Login to MeghaBook
icon 0
icon เติมเงิน
rightIcon
icon ประวัติการอ่าน
rightIcon
icon ออกจากระบบ
rightIcon
icon ดาวน์โหลดแอป
rightIcon
ท่านแโปรดรับรักนางร้ายอย่างข้าด้วย

ท่านแโปรดรับรักนางร้ายอย่างข้าด้วย

moonlight-mini

5.0
ความคิดเห็น
14.7K
ชม
36
บท

ระหว่างเดินทางกลับจากไปสอบเทอมสุดท้าย เรือที่โดยสารกลับเกาะถูกฟ้าผ่า ใช่ค่ะฟังไม่ผิดถูกฝ้าผ่ากลางทะเลโอกาสมีเท่าไหร่กัน ทำไมเธอซวยได้ขนาดนี้รู้ตัวอีกทีก็มานอนเกยตื้นอยู่ที่ชายหาด

บทที่ 1 บทนำ

เรื่องย่อ

บทนำ

ร่างบางนั่งมองสีฟ้าของทะเลที่ทอดไกลออกไปสุดลูกหูลูกตา เธอหมดแรงนั่งอยู่ตรงนี้ตั้งแต่พระอาทิตย์ตรงกับศีรษะจนตอนนี้พระอาทิตย์คล้อยต่ำ

เคยไหมที่รู้สึกแปลกแยก เหมือนเข้ากับใครยาก รู้สึกเหมือนไม่ใช่คนบนโลกนี้

เธอชื่อหยางจื่อ มีชื่อเล่นว่า นาเดีย แค่ชื่อก็รู้แล้วเนอะว่าเชื้อชาติไหน เธอเป็นคนจีน จีนแท้ๆ เลย พ่อแม่ของเธอเชื้อสายจีนทั้งคู่

หยางจื่อ เธอนั้นรู้สึกว่าตนเองเข้ากับใครก็ไม่ได้ อารมณ์แปรปรวน บางทีก็หดหู่ใจ บางทีก็รู้สึกเศร้าหมองขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ พออาการเป็นบ่อยๆ และหนักขึ้น จึงต้องเข้าพบแพทย์ตามความต้องการของบิดา หมอวินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้าอ่อนๆ ต้องรับยาต้านโรคซึมเศร้า

อาการนี้เริ่มเป็นมาตั้งแต่เธอฟื้นจากอุบัติเหตุ เธอเดินทางตามบิดามารดาที่มาทำธุรกิจสัมปทานโรงแรมที่เกาะแห่งหนึ่งในประเทศไทย ระหว่างที่เดินทางมาครอบครัวของเธอประสบอุบัติเหตุ พ่อกับแม่บาดเจ็บเล็กน้อย ส่วนเธอนั้นได้รับการกระทบกระเทือนที่ศีรษะ จนทำให้ความจำหายไปไม่เหลืออะไรเลย ขนาดตอนที่ฟื้นขึ้นมายังจำบิดามารดาของตัวเองไม่ได้ อยู่โรงพยาบาลนานนับเดือนก็ยังจำอะไรไม่ได้ บิดามารดาจึงอยากให้เธอไม่ต้องสนใจความทรงจำเก่าๆและสร้างความทรงจำใหม่ๆ แทน ตอนนั้นเธออายุเพียง 17 ปี ต้องฝึกอ่านเขียนและฝึกพูดภาษาไทย ทักษะต่างๆ ก็ต้องเรียนรู้ใหม่ การศึกษาก็ต้องให้ครูมาสอนที่บ้านและสอบเทียบเอา

หยางจื่อ ถูกพนักงานของโรงแรมของบิดา ขนานนามว่านางมารร้าย เพราะนิสัยเชิดๆ หยิ่งๆ ไม่เอาใคร ชอบซักสีหน้าใส่เวลาไม่พอใจ ทำให้ไม่มีใครชอบเธอเลย ใครจะรู้ว่าภายในของหยางจื่อนั้นไม่ได้อยากเป็นแบบนี้ ก็หน้าตาของเป็นแบบนี้จะให้ทำอย่างไรเล่า

ชีวิตในเกาะหยางจื่อจึงมีเพื่อนไม่กี่คน เพราะเวลาส่วนใหญ่ก็ต้องเรียนหนังสือ ตอนนี้เธอเรียนมหาวิทยาลัยออนไลน์อยู่ที่เกาะ มีเพียงช่วงสอบที่ต้องเดินทางไปสอบที่มหาวิทยาลัย เธอใกล้จะจบแล้ว ก็สะดวกดี บิดามารดาไม่ชอบให้เธอออกจากเกาะไปไหน หากจำเป็นต้องไปก็จะต้องมีคนคอยติดตามเสมอ เพื่อนๆ มักจะจิกกัดว่าเธอทำตัวราวกับคุณหนูเพื่อนพวกนี้เธอเองก็ไม่ได้สนิทใจที่จะคบนัก แต่ก็เพราะเกาะก็ไม่ได้ใหญ่มากนัก สกิวการเข้ากับคนของเธอก็มีต่ำเรี่ยดิน

ระหว่างเดินทางกลับจากไปสอบเทอมสุดท้าย เรือที่โดยสารกลับเกาะถูกฟ้าผ่า ใช่ค่ะฟังไม่ผิดถูกฝ้าผ่ากลางทะเลโอกาสมีเท่าไหร่กัน ทำไมเธอซวยได้ขนาดนี้รู้ตัวอีกทีก็มานอนเกยตื้นอยู่ที่ชายหาด

อ่านกันก่อนซักนิดก่อนเข้าเนื้อเรื่อง

นิยายเรื่องนี้เกิดจากจินตนาการของไรท์เอง ไม่ได้อ้างอิงตัวละครใดๆ อาจมีบางเหตุการณ์ไม่สาเหตุสมผลในบางช่วงบางตอน ไม่ได้อ้างอิงประวัติศาสตร์จีนใดๆ ทั้งสิ้นฝากนักอ่านที่น่ารักทุกท่านเม้นอย่างสุภาพ ไรท์ยินดีน้อมรับฟังทุกคำติดชม แต่อย่ารุนแรงกับหัวใจจนเกินไปหากไม่ถูกจริตแนะนำกดออกก่อนนะคะ

เนื้อหาบางช่วงบางตอนอาจมีการอ้างอิงหรือพูดถึงผู้ป่วยโรคซึมเศร้าและผู้ป่วยทางสมอง ไรท์ไม่ได้มีเจตนาทำให้ผู้ป่วยรู้สึกจิตตกหรือคิดมากแต่อย่างใด เป็นเพียงบริบทหนึ่งในเนื้อหาเท่านั้น หากในบทใดมีเนื้อหาที่กระทบกระเทือนใจและอ่อนไหว ไรท์จะติด ⚠️ Trigger Warnin เอาไว้นะคะ นักอ่านสามารถกดข้ามผ่านบทนั้นไปได้เลย

อ่านต่อ

หนังสืออื่นๆ ของ moonlight-mini

ข้อมูลเพิ่มเติม

หนังสือที่คุณอาจชอบ

ข้าคือฮองเฮาที่ฮ่องเต้ไม่รัก

ข้าคือฮองเฮาที่ฮ่องเต้ไม่รัก

เด็กน้อยคว้าฝัน
4.8

เมื่อเพื่อนรักที่ไว้ใจแอบทรยศคบกับชายที่ตนรัก และชายที่ตนรักกลับรังเกียจตนจนไม่แม้แต่จะแตะต้องเนื้อตัวเธอ สิ่งที่เธอทำได้คือต่างคนต่างอยู่ แต่ในวังหลังแห่งนี้เธอจะทำอย่างนั้นได้จริงหรือ? ตัวอย่างเนื้อเรื่อง “เจ้ามีอันใดจะกล่าวหรือไม่... สนมหลี่กุ้ยเฟย” น้ำเสียงราบเรียบก่อนจะเน้นที่ละคำในประโยคท้ายอย่างหนักแน่น “ฮองเฮาแน่ใจแล้วหรือเพคะ ว่าจะให้หม่อมฉันทูลทุกอย่างต่อหน้าข้าราชบริพารเหล่านี้ หากมีข่าวแพร่ออกไปอีก ฮองเฮาทรงทนฟังคำนินทาเหล่านั้นได้หรือไม่” หลี่ฟางซินกล่าวพร้อมยิ้มอ่อนๆ หลี่ฟางซินย่อมรู้ดีว่าเย่วลี่อิงคงได้ยินคำนินทาเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนแล้วจึงได้พูดเน้นย้ำ หวังจะกระตุ้นให้นางลงมือทำร้ายตน “คำนินทาเรื่องใดกัน เรื่องที่เจ้าเป็นนางอสรพิษนะหรือ เหตุใดเราจะทนฟังไม่ได้เล่า” เย่วลี่อิงตรัสพร้อมยักไหล่อย่าไม่แยแส มีหรือเย่วลี่อิงจะดูไม่ออกว่า ข่าวลือที่แพร่ออกไปนั้นมาจากผู้ใด หากเป็นแต่ก่อนนางย่อมไม่คิดว่าเป็นสหายคนสนิทของนางเป็นแน่ แต่บัดนี้นางรู้แล้วว่าหญิงที่ยืนตรงหน้านางหาใช่สตรีอ่อนหวานแสนดีอย่างที่นางรู้จักไม่ “หม่อมฉันเป็นนางอสรพิษตั้งแต่เมื่อใดกันเพคะ หม่อมฉันและฝ่าบาทมีใจรักใคร่กันมาเนิ่นนาน หากไม่ใช่เพราะฮองเฮาใช้ความดีของท่านแม่ทัพทูลขอให้ฮ่องเต้องค์ก่อนพระราชทานงานแต่ง วันนี้ตำแหน่งฮองเฮาก็ไม่แน่ว่าจะเป็นของใคร” “เจ้านางแพศยา หากเจ้ามีใจให้ฝ่าบาท แล้วทำไมไม่บอกข้า ยังแสดงแกล้งเป็นแม่สื่อนำของที่ข้ามอบให้ฝ่าบาท ฝากผ่านพี่ชายเจ้าช่วยมอบของให้ฝ่าบาทแทนข้า” เย่วลี่อิงเริ่มพูดด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง “ของอันใดกันเพคะ หม่อมฉันไม่เคยนำของ ของพระองค์มอบให้ฝ่าบาทเลยนะเพคะ ยิ่งให้พี่ชายช่วยส่งแทนให้ยิ่งมิเคย” น้ำเสียงเยาะเย้ยบวกกับรอยยิ้มยียวนของหลี่ฟางซินทำให้เย่วลี่อิงหัวเสียมากขึ้น “นี้เจ้าเอาของของเราไปทิ้งอย่างนั้นหรือ” “ฮองเฮาพูดถึงเรื่องอะไรเพคะ หม่อมฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย พระองค์อย่าได้ใส่ความหม่อมฉันสิเพคะ” “นี้เจ้า”

ซูเจิน นายหญิงแห่งพฤกษา

ซูเจิน นายหญิงแห่งพฤกษา

l3oonm@
5.0

“ท่านผู้อำนวยการคะ ทางทีมสำรวจแจ้งว่าคนไม่เพียงพอที่จะเข้าไปเก็บตัวอย่างพันธุ์พืชในป่าเมืองเหอหนานค่ะ” ซูเจิน ที่ได้ยินก็หูผึ่งทันที เธอนั่งทำการอยู่ในห้องวิจัยตั้งแต่เรียนจบ ถึงตอนนี้ก็สี่ปีได้แล้ว ผู้อำนวยที่เข้ามาตรวจงานวิจัยล่าสุด ก็มองไปรอบห้อง เพื่อดูว่ามีใครต้องการเสนอตัวไปทำงานในครั้งนี้หรือไม่ แต่หลายคนที่เขามองไป ต่างหลบสายตาของเขา จะมีใครอยากออกไปเสี่ยงอันตราย เดินป่าขึ้นเขาให้เหนื่อยสู้นั่งทำงานในห้องปรับอากาศเย็นๆ ดีกว่า เมื่อไม่มีใครคิดจะเสนอตัว เขาจึงได้สอบถามหาผู้ที่สมัครใจทันที “มีใครอยากจะอาสาไปไหม” ไว้กว่าความคิด ซูเจินยกมือขึ้น “ฉันค่ะ” เพื่อนสนิทรีบดึงเสื้อของเธอเพื่อจะห้ามปราม “จะบ้าหรอ เธอไม่เคยไปสักครั้ง ไม่รู้หรือว่างานนี้เสี่ยงแค่ไหน” เสียงกระซิบของเสี่ยวชิง เอ่ยลอดไรฟันออกมา เมื่อปีที่แล้ว ที่ทีมสำรวจเดินทางเข้าไปที่ป่าเหอหนาน พื้นป่าที่ไม่อาจสำรวจได้อย่างทั่วถึง สร้างความท้าทายให้เหล่านักพฤกษศาสตร์จากทุกองค์กร แต่ไม่ว่าจะส่งเข้าไปกี่ครั้งก็ไปไม่ถึงป่าชั้นกลางเสียที แม้จะใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเข้าช่วยเพียงได้ ก็สำรวจได้เพียงป่าชั้นนอก แถมยังพาชีวิตคนไปทิ้งอีกนับไม่ถ้วน ปีนี้ทางองค์กรของซูเจิน หยิบโครงการสำรวจป่าเหอหนานขึ้นมาใหม่ แต่กว่าจะหาทีมสำรวจได้ครบคนก็กินเวลาไปหลายเดือน ถึงตอนนี้คนก็ยังไม่พอจนต้องมาถามหาจากทีมวิจัยให้ช่วยเหลือ “คุณอยากไปจริงหรือ” เขาเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง “ค่ะ ฉันอยากลองทำงานนี้” ซูเจินยิ้มออกมา “ได้ อีกสองวัน คุณก็เตรียมตัวให้พร้อม” เมื่อมีคนเสนอตัวแล้ว ผู้อำนวยการก็ออกไปพบทีมสำรวจ เพื่อวางแผนการทำงาน ทั้งยังให้ซูเจินตามเขาไปเข้ารวมการประชุมในครั้งนี้ด้วย “เธอมันบ้าไปแล้ว” เพื่อร่วมงานต่างเดินเข้ามาหาซูเจิน แล้วตำหนิเธอที่กล้ายกมือเสนอตัว “เอาน่า ไว้กลับมาฉันจะเอาเรื่องสนุกมาเล่าให้พวกเธอฟัง” ซูเจินยิ้มหวานออกมา ก่อนที่จะเก็บของแล้วไปเข้าร่วมประชุมกับทีมสำรวจ สองวันต่อมาซูเจินก็แบกกระเป๋าเดินทางมาที่จุดนัดพบ เธอออกเดินทางด้วยรถตู้ขององค์กร พร้อมทีมสำรวจอีกเกือบยี่สิบชีวิต ยังดีที่เธอได้แบกกระเป๋าเพียงใบเดียว หากต้องแบกเต็นท์นอน อาหารด้วย คงได้เป็นภาระของคนอื่นอย่างแน่นอน ภายในป่าเหอหนาน น่ากลัวว่าที่ซูเจินคิดไว้เยอะ พอตะวันตกดิน หากไม่มีแสงไฟที่ทีมสำรวจนำมาด้วยคงจะมืดจนมองไม่เห็นอะไร เสียงแมลงทั้งสัตว์ป่าร้องตลอดทั้งคืน สร้างความหวาดกลัวให้กับคนที่ไม่เคยเข้าป่าสักครั้งอย่างเธอได้อย่างดี ยังดีที่เจ้าหน้าที่ผู้นำทางติดตามมาด้วยอีกหลายคน พวกเขาจึงได้อยู่ผลัดเปลี่ยนเวรยาม เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ป่าเข้ามาถึงตัวพวกเขา หลายวันที่อยู่ในป่า ซูเจินเก็บตัวอย่างพันธุ์ได้หลายชนิด แต่ทั้งทีม ยังเดินไม่หลุดป่าชั้นนอกเลย ยังดีที่อาหารที่เตรียมมาเพียงพอให้พวกเขาอยู่ไปได้อีกหลายวัน “เอ๊ะ” เข้าวันที่เจ็ดของการสำรวจป่า ซูเจิน เห็นดอกไม้แปลกตา ที่ขึ้นอยู่ท่ามกลางพงหญ้ารก เธอจึงเดินห่างจากกลุ่มทีมสำรวจเข้าไปดูทันที เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรได้ ระยะห่างที่อยู่ไกลจากพวกเขา หากร้องเรียกก็ยังได้ยินอยู่ เธอหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมา พร้อมทั้งจดรายละเอียดก่อนที่จะดึงต้นไม้เก็บเข้าถุงเก็บตัวอย่างที่เตรียมมา แต่เมื่อมือของซูเจินสัมผัสไปที่ดอกไม้ เธอก็ต้องตกตะลึง เหมือนมีกระแสไฟวิ่งผ่านปลายนิ้วไปจนทั่วทั้งตัว “โอ๊ยย” เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของซูเจิน เรียกความสนใจให้คนทั้งหมดรีบวิ่งมาทางที่เธออยู่ ซูเจินเห็นเพียงแสงสีขาวที่สว่างวาบไปทั่ว แล้วภาพตรงหน้าของเธอก็ดำมืดลง

บท
อ่านเลย
ดาวน์โหลดหนังสือ