำให้แม่เลี้ยงฝันร้ายอยู่หลายวัน ออกเดินทางไปทำบุญนอกเมืองก็ถูกโจรจับตัวไป แต่ใครจะคิดว่าโชคร้ายกลับกลายเป็นโชคดี นางเปลี่ยนนิสัยไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ยอมให้ใครมารังแกอีกต่อไปที่แท้ซูชิงซวู่ ผู้สุดยอดสายลับที่ทะลุมิติมาเผชิญกับพ่อที่เย็นชา แม่เลี้ยงที่ชั่วร้าย คู่หมั้นที่นอกใจน้องสาวต่างแม่ แต่ไม่เป็นไร คอยดูว่าเธอจะจัดการพวกชั่วช้า และเอาคืนทุกอย่าง ทว่าทำไมท่านอ๋องผู้นั้นถึงมองมาที่เธอด้วยสายตาแปลกๆ นั่นล่ะเผ่ยเสวียนจู: บุญคุณที่ช่วยชีวิต ไม่มีสิ่งใดตอบแทนได้ นอกจากเอาตัวไปแลก

รอยรักรอยร้าว

รอยรักรอยร้าว

Del Goodman
5.0

เซียวหลิ่นตาบอดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ลูกสาวคนรวยทุกคนต่างหลีกเลี่ยงเขา มีแต่สวี่โยวหรานยอมแต่งงานกับเขาโดยไม่ลังเล สามปีต่อมา เซียวหลิ่นกลับมามองเห็นได้อีกครั้ง จากนั้รเขา็ยื่นข้อตกลงการหย่าเพื่อยุติการแต่งงานนี้ เขากล่าวอย่างเย็นชาว่า "ฉันพลาดกับชิงชิงมานนานมากพอแล้ว ฉันไม่อยากให้เธอต้องรอนานกว่านี้!" สวี่โยวหรานลงนามในข้อตกลงการหย่าโดยไม่ลังเล ทุกคนต่างก็หัวเราะเยาะเธอตลอด - หัวเราะเยาะว่าที่เธอแต่งเข้าตระกูลเซียวถือว่าเกาะผู้มีอิทธิพลเข้า จากนั้นก็มาหัวเราะเยาะเธอที่ถูกทอดทิ้ง เป็นหญิงที่ไร้ค่า แต่ทุกคนกลับไม่รู้ว่า เธอคือหมออัศจรรย์ที่รักษาดวงตาของเซียวหลิ่นให้หายดี เป็นผู้ออกแบบเครื่องประดับมูลค่าหลักร้อยล้าน ผู้เป็นมือหนึ่งแห่งหุ้นที่ครองตลาดหุ้น และแม้แต่แฮกเกอร์ระดับแนวหน้าและลูกสาวแท้ๆ ของผู้มีอิทธิพล อดีตสามีมาขอร้องขอคืนดี ซีอีโอผู้เผด็จการก็โยนเซียวหลิ่นออกไปนอกประตูอย่างเย็นชา "ดูดีๆ นี่ภรรยาของผม"

หลินซือเยว่ผู้นี้ มีสามชะตาในคราเดียว

หลินซือเยว่ผู้นี้ มีสามชะตาในคราเดียว

มาชาวีร์
5.0

หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง

สามีข้าจะเกี้ยวท่านเอง

สามีข้าจะเกี้ยวท่านเอง

ซีไซต์
5.0

ข้าคือวิญญาณที่มาเกิดใหม่ในร่างของอันจิ่งเถียนที่ถูกคู่หมั้นถอนหมั้นอย่างไม่ไยดี ข้ารังเกียจบุรุษผู้นี้นักแต่เขากลับมีปราณมังกรที่ข้าต้องการ ดังนั้นข้าจึงต้องพยายามยั่วยวนให้เขาตกหลุมรักให้จงได้ เรื่องย่อ ข้าเป็นวิญญาณที่มาเกิดใหม่ในร่างของอันจิ่งเถียน สตรีที่น่าสงสารที่ถูกคู่หมั้นถอนหมั้น ข้ารังเกียจบุรุษผู้นั้นนักแต่เขากลับมีสิ่งที่ข้าต้องการนั่นก็คือปราณมังกรที่จะช่วยประคองวิญญาณของข้าให้อยู่รอดปลอดภัย ดังนั้นข้าจึงต้องทุ่มเทความสามารถหาทางใกล้ชิดเขาเพื่อเอาเขามาเป็นสามี แต่ปราณมังกรผู้นี้ร้ายกาจ แสดงออกอย่างชัดเจนว่ารังเกียจข้า และไม่ยินยอมแต่งกับข้าแต่โดยดี หึ หึ ไก่อ่อนเช่นเจ้าคิดจะต่อต้านเสน่ห์อันร้ายกาจของข้าหรือ หวงเจี่ยวหลงเจ้ารู้จัก เจ้ามารยาตัวแม่อย่างข้าน้อยไปเสียแล้ว! แนะนำตัวละคร อันจิ่งเถียน เดิมทีนางเป็นเพียงวิญญาณเร่ร่อนความจำเสื่อมที่ไม่สามารถไปผุดไปเกิดได้เพราะมีห่วงผูกเอาไว้ ซึ่งนางก็ไม่รู้ว่าคือสิ่งใด กระทั่งวันหนึ่งนางได้รับรางวัลจากท่านพญายมจึงได้เกิดใหม่ในร่างของอันจิ่งเถียน สตรีที่อาภัพตายก่อนอายุไขแต่นางเป็นคนดีจึงได้ลอยขึ้นสวรรค์ไปแล้ว อันจิ่งเถียนคนใหม่ต้องตามหาว่าตนเองแท้จริงคือผู้ใด โดยต้องอาศัยปราณมังกรจากบุรุษเพื่อล่อเลี้ยงวิญญาณให้คงสภาพอยู่ในร่างนี้ให้นานที่สุด กระทั่งนางได้พบกับหวงเจี่ยวหลงอดีตคู่หมั้นของอันจิ่งเถียนที่ขอถอนหมั้นไปแล้ว อันจิ่งเถียนคนใหม่จึงพยายามยั่วยวนและใช้เล่ห์กลเพื่อให้เขาตกหลุมรักและยอมแต่งงานกับนาง แม้ว่าเขาจะปากร้ายและไม่เต็มใจก็ตาม หวงเจี่ยวหลง อดีตคู่หมั้นของอันจิ่งเถียนที่ขอถอนหมั้นกับนางเพราะชอบสตรีอื่น และเขาก็ต้องมึนงงเมื่ออันจิ่งเถียนที่เขาพบผิดแผกไปจากที่เขาได้ยินมาอย่างสิ้นเชิง นางมิใช่สตรีอ่อนหวานและเป็นคุณหนูในห้องหอ ตรงกันข้ามนางกับมารยาสาไถยยังเรียนรู้อาคมมาอย่างผิด ๆ พยายามจับเขาและใช้วิธีการอันน่ารังเกียจสารพัดเพื่อให้เขาแต่งกับนาง เขาไม่ได้ชอบนางบัดนี้ยังรังเกียจ เขาจึงไม่ยอมแต่งกับนางผู้ชั่วช้าคนนั้นเด็ดขาด ไป๋ซี วิญญาณความจำเสื่อมที่ฝากตัวรับใช้อันจิ่งเถียนเพราะนางสามารถมองเห็นเขา อีกทั้งอันจิ่งเถียนยังสัญญาว่าจะช่วยเหลือเขาเพื่อตามหาว่าตัวเขาเป็นเช่นไร ไป๋ซีจึงซื่อสัตย์และภักดีกับอันจิ่งเถียนยิ่งนัก เหรินชุน คนที่อยู่ในใจของหวงเจี่ยวหลง และยังเคยมีใจให้หวงเจี่ยวหลงอยู่ช่วงหนึ่ง เป็นบุตรสาวของผู้นำสำนักผู้บำเพ็ญเพียรที่ร่ำรวยที่สุด เป็นสำนักที่หวงเจี่ยวหลงไปร่ำเรียนและบำเพ็ํญเพียรมาตั้งแต่เด็ก นางถูกเลี้ยงดูมาอย่างตามใจและฟุ้งเฟ้อ มองไม่เห็นหัวคนอื่น แต่จริง ๆ แล้วเป็นคนจิตใจดี อ่านก่อนค่ะ นิยายเรื่องนี้เป็นแนวตลกขบขันสุขนิยม พล็อตเรื่องไม่หวือหวา เบาสบาย เนื้อหาจะเป็นแนวแฟนตาซี โลกของภูติผี เทพเซียน และเวทย์มนต์คาถา ทั้งหมดไม่ได้เกิดขึ้นจริงนะคะ ขอให้อ่านอย่างสนุกสนานคลายเครียดจ้า

บท
อ่านเลย
ดาวน์โหลดหนังสือ