วันดีคืนดีก็มีมาเฟียมาจอดหน้าบ้าน บอกว่าอยากได้ที่ของผืนสุดท้ายของเธอ มาเฟีย เจ้าของรีสอร์ท ฟาร์มควาย ม้า วัวที่อยู่ตรงรอยต่อของไทยมาเจรจาด้วยตัวเอง ทันทีที่เจอกัน ศศิร์ธาไม่ได้แค่อยากได้ที่ของเธอ ตัวเธอเองเขาก็อยากได้ด้วย เสียแต่ว่าเป็นม่ายลูกติด ไอ้ระยำนั่นมันเอาอะไรคิดถึงได้ถึงผู้หญิงแบบนั้นไป
“ติดต่อไปสิบสามครั้งแล้วครับ แต่...เอ่อ..แต่...แต่ทางนั้นไม่ยอมเจรจาด้วยเลยครับ อะ เอา ตะ แต่ไล่ออกมา”
เสียงรายงานของ ‘คมเดช’ ทนายความส่วนตัวของศศิร์ธาทำให้คิ้วเข้มที่พาดเฉียงกระตุกขึ้นเล็กน้อย ทนายความคนสนิทของเขาทำไมถึงได้มีความไม่มั่นใจในน้ำเสียงแบบนี้ ทั้งยังมีอาการหวาดระแวงขณะรายงานเรื่องการติดต่อซื้อขายที่แปลงเล็ก ๆ แปลงหนึ่งให้เขาได้รับรู้ข้อมูล
ชายหนุ่มเจ้าของวงหน้ากึ่งไทยกึ่งเสี้ยวยุโรปนิ่งไปพักเดียว
เขาอยู่ในท่าก้มหน้าเล็กน้อยเพื่ออ่านรายงานในแฟ้มลับ สายตาคมเข้มสีดำมองจับอยู่ที่เอกสารแบบนั้นเกือบนาที แต่ไม่ได้อ่านเนื้อหาที่ในหน้านั้นเลย เพราะต้องแบ่งสมองไปคิดเรื่องที่กำลังได้ยินเมื่อครู่นี้
ศศิร์ธาหมุนหน้าเพียงเล็กน้อยเพื่อหันไปมองทางทนายความส่วนตัว แล้วจึงเอ่ยถามกลับไป “ทำไมถึงไม่ยอม”
คมเดชยังคงมีหน้าไม่สู้ดี เมื่อต้องรายงานเรื่องเมื่อกี้นี้อีกครั้ง ทั้งเจ้านาย ทั้งเจ้าของที่ต่างกดดันเขาพอกันทั้งคู่ น่ากลัวชะมัด
“พอผมบอกว่ามาติดต่อขอซื้อที่เท่านั้นแหละครับคุณศิธ เจ้าของที่ก็สั่งให้คนถือไม้มาไล่ตีผม ตะโกนด่าบอกแต่ว่าไม่ขาย ไม่คุยอะไรด้วยทั้งนั้น แล้วยัง...ยังจะ...” นึกถึงเหตุการณ์ตอนนั้นแล้วคมเดชก็เอาแต่อึกอัก ทำท่าจะอาเจียน รายงานต่อไปไม่ไหว
ศศิร์ธาขมวดคิ้วคมเข้มเข้าหากันจนเป็นร่องเล็ก ๆ ร่องรอยประสบการณ์ชีวิตผุดขึ้นตรงหัวคิ้วจาง ๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ร่องรอยพวกนั้นไม่ได้ทำให้ผู้ชายวัยเฉียดสี่สิบปีคนนี้ดูแก่ลงเลย กลับเสริมเสน่ห์ให้เขาดูดีมากกว่าพี่น้องร่วมบิดาเดียวกันเสียด้วยซ้ำไป
“คุณคมเดชถามเจ้าของที่ไปตรง ๆ แบบนั้นเลยหรือ”
ศศิร์ธาถามกลับ ชายหนุ่มเจ้าของชื่อศศิร์ธาสุภาพแบบนี้เสมอกับทุกคน ไม่เว้นแม้แต่คนงานในฟาร์ม คนรับใช้ในบ้าน หรือแม้แต่สวน รวมถึงคนสนิทหรือคนขับรถของเขาก็ด้วย
แต่ที่ทำให้ศศิร์ธาดูน่าเกรงขาม ก็ตรงน้ำเสียงสุภาพ ๆ นี่เอง เมื่อมันได้บวกรวมกับแววตาที่เขาใช้มองขณะสนทนาด้วยแล้ว ยิ่งทำให้คู่สนทนาหวาดเกรง และมันทำให้ศศิร์ธาต่างจากเจ้านายคนอื่น ๆ ในตระกูลนี้อย่างชนิดที่เรียกได้ว่าไม่ทิ้งฝุ่น
“ก็ เอ่อ ก็…ใช่ครับคุณศิธ”
อะไรกันที่ทำให้ทนายความมือหนึ่งของเขาถึงกับเสียอาการได้ขนาดนี้ ทนายของเขาเอาแต่อึก ๆ อัก ๆ ไร้ความเป็นมืออาชีพไปเลย
ศศิร์ธาพยักหน้าทำนองว่ารับรู้แล้ว สายตาดำเข้มคมลึกมองออกไปยังวิวนอกตัวรถด้วยท่าทางคล้ายครุ่นคิด เขาผ่านสงครามธุรกิจมาหลาย ตั้งแต่กลับจากศึกษาต่อที่ต่างประเทศ เลยพอรู้จักหลากหลายสารพัดทริกที่ฝ่ายตรงข้ามหยิบยกขึ้นมาใช้ เขาเจอมาแทบจะทั้งนั้น ล้วนแล้วแต่ใช้วิธีการคล้ายคลึงกันทั้งหมด
ศศิร์ธารู้ข้อมูลมาว่าเจ้าของที่พักอยู่ตรงที่ดินแปลงนั้น พวกเขาปลูกพืชผักสวนครัว รวมถึงผลไม้ท้องถิ่น อยู่กินแบบพอเพียงตามค่านิยมที่ผู้คนบางกลุ่มใช้กันมานาน หรือบางกลุ่มก็เพิ่งจะเริ่มนำมาใช้ดำเนินชีวิตกัน แต่นั่นไม่ใช่ค่านิยมสำหรับศศิร์ธา
มุมปากของศศิร์ธาขยับขึ้นเป็นรูปโค้งขึ้นเพียงนิดเดียว พร้อมกับความคิดในหัวที่ว่า หากเงินไม่มากพอจะซื้อขาย และเจ้าของที่ไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงิน มักไม่ยินยอมเจรจา นั่นต่างหากปัญหาที่แท้จริง
ศศิร์ธาไม่ได้พูดอะไรต่อจากนั้น เขานั่งเงียบเพื่อพิจารณาเรื่องงาน จนเห็นว่ารถเลี้ยวเข้าไปในถนนเส้นเล็กที่ไม่ได้ลาดด้วยยางมะตอยหรือคอนกรีตแบบที่คุ้นเคย แต่เป็นดินลูกรังตลอดเส้นทาง ก็ต้องเลิกคิ้วขึ้นอีกเล็กน้อย ๆ ปล่อยลำตัวให้เอนไปตามแรงกระแทกซ้ายบ้างขวาบ้างจนถึงจุดหมาย
เมื่อรถจอดลงแล้ว ศศิร์ธามองตรงไปยังเบื้องหน้าที่เป็นผืนดินแปลงที่เขาต้องการนำมาขยายไปพร้อมกับแปลงข้าง ๆ ที่กว้านซื้อไว้แล้วเมื่อหลายเดือนก่อน
นี่สินะคู่ค้าที่เขาต้องลงมาเจรจาด้วยตัวเอง
ศศิร์ธาเห็นบ้านไม้กึ่งปูนหลังไม่ได้ใหญ่นัก ปลูกสร้างบนพื้นที่รวมแล้วไม่เกินยี่สิบไร่ ภายในนั้นมีสวนผลไม้หลากหลายชนิดแบบที่เก็บกินได้ทั้งปีตามฤดูกาล ลักษณะคล้ายปลูกกินเองในครัวเรือนมากกว่าจะเป็นในเชิงพาณิชย์
ศศิร์ธาเก็บรวบรวมข้อมูลตามที่ตาเห็น เพื่อใช้ต่อรองกับเจ้าของที่ดิน
เขาแตะที่เปิดประตูเตรียมผลักออกไป แล้วยกขาแข็งแรงทั้งสองข้างย้ายลงไปวางบนพื้นดินพร้อมกับยืดตัวตรงเต็มความสูงเมตรแปดสิบเซนต์ ชายหนุ่มมองสำรวจรอบบริเวณอีกทอดหนึ่งแล้วถึงออกเดินเข้าไปยังพื้นที่ด้านใน ไม่มีใครสักคน
เขาเดินลึกเข้าไปอีกตรงหลังบ้าน แว่วเสียงคุยกันที่ตรงด้านหลังของบ้านนั่นเอง สายตาคมเข้มกวาดตามองไปรอบ ๆ แล้วค่อยเดินตรงไปตามเสียงที่ได้ยิน
“เขามาหลายรอบแล้วจ้ะ ครั้งล่าสุดเอาไม้ฟาดเข้าให้ แล้วก็จับอีตาแว่นไว้ได้ ขู่ว่าจะเอาขี้หมายัดปาก เลยหน้าซีดวิ่งกลับไปขึ้นรถแทบไม่ทัน”
ศศิร์ธาฟังนิ่ง ๆ นี่เองที่ทำให้คมเดชหน้าซีดเซียว ทำท่าจะอาเจียนตอนรายงานความคืบหน้าให้เขาฟัง เมื่อตอนอยู่บนรถ คนพวกนี้ไร้อารยะถึงกับจะเอาอุจจาระสุนัขยัดปากทนายความของเขาเลยหรือ ศศิร์ธาส่ายหน้าด้วยอาการเอือมระอา
“นี่ถ้ามันมาอีก บอกตาเลยดีไหม ถ้าตารู้นะ จะต้องเข้าไปเอาปืนมายิงหัวพวกนั้นแน่นอนเลย” เสียงที่ฟังดูมีอายุบอกสำทับอย่างกระแทกกระทั้นใส่อารมณ์ คงนึกโกรธนั่นเอง
“ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้มั้ง”
“แล้วพวกนั้นบอกไหมว่าจะซื้อไปทำอะไร”
“ไม่ได้บอกหรอกแม่” เสียงหวานใสเรียบเอื่อยเสียงนั้นทำให้ศศิร์ธาต้องหยุดฟัง หัวใจของเขาสั่นไหวเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงนั้น ศศิร์ธาขยับตัวเข้าไปใกล้อีกนิด พยายามมองเข้าไปตรงสวนแต่ไม่เห็นเจ้าของเสียงนั่นที่กระตุกหัวใจของเขา
“บอกแต่ว่าเป็นตัวแทนจากเจ้าของที่ข้าง ๆ เรานี่แหละ นี่เขาได้ที่ไปตั้งเยอะแล้ว ซื้อที่ยายหนั่นไปนั่นก็ตั้งเป็นหลายร้อยไร่ ไม่รู้ว่าจะมาอยากซื้อที่ของเราทำอะไรอีก”
“ใช่พวกธุรกิจสีเทา ๆ ดำ ๆ อะไรนั่นที่ออกข่าวหรือเปล่า”
“น่าจะใช่มั้งแม่”
“หน้าด้าน! ที่ของตัวเองกว้างออกขนาดนั้นยังจะอยากได้ที่ของคนอื่น”
“นั่นสิ แล้วแบบนี้ถ้าเจ้าของตัวจริงเข้ามาคุยเอง พวกเราจะเอายังไงกันดี”
“ก็ไม่เอาไงหรอก บอกเหมือนเดิมไปนั่นแหละว่าไม่ขาย” เสียงเรียบเอื่อยเสียงนั้นบอกขึ้นอย่างนุ่มนวล แต่เต็มไปด้วยความมั่นคงอยู่ในน้ำเสียงของเธอ
ศศิร์ธาขมวดคิ้วสงสัยให้กับเสียงที่กระตุ้นแรงเต้นของหัวใจของเขา จนเผลอยกมือขึ้นแตะลงตรงหน้าอกด้านซ้ายเบา ๆ ทำไมหัวใจของเขาถึงได้กระแทกจังหวะแรงขึ้นแบบนี้
หนังสืออื่นๆ ของ SHASHAwriter
ข้อมูลเพิ่มเติม