Login to MeghaBook
icon 0
icon เติมเงิน
rightIcon
icon ประวัติการอ่าน
rightIcon
icon ออกจากระบบ
rightIcon
icon ดาวน์โหลดแอป
rightIcon
เพลิงรักร้อนซ่อนรักร้าย

เพลิงรักร้อนซ่อนรักร้าย

ปูริดา

5.0
ความคิดเห็น
29.9K
ชม
102
บท

เหตุของความแค้น เป็นผลให้เขาทำทุกอย่างเพื่อแก้แค้น! “ว้าว... มีสาวสวยแล่นมานอนให้ทับถึงที่เลยวุ้ย” หยอกกระเซ้าอีกฝ่ายที่หน้าแดงแป๊ด ดวงตาเขียวปั้ดด้วยความโกรธและแค้น “แหม...อยากมีอะไรกับฉันมากจนรอไม่ไหวเลยหรือกระต่าย ถึงได้แล่นมาหากันแบบนี้เลยน่ะ แต่ตอนนี้ฉันยังไม่มีอารมณ์เลย ถ้าอยากให้ฉันบำบัดความต้องการให้ เธอคงจะต้องยั่วยวนฉันมากๆ หน่อยละยาหยี” เพราะต้องการปกป้องพี่สาวและช่วยเหลือผู้มีพระคุณทำให้เธอยอมตกอยู่ในเงื้อมือศัตรู จะเจ็บปวดอับอายแค่ไหนไม่หวั่น เมื่อถึงวันจะเอาคืนให้สาสม! “อะไรที่ผ่านมาแล้ว ก็ปล่อยให้มันผ่านไป ไม่เก็บเอามาใส่ใจให้หงุดหงิดรำคาญ ไม่อยากจะชายตาเหลียวแล แล้วยิ่งผู้ชายอย่างคุณ...” กวาดตามองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า “หลงตัวเองก็เท่านั้น ปากก็จัดยังกับอมสุนัขเน่าเข้าไป ให้พร้อมแถมขาวสารสักสิบกระสอบ ฉันยังไม่เอาเลยค่ะ ไม่รู้จะเอาไปทำไมให้มันเกะกะสายตา”

บทที่ 1 ตอนที่ 1

“พ่อล่ะครับแม่”

ไม่ทันจะได้หย่อนก้นลงนั่งบนโซฟาใกล้กับมารดา เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ซึ่งแม้ตอนนี้จะยังโตไม่เต็มวัยแต่สัดส่วนความสูงก็ปาไปถึง 160 ซม. อกไหล่กว้างผึ่งผายและมีเค้าว่าหากโตเต็มวัยจะสูงและใหญ่กว่านี้อีก เค้าหน้าตาคมสันด้วยคิ้วหนาเป็นปื้นเส้นขนเรียงกันอย่างสวยงามตวัดโค้งขึ้นด้านบนเล็กน้อย ดวงตาสีสนิมคมกริบเหมือนกับพญาเหยี่ยวรับกับจมูกโด่งได้รูปและริมฝีปากหนาหยักเอ่ยถาม เมื่อกวาดสายตาไปทั่วห้องแล้วก็ยังไม่เห็นบิดาที่นัดกับเขาไว้ว่าวันนี้จะพาไปซื้ออุปกรณ์สำหรับหัดยิงปืน ตวัดสายตามองไปยังนาฬิกาผนังแบบโบราณด้วยลูกตุ้มห้อยแกว่งไปมาบอกเวลายามบ่ายย่ำเกือบจะเย็นแล้ว

“มีอะไรหรือเปล่าครับแม่”

เด็กหนุ่มถามอย่างสงสัย ขมวดคิ้วเข้มเข้าหากัน เมื่อเห็นสีหน้าของมารดาดูไม่สู้ดีนัก หน้านวลแม้จะล่วงเลยวัยห้าสิบปีไปแล้วแต่ยังสวยเปล่งปลั่งเหมือนยังมีวัยเพียงแค่สามสิบปลายๆ เท่านั้น ในวันนี้มีริ้วรอยของความกังวลและขลาดกลัว ข้างขมับมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นมา แม้จะแอบยกมือขึ้นซับแบบเลี่ยงๆ ไม่ให้เขาทันจับพิรุธได้ แต่มันกลับผุดขึ้นมามากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว

ดูเหมือนว่ามารดาจะเคร่งเครียดวิตกกังวลจนไม่อาจปกปิดเขาได้ ท่าทางการนั่งที่ลุกลี้ลุกลนหันรีหันขวางพลางแอบปรายสายตาไปมองห้องทำงานของบิดาซึ่งอยู่มุมขวาของบ้านที่ตอนนี้มีเสียงทะเลาะของผู้ชายสองคนดังออกมาให้คนนอกห้องได้ยินยิ่งทำให้เด็กหนุ่มสนใจมากขึ้น

เกิดอะไรขึ้น…ในใจเด็กหนุ่มเกิดคำถาม ทั้งที่ห้องทำงานของบิดานั้นปิดสนิท แต่คงจะเป็นเพราะคนที่อยู่ภายในห้องนั้นกำลังโกรธอย่างรุนแรง จนถึงกับระเบิดอารมณ์เอากับข้าวของในห้องอยู่บ่อยครั้งทำให้เสียงเล็ดลอดออกมาจนคนที่อยู่ด้านนอกได้ยิน

รอฟังคำตอบอยู่เป็นนาน แต่สุดท้ายก็ยังไม่ได้ยินเสียงจากปากคนเป็นแม่ ชินกฤตลุกขึ้นจากจุดเดิมที่นั่งอยู่ไปหย่อนสะโพกลงใกล้ๆ เอื้อมไปจับมือเล็ก พอสัมผัสก็รับรู้ถึงความเย็นจนเหมือนกับจับก้อนน้ำแข็ง

“แม่ครับ…มีอะไรหรือเปล่าครับ” ชินกฤตถามเสียงอบอุ่น บีบกระชับมือมารดาเบาๆ ก่อนวงแขนแข็งแกร่งจะเปลี่ยนเป็นโอบรอบกายเล็ก หันหน้าไปยังห้องทำงานของบิดาที่ยังคงมีเสียงดังเล็ดลอดออกมาไม่ขาด แต่จับคำพูดให้ปะติดปะต่อเป็นประโยคไม่ได้

“แม่ครับ” ชินกฤตเอ่ยเรียกชื่อมารดาดังๆ เพราะแม้เขาจะใกล้ชิดถึงเนื้อถึงตัวแล้ว แต่ก็ยังไม่มีเสียงหรือปฏิกิริยาตอบรับจากคนเป็นแม่ ทำให้เขารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ค่อยดี หลายครั้งหลายคราในช่วงนี้ดูเหมือนจะมีสิ่งผิดปรกติเกิดขึ้นในบ้าน แต่แม่และพ่อพยายามปกปิดเขา พยายามปั้นหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสต่อหน้าเขา ชวนพูดชวนคุยทำอะไรให้เป็นปกติ แต่ยามเผลอจะหลุดสีหน้าทุกข์ระทม ในดวงตาเหมือนกำลังหนักอกหนักใจอะไรสักอย่าง ตามรอบดวงตาดำคล้ำเหมือนกับคนอดหลับอดนอน บางครั้งบางคราวยังจะมีเสียงพูดงึมงำหลุดออกมาจากปากบ่อยครั้ง

พ่อกับแม่มีอะไรปิดบังเขาอยู่ใช่ไหม?

แล้วตอนนี้แม่ก็ยังพยายามหลบสายตาเขาด้วย แต่เพราะเป็นห่วงบิดาที่อยู่ในห้องทำงาน แม่เลยเผลอเหลือบมองอย่างไม่ตั้งใจอยู่บ่อยครั้ง

มีใครอยู่ในนั้นกับบิดา เป็นคนที่แม่ไม่อยากให้มาเยี่ยมบ้านใช่ไหม?

ในสมองเขาล้วนแต่เต็มไปด้วยคำถามแต่หาทางออกไม่ได้ เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างถูกปกปิดไว้ไม่ให้เขาไปยุ่ง

“แม่ครับ มีอะไรหรือเปล่าครับ” ชินกฤตถามซ้ำอีกครั้งและเขย่าร่างบอบบาง พอให้แม่รับรู้ว่ามีเขานั่งอยู่ด้วย

“ปะ...เปล่าลูก ไม่มีอะไร” เอรียาสะดุ้งรีบตอบปฏิเสธอย่างคนมีอาการลุกลี้ลุกลน หลบหน้าหลบตาลูกชายที่มองมาอย่างคาดคั้นเหมือนจะรับรู้สึกสิ่งผิดปรกติ

“หนูมาตั้งแต่เมื่อไหร่ลูก” คนเป็นมารดาเอ่ยปากถามไปโดยใบหน้ายังก้มมองพื้น มีเพียงสายตาแอบเหลือบขึ้นมองชินกฤตและประตูห้องทำงานสามีด้วยสีหน้าหม่นหมองเศร้าเป็นระยะ

“ไม่จริง...แม่ต้องมีอะไรปิดผมแน่เลย” ชินกฤตตอบกลับอย่างไม่เชื่อ เพราะความที่เขาอยู่ใกล้ชิดกับบิดามาก แล้วยังถูกสอนให้เป็นคนช่างสังเกต ละเอียดถี่ถ้วนในทุกเรื่องที่ทำและมีความรับผิดชอบ แม้จะยังเป็นเด็กแต่ความคิดความอ่านเป็นผู้ใหญ่กว่าอายุ อีกทั้งความเฉลียวฉลาดที่มีทำให้หนุ่มน้อยสามารถมองออกได้ว่าสถานการณ์ภายในบ้านตอนนี้ไม่สู้จะปกติสุขนัก ยิ่งได้เห็นใบหน้ามารดาที่ซีดเผือดจนแทบจะไม่มีสีเลือดหลงเหลืออยู่ก็ยิ่งให้เกิดความอยากรู้ระคนกังวลใจขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

“ผมไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะครับแม่ ทำไมมีอะไร ทำไมถึงไม่บอกให้รู้บ้าง จะได้ช่วยๆ กันแก้ไข” เขารับรู้สิ่งผิดปรกตินี้มาตั้งแต่วันที่บิดาเริ่มจะมีอาการป่วยกระเสาะกระแสะแล้วล่ะ พยายามจับพิรุธ คอยเลียบเลียงเคียงถามก็ตั้งหลายครั้งหลายหนแต่บิดาและมารดาก็ปิดปากเงียบสนิท

น้ำเสียงนุ่มทุ้มและอบอุ่นเอ่ยออกจากปากเขามันคงจะซึมเข้าไปถึงหัวใจของแม่ ใบหน้าซีดเหมือนกระดาษถึงได้ดูใสขึ้นแม้จะไม่มากก็ตาม รอยยิ้มละมุนละไมอบอุ่นเคลือบบนริมฝีปากสีชมพูจางๆ ระเรื่อ สัมผัสจากมือและแขนลำสั่นโอบรัดรอบกายอรชร เรียกน้ำตาอุ่นๆ เอ่อล้นคลอเบ้าและหยดลงมาจากสองเบ้าตาของแม่

สิ่งที่เขาเห็นและรู้สึกในตอนนี้คือ แม่พยายามอดทนเก็บกลั้นเก็บงำอารมณ์ทุกอย่างเอาไว้ภายใน ไม่ว่าเหตุการณ์จะเลวร้ายสักแค่ไหน แม่และพ่อไม่เคยให้ลูกคนนี้ได้ล่วงรู้

เอรียาละสายตาจากบานประตูห้องทำงานสามีมาคลี่ยิ้มหวานๆ เห็นเขี้ยวทั้งสองฝั่งของมุมปาก ประกายในดวงตายังคงอ่อนโยนและเย็นใจอยู่เป็นเนืองนิตย์ให้ลูกชาย

“ไม่มีอะไรจริงๆ ลูก” คนเป็นแม่ตอบปฏิเสธเสียงนุ่ม บีบกระชับตอบกลับมือใหญ่เบาๆ

“พ่อของลูกเก่ง แม่เชื่อไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พ่อจะต้องจัดการและพาเราสองคนแม่ลูกผ่านพ้นวิกฤติไปได้จ้ะ” เอรียาบอกออกไปด้วยน้ำเสียงมั่นคงด้วยความมั่นใจในความสามารถของสามีผู้อันเป็นที่รัก แต่พูดยังไม่ทันจะขาดคำดี…

ปัง!!!

สองแม่ลูกสะดุ้งรีบหันไปมองประตูห้องทำงานของผู้เป็นประมุขของบ้านที่เปิดออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยพร้อมกับเสียงที่ดังลั่นสนั่นสะเทือนไปทั้งบ้าน

“ผมให้โอกาสพี่แล้วนะ แต่พี่เลือกที่จะปิดทางนั้นเอง ถ้าเกิดอะไรร้ายแรงกว่านี้พี่ก็เตรียมตัวรับให้ดีแล้วกัน แล้วจะมาโทษว่าผมใจจืดใจดำไม่ได้!”

ชายวัยกลางคนในชุดสูทสากลมาดเนี้ยบตั้งแต่ศีรษะ แม้พายุลมจะแรงแต่ผมบนศีรษะทุยก็ยังไม่แม้แต่จะกระดิก เสื้อผ้าเรียบและหรูถ้าไปยืนใกล้ๆ คงจะถูกกลีบของผ้าบาดเข้าไปในเนื้อให้เป็นแผลเลือดไหล หันไปตวาดเสียงแข็งกร้าวและดุร้ายใส่คนยืนนิ่งเฉยเหมือนกับไม่ยินดียินร้ายอะไรเลย ด้วยความโกรธกรุ่นระคนหงุดหงิด ช่วยคิดหาทางออกให้ทุกทางแล้ว แต่คนที่เขานับถือเสมือนพี่ชายคนหนึ่งก็ยังดื้อรั้นดันทุรังไม่ยอมรับรู้อะไรเลยสักนิด

อ่านต่อ

หนังสือที่คุณอาจชอบ

หนังสืออื่นๆ ของ ปูริดา

ข้อมูลเพิ่มเติม
บท
อ่านเลย
ดาวน์โหลดหนังสือ