“ท่านผู้อำนวยการคะ ทางทีมสำรวจแจ้งว่าคนไม่เพียงพอที่จะเข้าไปเก็บตัวอย่างพันธุ์พืชในป่าเมืองเหอหนานค่ะ” ซูเจิน ที่ได้ยินก็หูผึ่งทันที เธอนั่งทำการอยู่ในห้องวิจัยตั้งแต่เรียนจบ ถึงตอนนี้ก็สี่ปีได้แล้ว ผู้อำนวยที่เข้ามาตรวจงานวิจัยล่าสุด ก็มองไปรอบห้อง เพื่อดูว่ามีใครต้องการเสนอตัวไปทำงานในครั้งนี้หรือไม่ แต่หลายคนที่เขามองไป ต่างหลบสายตาของเขา จะมีใครอยากออกไปเสี่ยงอันตราย เดินป่าขึ้นเขาให้เหนื่อยสู้นั่งทำงานในห้องปรับอากาศเย็นๆ ดีกว่า เมื่อไม่มีใครคิดจะเสนอตัว เขาจึงได้สอบถามหาผู้ที่สมัครใจทันที “มีใครอยากจะอาสาไปไหม” ไว้กว่าความคิด ซูเจินยกมือขึ้น “ฉันค่ะ” เพื่อนสนิทรีบดึงเสื้อของเธอเพื่อจะห้ามปราม “จะบ้าหรอ เธอไม่เคยไปสักครั้ง ไม่รู้หรือว่างานนี้เสี่ยงแค่ไหน” เสียงกระซิบของเสี่ยวชิง เอ่ยลอดไรฟันออกมา เมื่อปีที่แล้ว ที่ทีมสำรวจเดินทางเข้าไปที่ป่าเหอหนาน พื้นป่าที่ไม่อาจสำรวจได้อย่างทั่วถึง สร้างความท้าทายให้เหล่านักพฤกษศาสตร์จากทุกองค์กร แต่ไม่ว่าจะส่งเข้าไปกี่ครั้งก็ไปไม่ถึงป่าชั้นกลางเสียที แม้จะใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเข้าช่วยเพียงได้ ก็สำรวจได้เพียงป่าชั้นนอก แถมยังพาชีวิตคนไปทิ้งอีกนับไม่ถ้วน ปีนี้ทางองค์กรของซูเจิน หยิบโครงการสำรวจป่าเหอหนานขึ้นมาใหม่ แต่กว่าจะหาทีมสำรวจได้ครบคนก็กินเวลาไปหลายเดือน ถึงตอนนี้คนก็ยังไม่พอจนต้องมาถามหาจากทีมวิจัยให้ช่วยเหลือ “คุณอยากไปจริงหรือ” เขาเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง “ค่ะ ฉันอยากลองทำงานนี้” ซูเจินยิ้มออกมา “ได้ อีกสองวัน คุณก็เตรียมตัวให้พร้อม” เมื่อมีคนเสนอตัวแล้ว ผู้อำนวยการก็ออกไปพบทีมสำรวจ เพื่อวางแผนการทำงาน ทั้งยังให้ซูเจินตามเขาไปเข้ารวมการประชุมในครั้งนี้ด้วย “เธอมันบ้าไปแล้ว” เพื่อร่วมงานต่างเดินเข้ามาหาซูเจิน แล้วตำหนิเธอที่กล้ายกมือเสนอตัว “เอาน่า ไว้กลับมาฉันจะเอาเรื่องสนุกมาเล่าให้พวกเธอฟัง” ซูเจินยิ้มหวานออกมา ก่อนที่จะเก็บของแล้วไปเข้าร่วมประชุมกับทีมสำรวจ สองวันต่อมาซูเจินก็แบกกระเป๋าเดินทางมาที่จุดนัดพบ เธอออกเดินทางด้วยรถตู้ขององค์กร พร้อมทีมสำรวจอีกเกือบยี่สิบชีวิต ยังดีที่เธอได้แบกกระเป๋าเพียงใบเดียว หากต้องแบกเต็นท์นอน อาหารด้วย คงได้เป็นภาระของคนอื่นอย่างแน่นอน ภายในป่าเหอหนาน น่ากลัวว่าที่ซูเจินคิดไว้เยอะ พอตะวันตกดิน หากไม่มีแสงไฟที่ทีมสำรวจนำมาด้วยคงจะมืดจนมองไม่เห็นอะไร เสียงแมลงทั้งสัตว์ป่าร้องตลอดทั้งคืน สร้างความหวาดกลัวให้กับคนที่ไม่เคยเข้าป่าสักครั้งอย่างเธอได้อย่างดี ยังดีที่เจ้าหน้าที่ผู้นำทางติดตามมาด้วยอีกหลายคน พวกเขาจึงได้อยู่ผลัดเปลี่ยนเวรยาม เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ป่าเข้ามาถึงตัวพวกเขา หลายวันที่อยู่ในป่า ซูเจินเก็บตัวอย่างพันธุ์ได้หลายชนิด แต่ทั้งทีม ยังเดินไม่หลุดป่าชั้นนอกเลย ยังดีที่อาหารที่เตรียมมาเพียงพอให้พวกเขาอยู่ไปได้อีกหลายวัน “เอ๊ะ” เข้าวันที่เจ็ดของการสำรวจป่า ซูเจิน เห็นดอกไม้แปลกตา ที่ขึ้นอยู่ท่ามกลางพงหญ้ารก เธอจึงเดินห่างจากกลุ่มทีมสำรวจเข้าไปดูทันที เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรได้ ระยะห่างที่อยู่ไกลจากพวกเขา หากร้องเรียกก็ยังได้ยินอยู่ เธอหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมา พร้อมทั้งจดรายละเอียดก่อนที่จะดึงต้นไม้เก็บเข้าถุงเก็บตัวอย่างที่เตรียมมา แต่เมื่อมือของซูเจินสัมผัสไปที่ดอกไม้ เธอก็ต้องตกตะลึง เหมือนมีกระแสไฟวิ่งผ่านปลายนิ้วไปจนทั่วทั้งตัว “โอ๊ยย” เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของซูเจิน เรียกความสนใจให้คนทั้งหมดรีบวิ่งมาทางที่เธออยู่ ซูเจินเห็นเพียงแสงสีขาวที่สว่างวาบไปทั่ว แล้วภาพตรงหน้าของเธอก็ดำมืดลง
ซูเจินตื่นขึ้นอีกครั้ง เพราะเสียงร้องออกมาอย่างเจ็บปวดของผู้หญิงคนหนึ่ง เมื่อเธอลืมตาขึ้น จึงคิดจะเอ่ยปลอบคนที่ร้องไห้อยู่ คงไม่มีใครนอกจากเสี่ยวชิง
เพราะตัวเธอสูญเสียคุณพ่อคุณแม่ไปตั้งแต่ยังเรียนอยู่ในชั้นมัธยมศึกษา แต่เมื่อเห็นภาพตรงหน้า หัวคิ้วของซูเจินก็ขมวดเข้าหากันแน่น
ไม่ ไม่ถูกต้อง ทำไมเธอจึงรู้สึกเหมือนถูกกอดรัดไว้อย่างแน่น ความรู้สึกที่เริ่มจะหายใจไม่ออกทำให้ ซูเจินร้องประท้วงออกมา
“อุแว้” ซูเจินเงียบเสียงลง พร้อมทั้งเสียงของสตรีที่ร้องคร่ำครวญเมื่อครู่ก็หยุดลงเช่นกัน ซูเจินร้องใหม่อีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าเมื่อครู่ไม่ใช่เสียงของเธอ
“อุแว้” ดวงตาของซูเจินเบิกกว้าง เธอรู้แล้วว่าเสียงร้องของเด็กน้อยเมื่อครู่เป็นเสียงร้องของเธอเอง
มันเหมือนจะยิ่งตอกย้ำเข้าไปอีก เมื่อสตรีตรงหน้าเปลี่ยนท่าทางที่กอดเธออยู่ เป็นอุ้มออกดูเพื่อจะดูว่าให้แน่ใจเช่นกัน
สิ่งที่ซูเจินเห็นทำให้นางกรีดร้องออกมาเสียงดัง แข่งกับสตรีที่อุ้มเธออยู่
ในความรู้สึกของเธอ เหมือนเธอกำลังโวยวายอย่างบ้าคลั่ง แต่เสียงที่เปล่งออกมาเป็นเพียงเสียงของเด็กน้อยที่ร้องลั่นปานจะขาดใจ
“ไม่เป็นไรแล้ว ไม่เป็นไรแล้วลูก” เสียงของสตรีตรงหน้าตบห่อผ้าในอ้อมกอด พร้อมทั้งร้องบอกไม่ขาดปาก
แม้ไม่เห็นภาพตรงหน้าแต่ก็พอจะรู้ว่ามีกลุ่มคนจำนวนไม่น้อยที่ยื่นล้อมรอบตัวสองแม่ลูกอยู่ เพราะฟังจากเสียงที่พูดคุยกระซิบกระซาบไม่ขาดสาย
“ต้าหลาง เจ้าก็เห็นด้วยกับภรรยาของเจ้ารึ!!!” เสียงของชายวัยกลางคนตวาดออกมาเสียงดัง
“ท่านผู้นำหมู่บ้าน ข้า ข้า” บุรุษที่ชื่อต้าหลางพูดไม่ออก ได้แต่พูดตะกุกตะกักฟังไม่รู้เรื่อง
“ข้าเองท่านพี่ ข้าแต่งนางให้อาเต๋อ ไม่คิดว่าเมื่อสามีไปรบนางจะขี้เกียจไม่ทำงานในเรือน ในไร่ แล้วผู้ใดจะเลี้ยงนางได้เล่า”
“เหอะ เจ้าลืมที่รับปากอาเต๋อไว้อย่างนั้นหรือ”
“รับปากอันใด ข้ามิได้รับปาก อย่างไรในเรือนก็ต้องมีบุรุษไปร่วมรบ เป็นอาเต๋อก็ถูกต้องแล้ว หรือท่านต้องการให้ต้าหลางไปแทนบุตรชายของเขาเล่า”
ซูเจินอยากจะยกมือขึ้นปิดหู เพราะรำคาญเสียงแหลมของสตรีที่พูดขึ้นไม่น้อย แต่ก็ไม่อาจจะทำได้ เพราะมือที่เล็กแล้วยังถูกห่อไว้แน่นอีกด้วย
“ไร้เหตุผลสิ้นดี ตอนที่อาเต๋อลงชื่อ สินเดิมของมารดาเขายังมีอยู่มาก พวกเจ้าก็หน้าหนา ไม่ยอมนำมาให้เขาใช้จ่ายให้ทางการ เพื่อจะได้ไม่ต้องเข้าร่วมกองทัพ มาตอนนี้เจ้าจะบอกรึว่าได้พูด” ผู้นำหมู่บ้านยกนิ้วชี้ไปที่ต้าหลาง ที่หลบอยู่ด้านหลังของนางไห่ซื่อ
“หากพวกเจ้าจะไล่อาเม่ยออกจากเรือนก็ย่อมได้ แต่สินเดิมของมารดาอาเต๋อต้องให้นางติดตัวไปด้วย”
“ไม่ได้ ข้าไม่ยอม เงินที่เป็นสินเดิมของนางมีมากสักเพียงใด ใช้เลี้ยงดูอาเต๋อมาจนเติบใหญ่ ทั้งยังแต่งภรรยาให้เขาก็หมดลงแล้ว” นางไห่ซื่อกรีดร้องออกมาอย่างไม่ยอม
“หึ จริงอย่างที่นางพูดหรือไม่ต้าหลาง” ผู้นำหมู่บ้านเอ่ยถามเสียงเข้ม
“จะ จริงขอรับ” ต้าหลางเอ่ยออกมาด้วยเสียงอันเบา เขาไม่กล้าแม้แต่จะมองสบตาของชาวบ้านที่มองมาทางเขา
“ดีดี อาเม่ย เจ้าจะเอาอย่างไร”
“ข้า ข้า ขอเพียงสินเดิมที่ท่านแม่ยึดไว้คืนก็พอเจ้าค่ะ” นางเอ่ยออกอย่างหวาดกลัว
เพราะสูญเสียบิดามารดาไปตั้งแต่เยาว์วัย อาศัยอยู่กับท่านปู่ท่านย่า แต่ก่อนที่นางจะออกเรือนได้สามปี ทั้งคู่ก็มาสิ้นใจทิ้งนางไว้เพียงลำพัง
แต่ยังดีที่ทั้งสองทิ้งเงิน และที่นาไว้ให้นางใช้จ่ายและทำกินอย่างไม่ขัดสน ตอนที่นางแต่งเข้าเรือนตระกูลชุยมีสินเดิมติดตัวมาถึงหนึ่งร้อยตำลึงเงิน ทั้งยังที่นาอีกสิบหมู่ โฉนดเรือน ทั้งหมดล้วนถูกนางไห่ซื่อยึดไปทั้งสิ้น
ที่นาของนางที่ใช้ปลูกข้าว เงินที่ได้จากการขายผลผลิตล้วนแต่ถูกเก็บเข้ากองกลางจนหมด ทั้งที่ข้าวก็ปลูกได้มาก แต่นางกับชุยเต๋อกลับได้กินเพียงวันละสองมื้อ หากไม่ทำงานก็จะได้กินเพียงมื้อเดียว
แต่คนทั้งเรือนได้กินเต็มที่สามมื้อ นางทนทุกข์ในตระกูลชุยถึงสองปี หากไม่เป็นเพราะสามีของนางคอยปลอบใจและทำงานหนักแทนนาง นางคิดว่านางคงได้ตายตั้งแต่ในปีแรกที่แต่งเข้ามาแล้ว
ยามที่นางตั้งครรภ์ยังต้องทำทั้งงานในไร่และในเรือน สองวันมานี้ เพราะบุตรสาวที่เพิ่งคลอดได้เพียงแค่ห้าเดือนล้มป่วย นางจึงไม่ได้ไปที่นา อยู่ดูแลบุตรสาว นางไปขอเงินแม่สามีเพื่อพาบุตรสาวไปหาหมอ นางไม่ยอมให้
ที่เกิดเรื่องมาถึงขั้นตัดขาดในวันนี้ เพราะจิ่วเม่ยโวยวาย เมื่อเห็นว่าบุตรสาวของนางหายใจรวยริน แต่พ่อสามีก็เพียงปรายตามอง ทั้งแม่สามียังด่าทอนางไม่ยอมให้เงินพาบุตรสาวไปหาหมอ
“ข้าไม่ได้เอาไป จะมีคืนได้อย่างไร” ไห่ซื่อเชิดหน้าขึ้น
“เหอะได้ เช่นนั้น ข้าจะไปแจ้งทางการให้จัดการเรื่องนี้”
เมื่อเห็นว่าผู้นำหมู่บ้านเอาจริงและเริ่มจะเดินกลับไปที่เรือน ต้าหลางก็ดึงแขนเสื้อของไห่ซื่อ และส่งสายตาให้นางยอมคืนไป
“ช้าก่อน ข้าจะลองไปหาดูว่ามีหรือไม่” นางไห่ซื่อรีบร้อนกลับเข้าไปในเรือนของนาง ก่อนไปยังส่งสายตาอาฆาตมามองจิ่วเม่ยอีกด้วย
แต่มีหรือที่นางจะยอมคืนทั้งหมดที่ยึดมาได้ นางไห่ซื่อนำเงินเพียงสามสิบตำลึงเงินและโฉนดเรือน โฉนดที่ดินมาโยนให้จิ่วเม่ยเท่านั้น
ป้าหวงภรรยาผู้นำหมู่บ้านเดินเข้ามาตรวจดูสินเดิมของจิ่วเม่ยก็ร้องโวยวายออกมา
“รังแกเกินไปแล้ว เจ้าคืนมาเพียงแค่สามสิบตำลึงได้อย่างไร”
“ได้ เช่นนั้นก็นำเรื่องไปแจ้งทางการเสีย” เสียงชาวบ้านเริ่มด่าทอสองสามีภรรยาออกมา
ต้าหลางที่ทนอับอายไม่ไหว วิ่งเข้าไปในเรือนแล้วนำเงินออกมาให้จิ่วเม่ยจนครบ
“หมดเงินแล้วอย่าได้มาร้องขอความช่วยเหลือจากข้าอีก” ไห่ซื่อกรีดร้องออกมา
ที่ต้าหลางกับไห่ซื่อยอมตัดขาดกับสองแม่ลูกง่ายเพียงนี้ เพราะข่าวของชุยเต๋อขาดหายไปได้เกือบสองเดือนแล้ว ทั้งสองจึงคิดว่าชุยเต๋อตายตกในสนามรบไปเรียบร้อยแล้ว
จึงไม่คิดอยากจะเก็บสองแม่ลูกไว้ในเรือนให้เปลืองข้าวเปลืองน้ำ ระหว่างที่กำลังคิดหาวิธีเพื่อขับไล่ ทั้งยังยึดสินเดิมไว้ด้วย จิ่วเม่ยที่สงบปากสงบคำก็โวยวายเรื่องบุตรสาวของนางออกมาเสียก่อน
ชาวบ้านที่ได้ยินเรื่องที่นางสาธยายความเลวร้ายตลอดสองปีที่ได้รับออกมาก็รีบไปเรียกผู้นำหมู่บ้าน ด้วยเห็นนางไห่ซื่อคว้าไม้ทุบตีจิ่วเม่ยอยู่ด้วย
ผู้นำหมู่บ้านรีบเขียนหนังสือตัดขาดทันที พร้อมทั้งเขียนของชุยเต๋อออกมาด้วยอีกฉบับ เขาจึงเชื่อว่าคนดีเช่นชุยเต๋อจะไม่ตายตกไปอย่างง่ายดายแน่นอน
บทที่ 1 เป็นเพียงเด็กทารก
10/03/2025
บทที่ 2 รสชาติก็ไม่ได้แย่
10/03/2025
บทที่ 3 เหล่าแมลงเต็มตัวนาง
10/03/2025
บทที่ 4 ถูกเสี่ยวมี่จัดการ
10/03/2025
บทที่ 5 ข่าวของซูเต๋อ
10/03/2025
บทที่ 6 ท่านพ่อกลับมาแล้ว
10/03/2025
บทที่ 7 สหายของบุตรสาว
10/03/2025
บทที่ 8 เรื่องนี้มีผู้ใดรู้หรือไม่
10/03/2025
บทที่ 9 หลันฮวา
10/03/2025
บทที่ 10 ถ้ำกลางป่า
10/03/2025
บทที่ 11 เข้าเมืองครั้งแรกของซูเจิน
10/03/2025
บทที่ 12 เท่าใดถึงเหมาะสม
10/03/2025
บทที่ 13 พี่ชายเจ้ามิใช่รึ
10/03/2025
บทที่ 14 ซื้อที่ภูเขา
10/03/2025
บทที่ 15 มากถึงเพียงนี้
10/03/2025
บทที่ 16 ต้าซือชรา
12/03/2025
บทที่ 17 เจ้ายังเป็นบุตรชายของข้า
12/03/2025
บทที่ 18 ผักตระกูลซู
12/03/2025
บทที่ 19 เจ้าหน้าที่กรมโยธา
12/03/2025
บทที่ 20 แจกจ่ายข้าว
12/03/2025
บทที่ 21 เรียกตัวเข้าเมืองหลวง
12/03/2025
บทที่ 22 หาคนช่วยงานมารดา
12/03/2025
บทที่ 23 ขุนนางขั้นแปด
12/03/2025
บทที่ 24 ส่งฉู่จิ้งไปเรียน
12/03/2025
บทที่ 25 ต้องหาแหล่งน้ำเพิ่ม
12/03/2025
บทที่ 26 ขุดหาตาน้ำ
12/03/2025
บทที่ 27 อีเตอร์
12/03/2025
บทที่ 28 ที่มาของเงินชุยฟง
12/03/2025
บทที่ 29 เหตุการณ์ประหลาด
12/03/2025
บทที่ 30 ไม่เชื่อว่าเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา
12/03/2025
บทที่ 31 สักวันก็ต้องรู้อยู่ดี
12/03/2025
บทที่ 32 หวังกงกงเดินทางมารับด้วยตนเอง
12/03/2025
บทที่ 33 เดินทางเข้าเมืองหลวง
12/03/2025
บทที่ 34 มีปู่เพิ่มอีกคน
12/03/2025
บทที่ 35 เยี่ยนเฟยหยาง
12/03/2025
บทที่ 36 ถูกส่งไปค่ายทหาร
12/03/2025
บทที่ 37 เอาเสบียงออกมาแจก
12/03/2025
บทที่ 38 ความโหดร้ายของเมืองซีจวง
12/03/2025
บทที่ 39 แจกเสบียงปะทังชีวิต
12/03/2025
บทที่ 40 ตกหลุมพราง
12/03/2025
หนังสืออื่นๆ ของ l3oonm@
ข้อมูลเพิ่มเติม