Login to MeghaBook
icon 0
icon เติมเงิน
rightIcon
icon ประวัติการอ่าน
rightIcon
icon ออกจากระบบ
rightIcon
icon ดาวน์โหลดแอป
rightIcon
กุ้ยเฟยที่ถูกลืม

กุ้ยเฟยที่ถูกลืม

จิรัฐติกาล

5.0
ความคิดเห็น
4.2K
ชม
20
บท

เจี่ยลี่อิงเป็นเชฟยุคปัจจุบัน และเพราะทำงานมากไปจึงตายโดยไม่รู้ตัว เมื่อลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตัวเองกลายเป็นกุ้ยเฟยมีนามว่าเจี่ยลี่ฟาง เป็นกุ้ยเฟยที่ถูกคุมขังที่ตำหนักเย็น แล้วอย่างไรเล่า บิดานางเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ อาหารการกินก็ไม่ขาด อยากได้สิ่งใดก็เพียงรับสั่งออกไป นางเป็นเชฟใหญ่ไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับฮ่องเต้ผู้นั้น แต่ขอทำอาหารกินให้อร่อยทุกมื้อ ******************* "นี่คือ.สิ่งใดเพคะกุ้ยเฟย" นางกำนัลและขันทีเอ่ยถามกุ้ยเฟยพร้อมกับทำตาปริบ ๆ แทนที่จะตื่นเต้นแต่กลับทำหน้ามึนงง เพราะรูปวาดที่กุ้ยเฟยวาดให้ดูนั้นเป็นสิ่งที่แปลกตาเป็นอย่างมาก ไม่เคยพบเห็นที่ไหนมาก่อน "สิ่งนี้คือหม้อชาบู" ลี่อิงพูดด้วยความตื่นเต้น นางเต็มใจเสนอสิ่งนี้เป็นอย่างมาก "หม้อชาบู?" ผู้รับใช้ทั้งสามพูดพร้อมกันอย่างช้า ๆ

บทที่ 1 No.1

การตายของกุ้ยเฟย

ในช่วงที่แผ่นดินเกิดความไม่สงบ ราชสำนักมีราชโองการให้ส่งกำลังทหารไปปราบปรามอิทธิพลแบ่งแยกประเทศของเผ่าจุ่นเก๊อะเอ่อ และกบฎของต้า-เสี่ยวเหอจั๊วะของเผ่าหุยในเขตซินเกียง และมีราชโองการให้แต่งตั้งท่านแม่ทัพเจี่ยฮุ้ยหยางเป็นต้าเจียงจวินผู้บังคับบัญชาทหาร เนื่องจากท่านแม่ทัพออกรบกำราบศัตรูที่บังอาจเข้ามารุกรานแผ่นดินใหญ่นานนับหลายสิบปีตั้งแต่ต้าซิ่งหวงตี้จนชำนาญการด้านการทหารเป็นพิเศษ จนบัดนี้หลีเออร์คนสุดท้องของท่านแม่ทัพก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกุ้ยเฟยพระอัครเทวีผู้ล้ำค่าให้กับฮ่องเต้ จักรพรรดิของราชวงศ์พระองค์ปัจจุบันที่สืบราชสมบัติมาจากต้าซิ่งหวงตี้

แต่ทว่า….เมื่อท่านแม่ทัพได้รับราชโองการเขากลับขัดราชโองการจากฮ่องเต้บุรุษผู้มีอำนาจวาสนาสูงสุดในทันที “ขอเดชะฝ่าบาท….กระหม่อมขอปฏิเสธการเป็นต้าเจียงจวินในการปราบปรามอิทธิพลแบ่งแยกประเทศของเผ่าจุ่นเก๊อะเอ่อ และกบฏของต้า-เสี่ยวเหอจั๊วะของเผ่าหุยในเขตซินเกียงในครั้งนี้พ่ะย่ะค่ะ”

“เพราะเหตุอันใดกันท่านแม่ทัพเจี่ยฮุ้ยหยาง” ฮ่องเต้คิ้วขมวดเป็นปมทรงไม่เข้าพระทัยเหตุอันใดท่านแม่ทัพถึงปฏิเสธการออกรบในครั้งนี้ทั้งที่ที่ผ่านมานั้นให้ความร่วมมือในการปราบปรามศัตรูผู้รุกรานประเทศทุกศึกสงคราม

“กระหม่อมไม่สะดวกใจที่จะทำศึกในครั้งนี้เนื่องจากหลีเออร์ของกระหม่อม....เจี่ยหลีฟางกุ้ยเฟยอยู่ในช่วงเวลาอ่อนแอ มีเรื่องไม่สบายพระทัยอยู่พ่ะย่ะค่ะ” ท่านแม่ทัพทูลบอกกับฮ่องเต้ด้วยใบหน้าที่หมองหม่น กุ้ยเฟยนั้นเป็นหลีเออร์คนสุดท้องของท่านแม่ทัพ ท่านแม่ทัพมีบุตรทั้งหมดสิบคน โดยแม่นางเจี่ยหลี่ฟางนั้นเป็นหลีเออร์คนสุดท้องที่ท่านแม่ทัพรักและตามใจเป็นอย่างมาก จนแม่นางเจี่ยหลี่ฟางถือเอาความต้องการของตนเองเป็นใหญ่ เมื่อกระทำผิดก็จะมีบิดาคอยให้ท้ายอยู่เสมอแม้กระทั่งในตอนนี้ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นกุ้ยเฟยแล้วก็ตาม

“เจี่ยหลีฟางกุ้ยเฟยเป็นอันใด” ฮ่องเต้ทรงตรัสถามถึงสาเหตุ

กุ้ยเฟยเป็นพระสนมลำดับที่หนึ่งของฮ่องเต้ แต่ฮ่องเต้นั้นทรงไม่ยอมให้ร่วมห้องหอด้วย ถึงแม้ว่าจะมีพระราชโองการให้แต่งตั้งหลีเออร์ของท่านแม่ทัพให้เป็นกุ้ยเฟยตั้งแต่ต้นเดือนเอ้อร์เยว่จน ณ บัดนี้ก็จวนจะถึงสิ้นเดือนซานเยว่แล้ว และนี่ก็คือเหตุผลที่ทำให้กุ้ยเฟยไม่พอใจ และกระเง้ากระงอดผู้เป็นบิดาจนท่านแม่ทัพไม่มีกะจิตกะใจจะออกรบเพื่อศึกบ้านเมืองในครั้งนี้ได้

“องครักษ์หลวง!” เมื่อท่านแม่ทัพอ้ำอึ้งในคำตอบ ฮ่องเต้ก็ทรงรู้สาเหตุได้ด้วยตนเองในทันที ฮ่องเต้จึงมีพระราชกระแสรับสั่งด้วยความร้อนพระทัยให้เหล่าขุนนางไปจับตัวกุ้ยเฟยไปขังในตำหนักเย็น โดยห้ามออกจากตำหนักเย็นจนกว่าฮ่องเต้จะประทานอภัยโทษให้ “จับเจี่ยหลีฟางกุ้ยเฟยไปขังในตำหนักเย็นบัดเดี๋ยวนี้!”

“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” เหล่าองค์รักษ์หลวงทรุดตัวลงคุกเข่าน้อมรับพระราชกระแสรับสั่งต่อหน้าบัลลังก์ฮ่องเต้ ก่อนจะดันตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วออกจากท้องพระโรงเพื่อปฏิบัติตามพระราชกระแสรับสั่งของฮ่องเต้ในทันท่วงที

“ฝ่าบาท….ได้โปรดทรงอภัยให้กระหม่อมด้วย ทรงอย่ากักขังหลีเออร์ของกระหม่อมไว้ในตำหนักเย็นเลยพ่ะย่ะค่ะ” ท่านแม่ทัพทรุดตัวคลุกเข่าลงพื้นอย่างหมดแรง ก้มลงกราบกับพื้นต่อหน้าบัลลังก์ฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่เพื่อร้องขอความเมตตา แต่บัดนี้คำกล่าวของฮ่องเต้ย่อมศักดิ์สิทธิ์ที่สุด พูดแล้วไม่คืนคำในเวลาอันเร็วพลัน

“เรามีราชกิจติดพัน เดิมทีก็ไม่ได้มีเวลาว่างมากอยู่แล้ว จะเอาเวลาไหนมาพลอดรักกับเจี่ยหลี่ฟางกุ้ยเฟย เจ้าน่าจะรู้ดีนะท่านแม่ทัพเจี่ยฮุ้ยหยาง!” ฮ่องเต้ทรงตรัสออกมาอย่างไม่พอพระทัยยิ่งนักที่แม่ทัพเจี่ยฮุ้ยหยางเอาเรื่องไร้สาระมาปะปนกับงานราชการรักษาบ้านเมืองเช่นนี้

“กระหม่อมสมควรตาย ทุกอย่างเป็นความผิดของกระหม่อมแต่เพียงผู้เดียว กระหม่อมขอรับโทษแทนเจี่ยหลีฟางกุ้ยเฟยพ่ะย่ะค่ะ”

“เราจะปล่อยตัวเจี่ยหลีฟางกุ้ยเฟยจากตำหนักเย็นก็ต่อเมื่อเจ้าชนะศึกในครั้งนี้เท่านั้น” ฮ่องเต้ตรัสเพียงเท่านี้ก่อนจะลุกขึ้นจากบัลลังก์แล้วเสด็จออกไปจากท้องพระโรงในทันที ซือกงกงกล่าว “ฮ่องเต้เสด็จแล้ว~” และเหล่าขุนนางก็ทรุดตัวนั่งลงคุกเข่ากับพื้นพร้อมกับกล่าวพร้อมกันว่า “กระหม่อมทูลลา ขอทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี”

เมื่อทำอะไรไม่ได้ท่านแม่ทัพก็รีบกล่าวลาฮ่องเต้พร้อมกับเหล่าขุนนางคนอื่น ๆ เพื่อไปดูใจหลีเออร์ก่อนที่จะเข้าไปอยู่ในตำหนักเย็น เผื่อเขาจะช่วยหลีเออร์ในเรื่องอื่น ๆ ได้บ้าง

“ปล่อยข้านะ พวกเจ้ามาจับตัวข้าเพราะเหตุใด ข้าเป็นถึงกุ้ยเฟยของฮ่องเต้เลยนะ ปล่อย ปล่อยข้า” กุ้ยเฟยที่ถูกเหล่าองครักษ์หลวงลอบเข้าไปจับตัวมาถึงพระตำหนักร้องโวยวายลั่นพระราชวัง พยายามดิ้นให้หลุดออกจากพันธนาการขององครักษ์หลวง แต่ก็ไม่เป็นผล แรงของสตรีช่างน้อยนิดสู้บุรุษมิได้

เหล่าองค์รักษ์หลวงจับกุ้ยเฟยเดินตรงไปที่ตำหนักเย็น แต่ระหว่างทางนั้นท่านแม่ทัพก็เข้ามาขวางทางเอาไว้ก่อน “ปล่อยหลีเออร์ของข้าบัดเดี๋ยวนี้” กุ้ยเฟยเมื่อเห็นบิดาก็รีบสะบัดแขนองครักษ์หลวงออกแล้ววิ่งเข้าไปหาบิดาทั้งน้ำตาในทันที “ท่านพ่อ ฮึก….ทำไมเหล่าองครักษ์หลวงพวกนี้ถึงบุกเข้ามาจับตัวลูกถึงในพระตำหนักได้เจ้าคะ ฮือ….”

“พ่อขอโทษลูก เป็นเพราะพ่อเองที่ทำให้ลูกต้องตกอยู่ในชะตากรรมที่ยากลำบากเช่นนี้” ท่านแม่ทัพเอ่ยบอกกับหลีเออร์ด้วยความเศร้าโศก เมื่อเห็นหลีเออร์อยู่ในสภาพเช่นนี้ผู้เป็นพ่อย่อมเจ็บปวดใจมากกว่า

“ท่านพ่อหมายความว่ายังไงเจ้าคะ”

“เฮ้อ….ตอนนี้มีผู้ก่อกบฏฮ่องเต้รับสั่งให้พ่อไปประจำการทันทีในฐานะต้าเจียงจวิน”

“ท่านพ่ออายุมากแล้ว เหตุใดจึงมีพระราชกระแสรับสั่งให้ท่านพ่อไป ราชสำนักไม่มีแม่ทัพท่านอื่นแล้วหรือไงกัน”

“พ่อกับพี่ ๆ ไม่ได้อยู่ข้างกายเจ้าในช่วงเวลาที่เจ้าอ่อนแอเช่นนี้ แต่ว่าพ่อจะให้นางกำนัลสองคน และขันทีหนึ่งคนคอยดูแล รับใช้เจ้าในตำหนักเย็น ได้โปรดอย่าเป็นกังวล พ่อกับพี่ ๆ ของเจ้าจะคว้าชัยชนะการรบครั้งนี้มาให้ได้เพื่อปลดปล่อยให้เจ้าเป็นอิสระ” พูดจบท่านแม่ทัพก็ปล่อยมือของหลีเอ๋อร์ออกแล้วย่างก้าวออกไปจากตรงนี้ในทันทีทั้งน้ำตาแห่งความสงสารหลีเออร์อย่างลึกสุดหัวใจ

“ท่านพ่อ ฮึก….อย่าไป ท่านพ่อ ฮือ….” เสียงร่ำไห้ใจแทบขาดของหลีเออร์ทำให้ท่านแม่ทัพมิอาจทำใจหันหลังกลับไปมองได้ รีบเดินออกไปให้เร็วที่สุด….

….หลังจากที่ลากับบิดา กุ้ยเฟยก็ถูกองครักษ์หลวงนำตัวไปขังไว้ที่ตำหนักเย็น ส่วนนางกำนัลและขันทีที่จะให้ไปดูแลกุ้ยเฟยที่ตำหนักเย็นนั้น ท่านแม่ทัพจะไปทูลขอฮ่องเต้ก่อนที่จะไปประจำการตามพระราชกระแสรับสั่ง

กุ้ยเฟยเอาแต่ร้องไห้ด้วยความทุกข์ระทมชอกช้ำใจ กุ้ยเฟยมีใจรักฮ่องเต้แต่ฮ่องเต้ไม่เคยปลายตามองนางเลยแม้เพียงหางตา เมื่อได้รับการแต่งตั้งก็ได้เป็นเพียงกุ้ยเฟยไม่ได้เป็นฮองเฮา ด้วยความน้อยใจและความโศกเศร้าทำให้กุ้ยเฟยวางแผนลวงว่าตนเองนั้นคิดสั้นหมายจะเรียกร้องความสนใจจากฮ่องเต้ แต่ผลลัพธ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น เก้าอี้ที่ใช้ปีนขึ้นไปเพื่อผูกคอนั้นกลับพลิกคว่ำทำให้เท้าของกุ้ยเฟยไม่มีที่วาง เชือกที่ใช้ผูกคอจึงขึงรัดแน่นจริง ๆ กุ้ยเฟยดิ้นอย่างทุรนทุรายเพราะหายใจไม่ออกจนในที่สุดก็ขาดอากาศหายใจและสิ้นอายุขัยลง

….ในห้วงมิติอีกด้าน….มีเชฟสาวประจำภัตตาคารหรูและโด่งดังแห่งหนึ่งใจกลางเมืองปักกิ่งนามว่าเจี่ยลี่อิง เชฟเจี่ยลี่อิงมีใจรักในการทำอาหารเป็นอย่างมากและฝึกฝนฝีมือของตัวเองอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่เชฟกำลังทำอาหารอยู่ในห้องครัว ตะหลิวในมือที่กำลังทำข้าวผัดจักรพรรดิ์อยู่นั้นก็หลุดออกจากมือก่อนที่ตัวของเชฟจะล้มลงไปกองกับพื้นภายในพริบตา เมื่อคนอื่น ๆ วิ่งกรูกันเข้ามาช่วยปฐมพยาบาลเบื้องต้นก็พบว่าชีพจรของเชฟเต้นแผ่วมาก สักพักหัวใจก็หยุดทำงานไปอย่างเฉียบพลัน เลือดไม่สามารถไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายได้ ทำให้เสียชีวิตลงในที่สุด

….พระตำหนักเย็น… “เจี่ยหลีฟางกุ้ยเฟยเพคะ ฮึก….อย่าทรงเป็นอันใดไปเลยนะเพคะ ฮือ….” นางกำนัลที่เข้ามาเห็นเหตุการณ์รีบกราบทูลฮ่องเต้ให้ส่งหมอหลวงมาถวายการรักษากุ้ยเฟยโดยด่วน และในตอนนี้กุ้ยเฟยยังนอนไม่ได้สติอยู่บนที่นอนในตำหนักเย็น โดยมีนางกำนัลทั้งสองนั่งเฝ้าแนบข้างไม่ห่างมีเสียงร่ำไห้ดังไม่ขาดสาย เนื่องจากนางกำนัลทั้งสองถวายการรับใช้กุ้ยเฟยอย่างใกล้ชิดตั้งแต่ได้รับการแต่งตั้ง

และในที่สุดปาฏิหาริย์ก็มีจริง “แค่ก ๆ” กุ้ยเฟยฟื้นคืนสติขึ้นมา หนึ่งในนางกำนัลรีบรินน้ำให้กับกุ้ยเฟยได้ดื่มในทันที “ทรงดื่มน้ำก่อนนะเพคะเจี่ยหลีฟางกุ้ยเฟย” นางกำนัลป้อนน้ำดื่มให้กับกุ้ยเฟยดื่มหลายอึก พอกุ้ยเฟยได้สติมากขึ้นก็เอ่ยคำขอบคุณออกมา “ขอบใจนะ”

“หม่อมฉันยินดีถวายการรับใช้เพคะเจี่ยหลีฟางกุ้ยเฟย”

“….ว่าไงนะ?” กุ้ยเฟยดีดตัวลุกขึ้นนั่งบนที่นอน แล้วเบิกตาโพลงมองดูรอบข้าง ก่อนจะเปล่งเสียงร้องออกมาลั่นตำหนักเย็น “กรี๊ดดดดดดดด” นางกำนัลและขันทีตกใจจนทำอะไรไม่ถูก รีบเข้ามาดูอาการกุ้ยเฟยอย่างใกล้ชิดกว่าเดิม ลังเลว่าจะไปตามหมอหลวงดีหรือไม่

“เจี่ยหลีฟางกุ้ยเฟยเป็นอะไรไปเพคะ” นางกำนัลกล่าวถามอย่างร้อนใจ กุ้ยเฟยเงียบเสียงลงแล้วมองหน้านางกำนัลกับขันทีอย่างเต็มตากือบหนึ่งเค่อก่อนจะเอ่ยถามออกมาด้วยความงุนงง “พวกคุณเป็นใคร”

“พวกเจ้าทั้งสอง เจี่ยหลีฟางกุ้ยเฟยเป็นอันใดไป ทูลฝ่าบาทและตามหมอหลวงมาตรวจอาการดีหรือไม่” นางกำนัลตงเอ๋อร์ เอ่ยถามนางกำนัลอี๋เหวินและขันทีจางกง ทั้งสามคนมองหน้ากันอย่างคิดหนักเพราะเวลานี้จะทำอันใดก็ติดขัดเนื่องจากกุ้ยเฟยอยู่ในช่วงถูกทำโทษ

“โถ่….เจี่ยหลีฟางกุ้ยเฟย หม่อมฉันสงสารกุ้ยเฟยยิ่งนัก” นางกำนัลตงเอ๋อร์เอ่ยเสียงเศร้า

เจี่ยลี่อิงในร่างกุ้ยเฟยคิดทบทวนเรื่องราวทั้งหมด จิตสุดท้ายของเธอจำได้ว่าเธอนั้นหัวใจวายเฉียบพลัน แล้วเธอมาโผล่อยู่ที่เมืองโบราณแห่งนี้ได้ยังไง หรือว่า….ทะลุมิติ นี่เธอทะลุมิติย้อนกลับมาอยู่ที่เมืองโบราณอย่างที่เคยดูละครในโทรทัศน์อย่างนั้นเหรอ….นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ฝัน….ต้องฝันเป็นแน่

เพี๊ยะ! เพี๊ยะ! “อะ โอ๊ย เจ็บ” เจี่ยลี่อิงตบหน้าตัวเองหวังให้ตื่นจากฝัน แต่กลับรู้สึกเจ็บจริงเสียอย่างนั้น

“เจี่ยหลีฟางกุ้ยเฟยทรงอย่าทำร้ายตัวเองอีกเลยนะเพคะ” นางกำนัลตงเอ๋อร์เห็นว่ากุ้ยเฟยทำร้ายตัวเองอีกแล้วจึงรีบเอ่ยห้าม

ส่วนเจี่ยลี่อิงในร่างกุ้ยเฟยเมื่อรู้ตัวว่าตัวเองทะลุมิติมาเมืองโบราณเป็นแน่ จึงคิดทำใจในช่วงเวลาอันน้อยนิดให้ได้ แล้วเลือกที่จะตามน้ำไปก่อน

“….พวกเจ้าชื่ออะไรกันบ้าง” เจี่ยลี่อิงเอ่ยถามชื่อนางกำนัลและขันทีทั้งสามคนด้วยหัวใจที่เต้นตึกตัก ซึ่งเป็นประโยคเดียวที่คิดได้ในตอนนี้

“หม่อมฉันชื่อตงเอ๋อร์เพคะ”

“หม่อมฉันชื่ออี๋เหวินเพคะ”

“กระหม่อมชื่อจางกงพ่ะย่ะค่ะ”

ผู้รับใช้ทั้งสามผลัดกันพูดชื่อของตัวเองทีละคน เจี่ยลี่อิงมองทั้งสามอย่างพิจารณาว่าควรจะทำตัวเช่นไรต่อจากนี้….คำซ้ำ ๆ อยู่ในหัวว่านี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน

อ่านต่อ

หนังสือที่คุณอาจชอบ

หนังสืออื่นๆ ของ จิรัฐติกาล

ข้อมูลเพิ่มเติม
บท
อ่านเลย
ดาวน์โหลดหนังสือ