นพรัตน์ & ณัชชา

นพรัตน์ & ณัชชา

SHASHAwriter

5.0
ความคิดเห็น
121.6K
ชม
112
บท

“ในเมื่อเราย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ก็อยากจะขอร้องเธอสักสองเรื่อง...จะได้ไหม” คราวนี้เป็นนพรัตน์ที่ใจคอไม่ดีขึ้นมาบ้าง มองแผ่นหลังของเธอ หยั่งเชิงอึดใจเดียว ถามกลับสั้นๆ “อะไร” “คือ...” เอ่ยขึ้นมาคำหนึ่งอย่างลังเล ก่อนจะหันมองข้ามไหล่สบตากับเขาตรงๆ พูดด้วยน้ำเสียงให้ฟังดูกังวลใจอยู่พอประมาณ “คือตอนนี้เรากำลังคบอยู่กับติน เธอจำตินได้ใช่ไหม เอ่อ ธารินทร์ที่เรียนห้องเดียวกันกับพวกเราน่ะ...และเรากับตินก็มีแพลนจะแต่งงานกันปลายปี” จากใบหน้าที่ดูเฉยเมยของชายหนุ่มค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นขมึงบึ้งตึงในทันที ใบหน้าหล่อเหลาบัดเดี๋ยวแดงบัดเดี๋ยวเขียว แววตาที่จ้องตอบดูคุกคามเอาเรื่อง แล้วก็นิ่งอยู่เป็นนาน พูดอะไรไม่ออกราวกับถูกน็อคด้วยหมัดนุ่ม ๆ ที่ซ่อนก้อนเหล็ก ก้อนเล็กๆ แต่ใส่อัดกันจนแน่นที่ปลายนวมนั่น เห็นท่าทีเขาแล้ว ยิ้มบางๆส่งให้ เอ่ยต่ออีกหน่อย “อยากขอร้องแค่ว่าอย่าพูดเรื่องเมื่อคืนนี้ออกไปจะได้ไหม ขอให้มันจบลงที่นี่” หยุดหน่อยหนึ่ง ประเมินท่าทีของเขาเห็นแววตาเหมือนกับมีกองไฟเต้นเร่าๆในนั้น ก็หลุบตาลง ยิ้มน้อยๆ บอกต่ออีกข้อ “และระหว่างเรา มันจะต้องไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก” ย้ำด้วยเสียงหนัก ๆ ในตอนท้าย “ได้ใช่ไหมนพรัตน์” ในอกในใจเขาเดือดพล่านคล้ายมีคนจุดไฟตั้งเตาอยู่ข้างในนั้น นพรัตน์ยืดตัวตรง สูดลมหายใจเข้าอย่างต้องการระงับอารมณ์ที่เดือดปุดๆ หลังจบคำขอร้องของเธอ มีแพลนจะแต่งงานกับธารินทร์อย่างนั้นหรือ อย่าพูดเรื่องระหว่างเขากับเธอเมื่อคืนนี้อีกอย่างนั้นหรือ และ เรื่องแบบเมื่อคืนนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นอีก...อย่างนั้นหรือ นพรัตน์บิดริมฝีปากลง แล้วว่าเสียงหยัน “ไอ้แว่นมันคงดีใจน่าดู ที่เมียมัน มีประสบการณ์เข้าหอมาแล้ว”

บทที่ 1 1

แรงปะทะเบาๆจากร่างของหญิงสาวสองคนตรงหัวมุมหน้าทางเข้าห้องน้ำของชั้นบนสุดในห้างสรรพสินค้าชื่อดังกลางเมืองทำเอาทั้งคู่ชะงักงันกันไปเป็นครู่ ก่อนที่อีกฝ่ายจะก้มหน้าเตรียมเดินหลบ แต่อีกคนมองจ้องนิ่งอึดใจเดียว รีบเรียกเอาไว้ก่อนที่ทางนั้นจะทันได้พ้นไปจริงๆ ราวกับไม่อยากทักทายเพื่อนสมัยเรียนอย่างไรอย่างนั้น

คนอัธยาศัยดีกว่าร้องเรียกเพื่อนอย่างร้อนรน

“เดี๋ยวค่ะ ณัช ณัชชาใช่ไหม”

หญิงสาวเจ้าของชื่อ ‘ณัชชา’ ที่อีกฝ่ายออกปากเรียกหยุดแล้วหันมายิ้มบางๆ ดูฝืนชอบกล ทักกลับเสียงเบาอย่างเสียมิได้

“อ้าว ว่าไงปูนิ่ม”

“โหย ดีใจอ่ะ จำชื่อเราได้ด้วย นี่ไม่เจอกันนานแค่ไหนแล้วเนี่ย ตั้งแต่จบมอหกเลยไหม”

ด้วยพื้นฐานนิสัยไม่ใช่คนช่างพูด จึงทำเพียงยิ้มน้อยๆตอบไปเท่านั้น แม้จะไม่ได้อยู่ห้องเดียวกัน แต่ทั้งสองเรียนในระดับชั้นเดียวกัน เคยทำกิจกรรมร่วมกันบ่อยครั้ง ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นถึงตอนปลาย

‘ปูนิ่ม’ หรือ ‘อัญจารีย์’ รีบชวน

“ว่างไปนั่งคุยกันก่อนไหมณัช”

รอยยิ้มยังคงประดับอยู่บนใบหน้า ตอบออกไปตามจริง

“เราต้องทำงานน่ะปูนิ่ม”

อัญจารีย์มองเครื่องแบบของอีกฝ่ายที่เป็นชุดสูทเสื้อกางเกงขายาวสีเทาแต่งขอบดำ คลับคล้ายจะเป็นพนักงานในสถานเสริมความงามมีชื่อบนชั้นนั้น ก็พยักหน้าอย่างพอเข้าใจว่าเพื่อนคงปลีกตัวไปนั่งดื่มตามคำชวนไม่ได้ แล้วเลยขอเบอร์โทรศัพท์เพื่อใช้ติดต่อกันก่อนแยกตัวจากมา

หญิงสาวเจ้าของชื่อเล่นปูนิ่ม พาตัวเองลงไปยังด้านล่างสุดของตัวห้างสรรพสินค้า ผ่านทางออกสู่ด้านนอก มองขึ้นไปบนฟ้าตอนนี้เริ่มมืดลงมากกว่าตอนที่มาถึง เหมาะสมกับเวลาที่ล่วงเข้าทุ่มห้าสิบพอดิบพอดี แต่กระนั้นถนนด้านหน้ายังคงคึกคักด้วยยวดยานพาหนะและผู้คนที่เดินขวักไขว่กันอยู่ ยืนรอที่ทางเท้าไม่นาน รถคันหรูสีดำปาดเข้ามาจอดขนาบตรงที่ยืนคอย จึงเปิดประตูขึ้นนั่งที่เบาะด้านข้างคนขับ เจ้าของรถพาสี่ล้อคันงามออกสู่ถนนเบื้องหน้าในทันที

“ตรงเวลามาก...ค่ะคุณนพ”

แสร้งลากเสียงยาวยียวนใส่สารถีรูปงาม ชายรองของบ้านอัศวหาญญ์วรกุล ผู้ซึ่งขึ้นชื่อว่าหน้าตาดีกว่าพี่กว่าน้องที่เหลือ นพรัตน์ประคองพวงมาลัยรถยนต์ เหลือบมองหญิงสาวเบาะด้านข้างถามเนิบๆ

“ได้อะไรมาบ้าง”

“ไม่ได้อะไรเลยคุณนพ กระเป๋าที่ปูนิ่มจองไว้ ร้านไม่ยอมเช็คของก่อน สายมันนะด้ายรุ่ยเชียว ดีที่ปูนิ่มตาไวเห็นเข้าเลยบอกเขาว่าไม่เอาแล้ว แกล้งทำหน้าบึ้งๆด้วยแหละ เท่านั้นเอ๊ง...เขารีบให้ส่วนลดปูนิ่มเลย ส่วนรุ่นใหม่ที่กำลังจะมาอ่ะนะ ปูนิ่มก็ห้าสิบห้าสิบ ไม่ได้ชอบมากเท่าไร ร้านกระซิบบอกส่วนลดแล้วก็เลยว่าอะๆเอาก็ได้ เขาบอกจะรีบส่งมาให้ไม่เกินสามวันนี้ค่ะ”

“ทั้งร้านมีใบเดียว?” เสียงถามแม้ฟังว่าเรียบแต่คนฟังสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายกำลังยียวนตน ยิ้มแล้วก็ว่า

“แหม มันก็มีหลายใบอยู่หรอก แต่รุ่นที่ปูนิ่มอยากได้ มันมีใบเดียวไง” บอกจบ เมินออกไปมองด้านนอกรถ ค่อยเอ่ยขึ้นเสียงเบาลงผิดวิสัย “ปูนิ่มเจอเพื่อนด้วยนะคุณนพ”

ชายหนุ่มทิ้งช่วงไปอึดใจใหญ่ๆ กว่าจะถามออกมาได้

“ใคร”

“ณัชชา”

อัญจารีย์ตอบออกไปแล้ว ก็ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ ว่าบรรยากาศบนรถอึมครึมลงเล็กน้อย แล้วเลยจ้องอีกฝ่ายนิ่งๆ ถามเขากลับ “คุณนพจำณัชชาได้ไหม คุณห้องเดียวกับเขานี่ เด็กห้องคิงไม่ใช่หรือไง”

ชายหนุ่มเจ้าของรถหรูหัวใจกระตุกวูบขึ้นจังหวะหนึ่งพร้อมสะดุดลมหายใจของตัวเอง ไม่ตอบอะไรอีกฝ่าย เจ้าหล่อนเลยขยับตัวมองหน้าชายหนุ่มจริงจัง หรี่ตาก่อนว่า

“จำไม่ได้จริงอ่ะ แล้วว่าแต่ปูนิ่มความจำสั้น”

ชายรูปงามเจ้าของรถยังคงนิ่ง อัญจารีย์เย้าต่อไม่ยอมให้จบง่ายๆ “ไม่เห็นถามเหมือนทุกทีเวลาปูนิ่มเจอเพื่อนคนอื่นเลยล่ะว่าสวยขึ้นไหม อกตู้มหรือเปล่า ไม่ก็ก้นเด้งมากไหม แปลกนะเนี่ย” ถามจบเอียงคอมองจ้องหน้าด้วยสายตาจับผิด

นพรัตน์ผินหน้าไปมองทางอื่นชั่วคราว ถามให้ตัวเองหลุดพ้นจากอาการน่าสงสัยของหญิงสาวข้างกาย

“สวยไหม”

อัญจารีย์เลยเลิกให้ความสนใจกับท่าทีของชายหนุ่ม ขยับนั่งตัวตรงมองไปที่ถนนด้านหน้า นิ่งคิดครู่เดียว ตอบออกไป

“ถ้าเทียบกับตอนเรียน ปูนิ่มว่าตอนนั้นณัชชาเธอดูน่ารักกว่านี้เยอะเลยนะ เมื่อกี๊ตอนเจอกันเธอก็ดูสวยดีอยู่หรอก แต่แววตาดูซึมๆยังไงไม่รู้ ไม่สดใส ปูนิ่มว่าณัชชาเธอดูผอมไปหน่อยด้วยแหละ”

คนจำใจถามครางรับสั้นๆ “อือม์”

“นี่คุณนพ ไม่อยากเม้าเพื่อน ถึงเธอจะผอมแต่อกเธอตู้มมากเลยนะ”

ว่าจบได้ยินชายหนุ่มทำเสียงอย่างหนึ่งในลำคอ เลยหัวเราะเบาๆ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเลื่อนบนหน้าจอไปมาบอกทั้งที่ยังก้มหน้าอยู่

“ปูนิ่มขอเบอร์มาด้วย กะว่าจะเอาไว้โทรคุยกัน เลี้ยงรุ่นรอบนี้ต้องลากณัชชาไปให้ได้เลยคอยดู”

อัญจารีย์เงียบไปอึดใจเดียว บอกต่ออีกคล้ายระลึกถึงความหลัง

“ณัชชาเนี่ยเป็นคนเดียวในรุ่นมั้งเนอะคุณนพที่ติดต่อไม่ได้เลย เห็นไหมมัวแต่โม้ ลืมถ่ายรูปคู่ด้วยกันเอาไว้เป็นหลักฐาน จะได้เอาไปบอกคนอื่นๆได้ว่าอิฉันพบเพื่อนที่ตามตัวยากสุดแล้วจริงๆ”

“เขายอมหรือไง”

“ยอมอะไรคะคุณนพ ยอมให้ถ่ายรูปอ่ะ”

“อือม์”

“ไม่รู้สิ อิฉันก็เนียนๆไปสิคะ นี่ยังจำได้เลยนะ สมัยนั้นน่ะ ณัชชาเธอคบใครที่ไหน แต่แอบเห็นนะว่ามีคนไปวอแวกับนุ้งณัชเพื่อนน้อยอยู่คนหนึ่ง หึงนะคะรู้ไหม”

อัญจารีย์เรียกฉายาบุคคลที่สามที่เพื่อนคนอื่นตั้งสมญานามให้พร้อมรอยยิ้มแปลกๆบนใบหน้าของเจ้าหล่อน ปรายตามองนพรัตน์อย่างต้องการให้รู้ว่าตนระแคะระคายเรื่องซุบซิบสมัยเรียนมัธยมปลายเช่นกัน

“แล้วไง”

เสียงถามเย็นชาแต่ยอกย้อนคล้ายร้อนตัวของชายหนุ่ม ทำเอาอัญจารีย์ยิ้มกริ่มขึ้นในทันที ว่ากลับด้วยท่าทีสบายอกสบายใจ

“ไม่แล้วไงหรอก ใครจะกล้าแล้วไงกับคุณนพล่ะคะ”

“ชักพูดมากแล้วเนี่ย ลงเลยไหม”

“เอะอะไล่ลงรถตลอด เกลี๊ยดเกลียด”

“เดี๋ยวเตรียมตัวลงเลย ส่งข้างหน้านี่แล้วกัน”

ว่าจบเลื่อนมือเร่งเสียงเพลงลูกกรุงของนักร้องชื่อดังในตำนานบนพวงมาลัยรถยนต์ อัญจารีย์มุ่ยหน้าบ่นพึม “เปลี่ยนเพลงเถอะคุณนพ ฟังอะไรก็ไม่รู้คอนทราสกับคนกับรถมากๆเลย”

ชายหนุ่มเมิน แล้วมองออกไปที่ด้านนอกรถไม่พูดอะไรต่อ จ้องไฟจราจรตรงแยกใหญ่ใจกลางมหานครนิ่งราวกับมันเป็นสิ่งมหัศจรรย์อยู่เป็นนาน พร้อมความทรงจำในอดีตที่วาบผ่านเข้ามาในหัวของเขา พยายามลืมเลือนมันไปหลายครั้งแล้วแต่ก็ทำไม่ได้เลยสักครั้งเดียว

อ่านต่อ

หนังสืออื่นๆ ของ SHASHAwriter

ข้อมูลเพิ่มเติม
เมียเก่าที่เขาไม่เคยรัก

เมียเก่าที่เขาไม่เคยรัก

โรแมนติก

5.0

ภาวรีแหงนหน้าขึ้นแล้วยิ้มกวนโมโหใส่หน้าเขา "มาขวางทำไม เชยไม่สนพี่เขื่อนแล้วนะรู้ไหม ให้หย่าก็ได้เลย ไปเลย เพราะไรรู้มะ เพราะพี่เขื่อนสู้หนุ่ม ๆ ในร้านไม่ได้เลยสักคน ในนั้นถึงใจกว่าพี่เขื่อนตั้งเยอะ" ลัพธวิทย์หรี่ตามอง ถามเสียงเรียบ "ถึงใจแบบไหน" "ใหญ่กว่า อึด แล้วก็เอาเก่งกว่าพี่เขื่อน" ได้ยินเสียงตัวเองพูดจาก๋ากั่นออกไปแบบนั้นแล้วก็ให้ตกใจไม่น้อย พอได้ยินคำตอบของเธอที่หลับตาฟังก็รู้ว่าจงใจพูดจายั่วยุเขา ลัพธวิทย์ก็ค่อยหัวเราะออกมาลั่น พร้อมค่อนแคะกลับไป "น้ำหน้าอย่างเราเนี่ยหรือ กล้านอนกับผู้ชายตามบาร์" ภาวรีหน้าชาเมื่อถูกจับไต๋ได้ว่าโกหก เธอลอยหน้าลอยตาแล้วตอบเขากลับ "ทำไมจะไม่กล้า แม่เปิดห้องให้เชยลองแล้วด้วย หนุ่ม ๆ ในบาร์โฮสต์ทำให้เชยรู้แล้วล่ะว่าของพี่เขื่อนนี่เทียบชั้นกันไม่ติด แบบนั้นน่ะ..." ภาวรีพูดแล้วกวาดตาลงมองอย่างหยามเหยียด บอกต่อจนจบประโยค "น่าจะเอาไว้แค่ฉี่มากกว่านะ"

ห้องลับของคุณรัชญ์

ห้องลับของคุณรัชญ์

โรแมนติก

5.0

"ถอดชุดบนตัวเธอออกมาเดี๋ยวนี้!" "หนูทำไม่ได้..." ขวัญลดายังพูดไม่จบดีเลยว่าเธอถอดชุดที่ใส่บนตัวออกไม่ได้เพราะมันรัดมาก ๆ นี่ก็นัดกับออยลี่ ลูกของป้าเนืองไว้แล้วให้มาช่วยถอดชุด ไม่รู้น้องคนที่วานให้ช่วยเหลือจะหลับไปแล้วหรือยัง ไม่อย่างนั้นเธอคงต้องฉีกมันออกแทนการถอด แต่เจ้าของห้องลับที่ใคร ๆ พูดปากต่อปากกันว่า ห้องนี้ใครเข้ามาแล้วต้องเสว ก็ปราดเข้ามาปล้ำถอดชุดของเธอออกจนหมด แต่เพราะชุดมันรัดมาก ๆ ดลวรัชญ์ลงมือถอดไปก็สบถไปพลางด้วยอาการหัวเสีย "แต่งตัวเชี่ยอะไรวะ รู้ไหมว่ามันรัดหน้าอก รัดโหนกจนเห็นเป็นเนินนูน นึกว่าลานจอดฮอ" พอชุดถูกถอดออกจนหมด ขวัญลดาค่อยหายใจได้ลึกขึ้นจากเดิม นึกขอบคุณที่เขาช่วยเหลือเธอในครั้งนี้ แม้จะดูเป็นการช่วยที่ไม่ปกตินักก็ตามที "หนูรู้ค่ะ" "รู้แต่ก็ยังใส่" "คุณป้าบอกว่ามันมีชุดเดียว ชุดนี้เมื่อก่อนท่านตัดไว้ให้พี่โรส แต่คุณเล่นพาพี่โรสมานอน หนูก็เลย..." "หึง?" เสียงเข้มถามขัดคำตอบของเธอ ขวัญลดามองเขาแล้วได้แต่ส่ายหน้า เธอยังไม่รู้จักเลยว่า หึง อาการเป็นอย่างไร "ไม่ใช่ค่ะ หนูกำลังอธิบายเรื่องที่ว่าทำไมต้องใส่ชุดนี้" "เธอหึง" คนชอบให้ทุกอย่างหมุนรอบตัวเองอย่างดลวรัชญ์สรุปในสิ่งที่ตัวเองคิดได้ พร้อมด้วยมุมปากที่ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ก่อนจะเกร็งมันไว้ให้เหยียดตรงดังเดิม "และเธอเบี่ยงประเด็นนะลดา" "แล้วแต่คุณเลยค่ะ" ขวัญลดาบอกอย่างยอมแพ้ ++++++ เนื้อหานิยายเน้นอ่านเพลิน ๆ ย่อยง่าย ๆ และจบดี แฮปปี้ค่ะ

ตราบาปรัก ผู้ชายใจร้าย

ตราบาปรัก ผู้ชายใจร้าย

โรแมนติก

5.0

คำโปรย ปริญญ์เคยบอกว่ารักเธอ แต่เมื่อมีเหตการณ์บางอย่างทำให้ต้องเลิกรากันไป เขาย้อนกลับมาทำดีด้วย และขอเธอแต่งงาน หลังแต่งงานกับจินดาพรรณมาสี่ปี ปริญญ์เที่ยวคบหาผู้หญิงคนใหม่ไปเรื่อย ๆ เพื่อให้เธออับอาย ... นี่น่ะหรือความรักของเขา ตัวอย่างเนื้อหา "เดี๋ยวดา เรื่องที่เราคุยกันไว้ ดาต้องทบทวนดี ๆ ก่อน..." "พรุ่งนี้เลยปิน พรุ่งนี้ไปเจอกันตามที่ตกลงไว้ได้เลย" ปริญญ์มองเธอนิ่งอยู่เป็นนานสองนาน กว่าจะพูดอะไรได้สักคำหนึ่ง ก็ยากเย็นเต็มที "หรือไม่ ปินว่าเราลอง..." "อย่าเอาแต่พูดหลอกล่อกันแบบนี้อยู่อีกเลยปิน เราสองคนจบกันเท่านี้เถอะ ทิ้งทุกอย่างเอาไว้แค่นี้ ขอให้เลิกแล้วต่อกัน เราจะได้ไม่เกลียดกันมากไปกว่านี้ หรือปินอยากให้ดาเกลียด จนไม่ไปเผาผีกันเลย ก็ได้นะปิน" ได้ยินและได้รู้ถึงความคิดของจินดาพรรณแล้ว ในใจของปริญญ์ปวดแปลบ เสียดและเสียวไปทั้งทรวงอก เขาอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก คิดได้ในตอนนั้นเองว่านี่เขาทำอะไรต่อมิอะไรลงไปนั้น มันแย่มาก จินดาพรรณถึงได้บอกว่าเกลียดเขาถึงขนาดนี้ ปริญญ์รู้สึกได้ถึงก้อนขม ๆ ในคอ เขาฝืนที่จะกล้ำกลืนมันลงไป แล้วขยับเท้าเพื่อถอยหลังออกมา มาได้เพียงครึ่งก้าวแล้วก็ทำอะไรไม่ถูก สายตาเจ็บปวดของเขายังคงมองไปยังจินดาพรรณ เปิดปากเพื่อจะพูดบางประโยคออกไป "แต่ดา...ปินระ...ปินรั" จินดาพรรณหมุนตัว เพื่อกลับเข้าห้อง เธอไม่อยากฟังสิ่งที่เขากำลังจะพูด แต่กลับโดนดึงตัวเข้าไปกอดเอาไว้แนบแน่น เธอไม่ได้ออกแรงดิ้น ทำเพียงปิดตาลง ซ่อนความรู้สึกเจ็บปวดเอาไว้ข้างในลึก ๆ บอกตัวเองว่าอย่าได้ถลำตัวและหัวใจไปกับภาพลวงตาของปริญญ์ อย่าได้หลงคารมของเขาอีกเป็นอันขาด บทจะหวาน ปริญญ์ก็ทำให้เชื่อได้ทั้งนั้น และเขาก็ทำเพียงเพราะต้องการให้เธอหลงเชื่อ เขาหลอกเธอซ้ำ ๆ แล้วทิ่มแทงเธอให้ผิดหวัง เจ็บปวดและเสียใจ ครั้งนี้ก็คงเหมือนกัน ปริญญ์สูดดมกลิ่นของภรรยาเข้าจมูกจนลึกสุดปอด ถูไถใบหน้าไปมาอย่างที่โหยหามาโดยตลอด พร้อมกับพึมพำที่ข้างหูของเธอ "ปินให้เวลาดาคิดอีกสามวัน ระหว่างนี้ถ้าดาเปลี่ยนใจ ก็ไม่ต้องไป แต่ถ้าดายังคิดแบบเดิม วันนั้นเราค่อยไปเจอที่บริษัทตามที่คุยไว้ แต่ระหว่างนี้ ดาต้องคิดดูดี ๆ ก่อนนะ อย่าใช้อารมณ์ตัดสินใจเด็ดขาด" จินดาพรรณถอนลมหายใจของตัวเองออกยาว ๆ เธอนี่หรือใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง ตลอดมามีแต่ปริญญ์ที่ทำแบบนั้น และเธอไม่ต้องการเป็นที่รองรับอารมณ์ของเขาอีกแล้ว คิดได้แบบนั้นค่อยเปิดตาขึ้น แล้วออกแรงดันตัวเองจากอ้อมกอดของเขา หันมามองที่เขาด้วยสายตาว่างเปล่า บอกออกไปตามอย่างที่ตัดสินใจเอาไว้แล้วก่อนหน้านี้ "ดาไม่ต้องคิด ไม่ต้องตัดสินใจอะไรอีกแล้วล่ะปิน ถ้าปินว่างพอ พรุ่งนี้เราก็ไปจัดการเรื่องหย่าให้เรียบร้อยได้เลย" ****************************** แนวพระเอกโบ้ ไม่ได้นอกใจ จบดีและไม่มีใครตุยค่ะ

หนังสือที่คุณอาจชอบ

หลินซือเยว่ผู้นี้ มีสามชะตาในคราเดียว

หลินซือเยว่ผู้นี้ มีสามชะตาในคราเดียว

มาชาวีร์
5.0

หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง

เมียผมน่ารักจัง

เมียผมน่ารักจัง

Penn Tofallis
4.9

กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"

คุณพ่อของหนูเป็นท่านประธาน

คุณพ่อของหนูเป็นท่านประธาน

อรนุช เทพทัต
4.9

หลังจากถูกแฟนหนุ่มและเพื่อนสนิทของเธอจัดฉาก เฉี่ยนซีก็จบลงด้วยการใช้เวลาทั้งคืนกับชายแปลกหน้าลึกลับคนนั้น เธอมีความสุขมาก แต่พอเธอตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น เธอก็รู้สึกแย่กับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกผิดทั้งหมดของเธอถูกชะล้างออกไป เมื่อเธอเห็นใบหน้าของชายที่นอนอยู่ข้างเธอ เธอจึงเอ่ยด้วยเสียงเบา ๆ ที่ว่า  "ผู้ชายอะไร ทำไมหล่อจัง" และเธอก็ต้องตกใจกับสิ่งที่เห็น ความผิดของเธอกลายเป็นความละอายใจโดยทันที และมันทำให้เธอตัดสินใจทิ้งเงินจำนวนหนึ่งไว้ให้ชายผู้นั้นก่อนที่เธอจะจากไป "เจ๋อข่าย"  รู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นเงินดังกล่าว พร้อมกับคิดว่า 'ผู้หญิงคนนั้นพยายามจะจ่ายเงินให้ฉัน ราวกับว่า ฉันเป็นผู้ชายขายบริการอย่างนั้นหรอ? ' เขารู้สึกโกรธ จึงต้องการดูภาพจากกล้องวงจรปิดของโรงแรม เขาสั่งผู้ช่วยของเขาด้วยใบหน้าที่จริงจังพร้อมขมวดคิ้ว "ผมอยากรู้ว่า ใครอยู่ในห้องของผมเมื่อคืนนี้" 'อย่าให้เจอนะ ถ้าเจอเมื่อไหร่จะสั่งสอนให้เข็ดเลย! ' เรื่องราวของพวกเขาจะเป็นอย่างไรต่อไปนะ

จากสาวน้อยบ้านนาสู่ภรรยาท่านแม่ทัพ

จากสาวน้อยบ้านนาสู่ภรรยาท่านแม่ทัพ

ประตูฟ้ายั่งยืน
5.0

หลินเจียอีหญิงสาวในศตวรรษที่21ตกตายด้วยโรคระบาด วิญญาณของเธอได้ทะลุมิติมาอยู่ในร่างของเด็กสาวอายุ14 ที่มีชื่อเดียวกับเธอซึ่งสิ้นใจตายระหว่างเดินทางกลับบ้านเดิมของมารด ********* หลินเจียอีลืมตาตื่นขึ้นมาในสภาพบ้านที่ไม่คุ้นชิน เธอจำได้ว่าก่อนหน้านี้ได้เข้ารักษาตัวจากอาการติดเชื้อโรคระบาดที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง เหตุใดถึงมาโผล่ในบ้านทรงโบราณ รอบกายเธอเต็มไปด้วยผู้คนแต่งตัวล้าสมัย ต่อมาเธอค้นพบว่าตนเองได้ทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของเด็กสาวอายุ 14 ซึ่งมีชื่อเดียวกันกับเธอ แต่ชะตากรรมของเด็กสาวผู้นี้ช่างน่าสงสารนัก บิดาเพิ่งลาโลก แม่โดนฮุบสมบัติแล้วถูกขับไล่ออกจากตระกูล ต้องระหกระเหินพาเจ้าของร่างที่ถูกทุบตีจนสิ้นใจระหว่างทางกลับมาบ้านเดิมที่แสนยากจนข้นแค้น ****ไม่มีฉากอีโรติก เริ่มล็อกเหรียญตอนที่ 25 ก่อนเข้าไปอ่านเนื้อหานิยายอ่านคำเตือนก่อนนะคะ (สำคัญมาก) 1. กรุณาแสดงความคิดเห็นอย่างสุภาพให้เกียรตินักเขียนและนักอ่านท่านอื่น หากแสดงความคิดเห็นด้วยถ้อยคำหยาบคายไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในนิยายหรือมุ่งประเด็นด่าทอนักเขียนเพื่อระบายอารมณ์ ความคิดเห็นจะถูกลบออก!! 2. นิยายเรื่องนี้เกิดขึ้นจากจินตนาการของนักเขียน บุคคลและสถานที่ที่เกิดขึ้นไม่มีอยู่จริงในโลก เนื้อหาในนิยายมีทั้งสมเหตุผลและไม่สมเหตุสมผล บางตอนอาจมีฉากที่รุนแรง (ต่อสู้) โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน 3. ตัวละครในนิยายมีทั้งดีและเลวแต่กต่างกันไป โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน ห้ามคัดลอกดัดแปลงแก้ไขนิยายเรื่องนี้ทุกกรณี หน่วยเงินตรา 1000 อีแปะ 1 ตำลึงเงิน หน่วยวัดตวงน้ำหนัก 1 ชั่ง 500 กรัม หน่วยเวลา 1 จิบน้ำชา ระยะเวลาที่สั้นมาก ๆ 1 เค่อ 15 นาที 1 ก้านธูป 30 นาที 1 ชั่วยาม 2 ชั่วโมง 12 ชั่วยาม 24 ชั่วโมง ยามจื่อ 23.00-24.59 ยามโฉ่ว 01.00-02.59 ยามอิ๋น 03.00-04.59 ยามเหม่า 05.00-06.59 ยามเฉิน 07.00-08.59 ยามซื่อ 09.00-10.59 ยามอู่ 11.00-12.59 ยามเว่ย 13.00-14.59 ยามเชิน 15.00.16.59 ยาวโหย่ว 17.00-18.59 ยามชวี 19.00-20.59 ยามห้าย 21.00-22.59

บท
อ่านเลย
ดาวน์โหลดหนังสือ