ด้วยบุคลิกอันแสนเฉิ่มเชยของ "ปลอบขวัญ" ครูสาววัยยี่สิบสี่ปี ทำให้หญิงสาวผู้ไม่เคยมีเรื่องสามีและลูกอยู่ในสมองแม้แต่น้อย แต่เพียงคืนเดียวที่เธอตัดสินใจออกไปเที่ยวผับตามคำชวนของเพื่อนสาว จู่ๆ ก็ถูก "อุ้ม" ไปขังยังคฤหาสน์หลังใหญ่เพื่อเป็นเจ้าสาวของผู้ชายที่เธอไม่เคยเห็นหน้า แถม "ได้สามีอย่างไม่เต็มใจ" ไม่ทันข้ามคืน คนที่ไม่คิดจะมีลูกผัวอย่างเธอ ก็กลายเป็น "คุณยายยังสาว" เสียแล้วนี่มันเกิดเรื่องประหลาดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่ เมื่อ "รชานนท์ อัศววินันทร์" นักธุรกิจหนุ่มผู้มีอิทธิพลและความอำมหิตรู้ว่าปลอมขวัญไม่ได้มีดีแค่ไหวพริบและความฉลาด แต่ยัง "แสบ" ตาใสๆ แม้จะไม่ชอบมีเมียแบบตกกระไดพลอยโจนสักเท่าไร แต่เพื่อไม่ให้เสียการปกครอง เขาก็ต้องใช้สัญชาตญาณความหื่นในตัวกำราบเธอเสียให้ระทวยตั้งแต่วันแรก จะได้รู้ว่า ‘ของแรงจริง’ แค่ทีเดียวก็ ‘ติด’ แล้วไม่มีวันปล่อยให้ลูกเมียอยู่ห่างเตียงแม้แต่คืนเดียว ......... “ฉันบอกให้ปล่อยไงเล่า” นิ้วโป้งกับนิ้วชี้ประกบหมับที่ขอบหูของเขาก่อนจะบิดเต็มแรง “โอ๊ย ! ” ชายหนุ่มอุทาน เหลือบตามองเธออย่างโมโห ก่อนจะเคลื่อนใบหน้าขึ้นสูง แล้วงับติ่งหูเธอ เลียไล้เบาๆ ครั้งแรกเธอจั๊กจี้ แต่นาทีต่อมากลับเริ่มเคลิบเคลิ้ม ลมหายใจอุ่นจัดเป่ารดพวงแก้มนุ่ม พร้อมเสียงกระซิบที่ทำเอาเธอสะท้านไปทั้งตัว “ว่าไงแมวพยศ คุณจะทำร้ายผมตรงไหนอีก คุณทำตรงไหน ผมก็จะทำคุณตรงนั้น”
“แม่มณี แม่มณีจ๋า” เสียงบุรุษแว่วหวานเพรียกหานางอันเป็นที่รักผ่านทางกระจกฉลุลายโบราณซึ่งเป็นทางเชื่อมต่อระหว่างโลกปัจจุบันและอดีต
“คุณหลวงเจ้าคะ” หญิงสาวแสนสวยก้าวผ่านกระจกสู่อดีตกาลสมัยรัชกาลที่ห้า เพื่อไปหาเนื้อคู่ข้ามภพ
ภาพในละครตัดลงเพียงเท่านั้น แล้วมีโฆษณาคั่น ระหว่างนี้ปราจีนซึ่งนั่งกินข้าวโพดคั่วอยู่บนพื้นปูเสื่อน้ำมันหน้าจอโทรทัศน์ใหญ่ได้หันมาคุยฟุ้งกับเพื่อนสาวซึ่งนั่งตรวจการบ้านนักเรียนไปพลางๆ อยู่บนโซฟา
“แกว่าไหมขวัญ คุณหลวงนี่ล้อหล่อเนอะ ทำยังไงฉันถึงจะได้ย้อนเวลากลับไปเจอผู้ชายหล่อคลาสสิกแบบนี้บ้าง”
“ไร้สาระ” ปลอบขวัญเบ้ปาก ขณะตวัดปลายปากกาขีดเครื่องหมายถูกผิดลงบนกระดาษด้วยความชำนาญ ปากก็พูด “หนังแบบนี้ก็ช่างมีคนดูอยู่ได้เนอะ จะเป็นไปได้ยังไงกันที่จะมีคนสามารถเจาะเวลาไปหาอดีตได้”
“ก็นี่มันละครนี่ยะ เขาให้ดูเพื่อความบันเทิง แกจะมาซีเรียสถามหาความเป็นจริงเป็นเท็จไปทำไม” ปราจีนค้อน
“ฉันไม่ชอบดูละครน้ำเน่า น่าขำจริงๆ อดีตกับปัจจุบันจะมาเชื่อมต่อกันได้ยังไง”
“งั้นแกก็อยู่ในโลกความเป็นจริงที่แสนน่าเบื่อไปเถอะย่ะยัยขวัญ วันๆ เอาแต่สอนหนังสือ รบกับเด็กซนๆ ทะเลาะกับผู้ปกครองบางคนที่เลี้ยงลูกหลานยังกับไข่ในหิน ผัวแกก็ไม่มี ลูกก็ไม่มี แถมยังพกงานกลับมาทำต่อที่บ้านอีก”
“ไม่เห็นจะน่าเบื่อตรงไหน” หญิงสาววางปากกาในมือลง ลอยหน้าลอยตา “ไม่มีผัวสิดีจะได้ไม่มีภาระ อีกอย่างนะ แค่ดูแลลูกคนอื่นในโรงเรียน ฉันก็เหนื่อยพอแล้ว ไม่คิดจะมีลูกเป็นของตัวเองให้เหนื่อยเพิ่มหรอกย่ะ ชีวิตโสดแสนเสรี จะกินอะไร จะนอนเมื่อไหร่ หรือจะออกแรดกลางคืนก็ไม่มีใครว่า แกลองคิดดูสิว่าถ้าแต่งงานแล้วจะมีโอกาสแบบนี้เหรอ”
“ต๊าย!” ปราจีนห่อปาก ตาโต ยัดข้าวโพดเข้าปากทั้งกำมือ “เพิ่งเคยได้ยินนี่แหละ ไม่อยากแต่งงานเพราะกลัวอดแรด ว่าแต่คืนนี้ไปแรดที่ไหนกันดีจ๊ะ ฉลองที่พรุ่งนี้เป็นวันอาทิตย์”
“ผับไง ดีไหม”
“ไม่กลัวเด็กนักเรียนเอาไปพูดถึงเหรอ”
“นอกเวลาราชการนี่จ๊ะ จะกลัวอะไร มีกฎหมายข้อไหนห้ามครูเที่ยวกลางคืนบ้างละ”
“อะ โอเค เดี๋ยวฉันดูละครจบก่อนแล้วจะกลับบ้าน ตอนดึกๆ สักห้าทุ่มจะมารับนะจ๊ะ”
บทสนทนายุติลงเพียงเท่านั้นเมื่อโฆษณาถูกตัด ละครของนักประพันธ์ยอดฝีมือกำลังโลดแล่นบนหน้าจอ พาให้ปราจีนเคลิบเคลิ้มเลิกให้ความสนใจเพื่อนไปเลย
ปลอบขวัญส่ายหน้า หยิบสมุดเล่มต่อไปมาตรวจ พลางเหลือบตามองโทรทัศน์เป็นระยะ อดคิดไม่ได้ว่า
‘หากการเดินทางข้ามกาลเวลามีจริง ฉันอยากรู้อนาคตมากกว่าอดีต แต่ก็อย่างว่านั่นละ... เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องเพ้อฝันและไม่มีวันเกิดขึ้นจริงอย่างแน่นอน!’
ช่วงดึกของคืนนี้ ปราจีนมารับปลอบขวัญตรงเวลาเป๊ะ ไม่คลาดเคลื่อนแม้แต่นาทีเดียว
ปราจีนสวมเสื้อแขนกุด กระโปรงสั้นเพียงคืบ แต่งหน้าจัดจ้าน แต่กลับไม่อาจเทียบรัศมีเพื่อนสนิทที่สลัดคราบอาจารย์แล้วแปลงโฉมเป็น ‘ผีเสื้อราตรี’ ได้อย่างแนบเนียน...
เริ่มจากผมยาวที่ดัดลอนแผ่กระจายเต็มแผ่นหลัง ใบหน้าปราศจากแว่นสายตา ตกแต่งรูปหน้าด้วยเครื่องสำอางโทนสีชมพู ริมฝีปากสีแดงเจิดจ้า สวมชุดเกาะอกอวดลำคอระหงและไหล่ลาดเนียน ตัวเสื้อรัดและเล็กจนขอบผ้าลอยอยู่เหนือสะดือเผยให้เห็นหน้าท้องแบนราบนวลเนียน กระโปรงสั้นเหนือเข่าเล็กน้อยแต่ผ่าข้างอวดปลีขาเรียวสวย
สถานเริงรมย์คึกคัก นักท่องราตรีดื่ม กิน เต้น อย่างเมามันส์ ปลอบขวัญโยกตัวตามจังหวะดนตรี มือหนึ่งถือแก้วเหล้า ส่วนอีกมือโบกสะบัด
ปราจีนปวดปัสสาวะ ระหว่างไปห้องน้ำ เธอเห็นผู้ชายคนหนึ่งสวมสูทสีดำ มีผู้ติดตามกล้ามโตเดินตามสองคน
เธอนึกขำ มาเที่ยวผับ แต่ใส่สูทเต็มยศ ยังกับมาเฟีย... แต่คงเป็นมาเฟียที่หล่อที่สุดในโลก
หลายต่อหลายคนหันไปมองชายหนุ่มผู้เดินนำหน้าคนติดตาม แน่นอนว่าลักษณะการแต่งกายของเขาอาจเป็นจุดเด่น แต่สิ่งที่เด่นสุดคือใบหน้าอันหล่อเหลา ที่ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้เห็นคงยากที่จะละสายตาไปทางอื่นได้
แวบหนึ่งที่เขาปรายตามาทางเธอ เธอจึงส่งยิ้มให้ แล้วก็ต้องยิ้มเก้ออยู่อย่างนั้น เมื่อเขามองเมินไปทางอื่น เสมือนว่าเธอไร้ตัวตน “ผู้ชายอะไรหล่อแต่หยิ่ง น่าให้ไปเจอยัยขวัญจริงๆ รายนั้นเกลียดคนแบบนี้ที่สุด” ปราจีนบ่นก่อนจะเลิกให้ความสนใจบุรุษแปลกหน้าไว้เพียงเท่านั้น แล้วเดินเข้าห้องน้ำไป จึงไม่มีโอกาสรู้เลยว่าเพื่อนสาวกำลังเจอกับอะไร
“ว้าย!” ปลอบขวัญอุทานเมื่อเธอถอยหลังไปชนใครคนหนึ่งเข้าเต็มแรง แก้วเหล้าในมือกระฉอกเกือบหมด น้ำเมาราดรดอกเธอ และบางส่วนได้กระเซ็นใส่ชายคนที่เธอพลั้งไปชน
“ขอโทษค่ะ ขอโทษ” หญิงสาวผงกศีรษะขึ้นลง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้าเต็มตา
เธอเบิกตากว้างเมื่อสานสบนัยน์ตาคมกริบสีดำสนิทคู่นั้น เขาสูงมากทีเดียว... สูงจนเธอต้องแหงนคอตั้งบ่า แววตาเขานิ่งสงบพอๆ กับสีหน้าที่เฉยชา
ปลอบขวัญลนลานเอามือเช็ดน้ำแอลกอฮอล์ที่เปียกชุ่มเนินอกอย่างทุลักทุเล จู่ๆ ชายหนุ่มก็ยื่นผ้าเช็ดหน้าสีฟ้าหวานให้เธอ “เอ่อ... ขอบ ขอบคุณค่ะ” ปลอบขวัญรับผ้าด้วยท่าทางเงอะงะ ซับน้ำออกจนแห้ง ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ว่าเสื้อเขาก็โดนน้ำกระเซ็นใส่เช่นกัน
เขายืนนิ่งขึง จนเธอใช้ผ้าแตะๆ เสื้อบริเวณอกของเขาจนพอใจแล้วนั่นละ เขาถึงได้ขยับตัวเล็กน้อย เธอเงยหน้ามองอย่างเจื่อนๆ ส่งผ้าคืนให้
ดวงตาคู่คมสีดำสนิทหลุบลงมองผ้า แล้วหันไปพยักหน้าให้ชายหัวล้าน “โจ้ จัดการที”
“รับทราบครับ” โจ้ก้มศีรษะ รับผ้าจากหญิงสาวแล้วนำไปทิ้งถังขยะ
“ผ้ายังดีอยู่เลย ไม่น่าทิ้ง” ปลอบขวัญรำพึงอย่างเสียดายผ้าผืนน้อยทว่าปักลวดลายสวยงามผืนนั้น
“มันเป็นของผม ผมมีสิทธิ์ทิ้งไม่ใช่หรือครับ” เขาย้อนถาม และเธอก็เถียงไม่ออก ได้แต่ยืนคอแข็ง กำลังจะขอตัวไปให้ห่างผู้ชายน่ากลัวคนนี้ ทว่าเขากลับเอ่ยประโยคหนึ่งขึ้นมาเสียก่อน “ขอโทษนะครับ ผมคงต้องเชิญคุณไปที่หนึ่ง”
หนังสืออื่นๆ ของ อักษรสีทอง
ข้อมูลเพิ่มเติม