ผมไม่เคยคิดว่าการที่ไว้หนวดไว้เครา และทำตัวเซอร์ๆ จะทำให้ใครบางคนต้องร้องไห้เพียงเพราะแค่เห็นหน้า "ฮือ...แม่จ๋าหนูกลัวโจร" เด็กผู้หญิงที่ร้องไห้ในวันนั้น คือคนที่ผมต้องสยบจวบจนถึงทุกวันนี้... ........................................................................ ฉันไม่รู้ว่าเริ่มชอบเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้แต่ว่าพอได้ชอบฉันก็ไม่สามารถห้ามความรู้สึกของตัวเองได้อีกเลย... วินาทีแรกที่เจอกัน 'เขา' ทำให้ฉันรู้สึกกลัว แต่พอนานวันเข้า เขากลับเป็นคนที่สอนให้ฉันรู้จักคำว่า 'ความรัก' "ถ้าโตขึ้นแล้วมีผู้ชายมาชอบหนู แด๊ดดี้จะทำยังไงคะ?" "ฆ่ามัน" ได้แต่เก็บความสงสัยนั้นเอาไว้ในใจ พอโตมาถึงได้รู้ ว่าฉันจะต้องเป็นของแด๊ดคนเดียวตลอดไป ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม...
เช้าวันนี้คงจะเหมือนอย่างหลายวันที่ผ่านมา ถ้าหากว่าไม่มีสมาชิกใหม่เพิ่มเข้าบ้านอีกหนึ่งคน…
ผมหลุบตามองเด็กหญิงตัวเล็กที่กำลังนอนหลับปุ๋ยอยู่บนโซฟา ก่อนจะเบนสายตาขึ้นมองร่างสูงที่นั่งอยู่ข้างเธอ
เด็กคนนั้นหน้าตาน่ารัก ผิวขาวเนียนใสรับกับพวงแก้มสีชมพู องค์ประกอบบนใบหน้าของเธอผสมผสานระหว่างสองเชื้อชาติ ทั้งไทยและอเมริกา ทว่าความน่ารักน่าเอ็นดูนั้นก็ไม่สามารถเป็นตัวการันตีได้เลยว่าเธอจะไม่ถูกทอดทิ้ง
“ทำไมพี่ไม่พาน้องเรย์ไปด้วย” นี่คือสิ่งที่ผมสงสัย ถึงได้ถามรุ่นพี่คนสนิทออกไปแบบนั้น
ราวครึ่งชั่วโมงก่อนหน้าผมเพิ่งจะได้รับสายจาก ‘พี่ลม’ พ่อของ ‘น้องเรย์วี่’ ว่าเขาจะเดินทางไปดูงานที่ต่างประเทศกับภรรยา และจะฝากฝังให้ผมช่วยดูแลลูกระหว่างที่เขายังไม่กลับมา
ทั้งที่น้องก็อายุได้ห้าขวบแล้ว วัยนี้สามารถขึ้นเครื่องและเดินทางไปต่างประเทศไกลแค่ไหนก็ได้ แต่ทำไมเขาถึงไม่พาลูกตัวเองไปด้วย?
อันที่จริงผมก็ไม่ได้มีปัญหาหรอกนะที่จะต้องดูแลหลานนอกไส้ของตัวเอง มันขึ้นอยู่กับเด็กต่างหากล่ะว่าจะสามารถอยู่กับคนอื่นที่ไม่ใช่พ่อไม่ใช่แม่ได้นานแค่ไหน
จากที่เคยเห็น แค่วันเดียวก็ร้องเรียกหากันแล้ว
“กูมีเหตุผล แต่ตอนนี้ยังบอกไม่ได้” เมื่อได้ยินดังนั้นคิ้วของผมก็เริ่มขมวดเข้าหากัน “เอาเป็นว่าถ้ากลับมาเดี๋ยวกูเล่าให้ฟัง”
“นานแค่ไหน”
“แค่สัปดาห์เดียว” คำตอบที่ได้รับทำให้ผมสบายใจขึ้นมาได้บ้าง
อย่างน้อยระยะเวลามันก็ไม่ได้นานมากมายอะไร ระหว่างนี้ถ้าน้องเรย์ร้องหาพ่อกับแม่ของเธอ ผมคิดว่าตัวเองน่าจะรับมือได้อยู่
“รีบกลับมาแล้วกัน ผมเองก็ไม่เคยเลี้ยงเด็กด้วย” ยิ่งเด็กผู้หญิงนี่ยิ่งแล้วใหญ่ จะให้ลูกน้องมาช่วยก็ไม่ได้ แต่ละคนหน้าตาอย่างกับโจรป่า หนำซ้ำตัวยังบึกบึนเหมือนยักษ์
ถ้าพวกมันเข้าใกล้น้องเรย์เมื่อไหร่มีหวังได้ร้องแหกปากหนักกว่าเดิมแน่
“อืม งั้นกูไปก่อนแล้วกัน” ผมกับพี่ลมล่ำลากันอีกเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปส่งเขายังหน้าประตูบ้าน
“เดินทางปลอดภัย” พูดลาครั้งสุดท้าย ขณะที่เขากำลังจะก้าวเท้าออกจากบ้านเพื่อตรงไปขึ้นรถตู้คันสีดำ ที่ลูกน้องเปิดประตูรอไว้
“ถ้ากูไม่มารับน้องเรย์ด้วยตัวเอง มึงห้ามให้น้องเรย์ไปกับใครเด็ดขาด” ทั้งน้ำเสียงและแววตานั้นฉายชัดถึงความจริงจัง “ต้องเป็นกูเท่านั้น เข้าใจมั้ย”
“อืม” ผมตอบรับเพียงสั้นๆ แม้ว่าจะสังหรณ์ใจบางอย่างแต่ก็ไม่กล้าถามอะไร เพราะยังไงคำตอบที่ได้รับก็ย่อมมีแต่การบ่ายเบี่ยง
พี่ลมหันไปทิ้งท้ายสายตาด้วยการมองเข้าไปในบ้าน เป็นเวลาเนิ่นนานกว่าเขาจะตัดสินใจหมุนตัวหันหลังแล้วเดินไปขึ้นรถ
ผมยืนส่งเขาอยู่ตรงนั้น กระทั่งรถตู้สีดำคันหรูเคลื่อนห่างออกไปยังประตูรั้วบ้าน และลับสายตาในที่สุด
“จะให้คุณหนูเรย์วี่นอนอยู่ตรงนั้นเหรอครับ” ‘เมฆ’ ลูกน้องมือขวาคนสนิทของผมโพล่งถามขึ้นมา พลางปรายตาพยักพเยิดไปยังเด็กหญิงตัวเล็กที่นอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว
“เดี๋ยวกูอุ้มขึ้นไปนอนบนห้องเอง” สิ้นประโยคนั้นขายาวภายใต้กางเกงยีนสีดำที่ขาดแบบแฟชั่นก็เดินย่างก้าวตรงเข้าไปหา เพื่อช้อนตัวน้องเรย์ขึ้นอุ้มไว้ในวงแขน “วันนี้กูมีนัดอะไรหรือเปล่า”
“มีครับ แต่ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนอะไร”
“งั้นยกเลิกให้หมด” เพราะคิดดีแล้วถึงได้พูดออกไปแบบนั้น “ทั้งสัปดาห์นี้กูจะอยู่ดูแลน้องเรย์ ถ้าไม่มีเรื่องด่วนก็เลื่อนไปวันอื่น”
“ครับนาย” ลูกน้องคนสนิทก้มหัวรับคำสั่ง ขยับถอยห่างเพียงเล็กน้อยเพื่อเปิดทางให้ผมก้าวเดินขึ้นไปยังขั้นบันได
จังหวะการขยับเท้านั้นเต็มไปด้วยความระมัดระวัง เพื่อไม่ให้มีแรงเคลื่อนไหวมากนัก เพราะเกรงว่าจะทำให้ร่างเล็กที่นอนซบอยู่ในอ้อมแขนสะดุ้งตื่น
ปลายรองเท้าหยุดลงหน้าบานประตูห้องหนึ่ง ซึ่งอยู่ด้านในริมสุด ผมค่อนข้างหวงพื้นที่ส่วนตัวของตัวเอง ดังนั้นเหตุผลที่เลือกให้ห้องนอนอยู่ตรงนี้ก็เพราะไม่อยากให้ใครมาวุ่นวาย หรือเดินเพ่นพ่าน
แต่สัปดาห์นี้ผมคงต้องปล่อยให้เด็กน้อยตัวเล็กรุกล้ำความเป็นส่วนตัวแล้วล่ะ
“อื้อ” ใบหน้าเล็กถูไถกับท่อนแขนของผม คิ้วก็เริ่มขมวดเข้าหากันอย่างรู้สึกไม่สบายตัว เนื่องจากพื้นที่ขยับตัวมีขีดจำกัด
“ใจเย็นๆ สิตัวเล็ก” ผมพูดกับคนในอ้อมแขนด้วยเสียงที่ค่อนข้างเบา ก่อนจะรีบย่างก้าวตรงไปที่เตียงนอนขนาดคิงไซส์ แล้ววางร่างเล็กนั้นลงบนเตียงแผ่วเบา ไม่ลืมที่จะเอื้อมมือไปเปิดแอร์ และคว้าผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้จนถึงปลายคาง
เมื่อได้ที่นอนแสนนุ่มนิ่ม น้องเรย์ก็หลับต่อ หนำซ้ำมุมปากเล็กๆ นั้นยังคลี่ยิ้มน่ารัก จนพานทำให้คนมองอย่างผมเผลอยิ้มตามไปด้วย
“โตมาหนุ่มๆ คงเดินตามเป็นพรวนแน่ๆ” ผมค่อยๆ หย่อนตัวนั่งลงริมขอบเตียง นิ้วชี้เรียวยาวเอื้อมไปเกลี่ยพวงแก้มสีชมพูธรรมชาติแผ่วเบาอย่างนึกเอ็นดู
แพขนตายาวที่กำลังหลับพริ้มทำให้ผมคิดว่า ถ้าผู้หญิงคนไหนได้มาเห็นคงต้องอิจฉาน้องเรย์เป็นแน่
ขนาดตอนนี้ยังเด็กอยู่เค้าโครงหน้ายังฉายชัดถึงความงดงาม โตมายิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย
ถ้าเป็นลูกสาวผม คงได้สั่งให้ลูกน้องตามประกบไม่ห่างแน่นอน ผู้ชายคนไหนคิดจะเข้าใกล้คงได้กินลูกปืนแทนอย่างอื่น
ผมมองจ้องไปที่แก้มของน้องเรย์สักพักใหญ่ ครั้นความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัว ก่อนที่จะโน้มหน้าเข้าไปหาสิ่งที่ล่อตาล่อใจ
ทว่าจังหวะที่ปลายจมูกโด่งสันกำลังแตะสัมผัสกับพวงแก้มเด็กน้อย ก็จำต้องผละถอยห่างอย่างรวดเร็วเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังไม่โกนหนวดเครา ถ้าหอมแก้มเดี๋ยวจะพานทำให้น้องเรย์เกิดการระคายเคืองได้
ผมตัดสินใจผุดลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปยังโซนห้องทำงานที่เชื่อมติดกับห้องนอน ระหว่างที่น้องเรย์นอนหลับ ผมคงต้องหาอะไรทำเพื่ออยู่เป็นเพื่อนเด็กน้อย
“ฮึก...พ่อจ๋า” เท้ายังไม่ทันขยับไปถึงโต๊ะทำงาน จังหวะการก้าวเดินของผมก็ถูกขัดด้วยเสียงร้องสะอื้นของเด็กน้อย
“น้องเรย์” ผมจำต้องเดินกลับไปหา พร้อมยื่นมือไปเขย่าร่างเล็กเพื่อปลุกให้น้องเรย์หลุดพ้นจากฝันร้ายที่กำลังเผชิญ
เปลือกตาที่เปียกชื้นไปด้วยหยาดน้ำตาค่อยๆ ลืมขึ้นมอง ก่อนจะปล่อยโฮเสียงดังลั่นเมื่อพบกับคนที่ไม่คุ้นเคย
อันที่จริงผมกับน้องเรย์เคยเจอกันมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่นั่นมันเป็นช่วงที่ผมยังไม่ปล่อยปละละเลยให้หนวดเคราเฟิ้มขึ้นตามกรอบหน้าเหมือนอย่างตอนนี้ ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคนตัวเล็กถึงจำผมไม่ได้
“ฮือ...แม่จ๋าหนูกลัวโจร”
ร่างเล็กรีบดึงผ้าห่มคลุมโปง เพื่อปิดซ่อนตัวเองจากสิ่งที่เธอกำลังหวาดกลัว ซึ่งนั่นก็คือ...ตัวผมเอง
ผมไม่เคยคิดว่าการที่ไว้หนวดไว้เครา และทำตัวเซอร์ๆ จะทำให้ใครบางคนต้องร้องไห้เพียงเพราะแค่เห็นหน้า
เห็นทีผมคงปล่อยให้หลานสาวคิดว่าตัวเองเป็นโจรแบบนี้ไม่ได้อีกต่อไปแล้วล่ะ
มือหนาล้วงหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง เพื่อติดต่อหาลูกน้องที่คาดว่าคงจะอยู่ด้านล่าง
“พาแม่นมพิณขึ้นมาหน่อย” เสียงสัญญาณดังขึ้นเพียงครั้งเดียวปลายสายก็กดรับ ผมจึงไม่รอช้าที่จะรัวคำสั่ง “ด่วนๆ”
(“ครับนาย”) เมื่อเมฆรับคำผมจึงกดวางสาย ทว่ายังไงก็ไม่กล้าเข้าไปใกล้น้องเรย์ที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ดี
“น้องเรย์ อาเจย์เสียใจนะที่หนูจำไม่ได้แบบนี้” หากจำหน้าไม่ได้ อย่างน้อยน้องเรย์ก็น่าจะคุ้นเสียง
และดูเหมือนว่ามันจะได้ผล เพราะหลังจากที่ผมเอ่ยประโยคนั้น มือเล็กก็ค่อยๆ ลดระดับผ้าห่มลงเผยให้เห็นเพียงแค่ครึ่งหน้า ดวงตากลมโตที่เอ่อคลอไปด้วยหยดน้ำตามองจ้องผมเขม็ง ก่อนจะส่ายศีรษะเป็นพัลวันจนผมยาวสลวยสีน้ำตาลสะบัดไปมา
“ไม่ใช่! อาเจย์หล่อ ไม่ได้หน้าเหมือนโจรแบบนี้” เด็กหญิงตัวเล็กปฏิเสธเสียงหนักแน่น “ลุงอย่ามาโกหกหนูนะ...ฮึก...พาหนูไปหาพ่อเดี๋ยวนี้เลย”
น้องเรย์โวยวายทั้งน้ำตา เธอเป็นเด็กฉลาด แต่ผมแค่ไม่คาดคิดว่าคำพูดคำจาของเด็กน้อยจะทำให้ผมรู้สึกเจ็บ
ลุงเลยเหรอ...แก่ไปหรือเปล่า
ก็อก...ก็อก…
ระหว่างที่ผมกำลังคิดหาคำพูดเพื่อเจรจากับน้องเรย์อยู่นั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นขัดจังหวะ
“เข้ามา”
“คุณเจย์เรียกป้าเหรอคะ” ‘ป้าพิณ’ เปิดประตูก้าวเข้ามาภายในห้อง ท่านคือแม่นมที่เลี้ยงผมมาตั้งแต่เด็กหลังจากที่พ่อกับแม่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตทั้งคู่ กล้าพูดได้เต็มปากเลยว่า ถ้าหากไม่มีท่านกับครอบครัวของพี่ลมก็คงจะไม่มีผมในวันนี้เหมือนกัน
พ่อกับแม่เสียชีวิตตั้งแต่ตอนที่ผมอายุได้เจ็ดขวบ ถึงจะมีทรัพย์สมบัติมากมายแต่ลูกชายเพียงคนเดียวอย่างผมก็ไม่สามารถจัดการอะไรได้อยู่ดีเพราะยังเด็ก ญาติที่มีก็จ้องแต่จะฮุบสมบัติที่พ่อกับแม่ทิ้งไว้ให้ ถ้าไม่ได้ ‘ลุงทินกร’ คุณพ่อของพี่ลมที่เป็นเพื่อนสนิทกับพ่อยื่นมือเข้ามาช่วย ผมก็คงถูกญาติผลาญสมบัติไปจนหมดสิ้น
ส่วนป้าพิณก็เป็นแม่นมที่ลุงทินกรจ้างมาให้เลี้ยงดูผมแทน เพราะท่านไม่ค่อยมีเวลา แถมภรรยาก็เสียชีวิตไปตั้งแต่คลอดพี่ลมแล้ว ดังนั้นทั้งผมและพี่ลมก็ต่างโตมากับแม่นมทั้งคู่แค่คนละคนกัน
“ผมฝากดูแลน้องเรย์แป๊บนึงนะครับ” ถ้าให้แม่นมพิณดูแลคงไม่มีปัญหาอะไร เพราะน้องเรย์คุ้นชินกับท่านมาบ้างแล้ว
“คุณเจย์จะออกไปข้างนอกเหรอคะ”
“เปล่าครับ จะไปโกนหนวด” ผมยกมือขึ้นลูบกรอบหน้าของตัวเอง “น้องเรย์กลัว”
ป้าพิณถึงกับหลุดยิ้มเมื่อได้ยินคำตอบ จากที่ใช้มือตัวเองสัมผัสหนวดมันก็ขึ้นเยอะจริงๆ นั่นแหละ น้องเรย์จะคิดว่าเป็นโจรก็คงไม่แปลก
“ป้าจะดูให้เองค่ะ”
ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก่อนจะย่างก้าวตรงไปทางห้องน้ำเพื่อจัดการหนวดเคราบนใบหน้าของตัวเอง ระหว่างที่ปาดครีมโกนหนวดตามแนวกรอบหน้า หูก็คอยฟังเสียงน้องเรย์ไปด้วย
เสียงร้องไห้ในตอนแรกค่อยๆ เบาลงก่อนจะเงียบหายไปในที่สุด แต่กลับได้ยินประโยคที่ว่า ‘พ่อหนูอยู่ไหน’ มาแทน
ผมรีบจัดการโกนหนวดอย่างเร็วที่สุด เมื่อเสร็จสิ้นเรียบร้อยทุกอย่างก็เดินกลับไปหาน้องเรย์ที่เตียงอีกครั้ง
ทว่ากลับเห็นร่างเล็กพยายามเขย่งปลายเท้าเพื่อเอื้อมมือขึ้นไปจับลูกบิดประตู โดยมีป้าพิณคอยจับแขนอีกข้างเพื่อยื้อน้องเรย์ไม่ให้ออกไปข้างนอกห้อง
“ปล่อยหนู หนูจะไปหาพ่อ” ริมฝีปากเล็กจิ้มลิ้มเริ่มเบะ และพร้อมที่จะปล่อยโฮออกมาอีกครั้ง
“น้องเรย์ เดินมาหาอาเจย์หน่อยครับ” ผมยังคงยืนอยู่ข้างเตียงตรงที่เดิม เพื่อให้น้องเรย์เป็นฝ่ายเดินเข้ามาหา “จำอาได้หรือยัง”
คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมองสบตากับผม แล้วตอบคำถามนั้นด้วยการพยักหน้ารับหงึกหงัก
“อาเจย์เห็นคุณพ่อหรือเปล่าคะ” เด็กน้อยผละถอยห่างจากบานประตู และเดินมาหาผมที่ยืนรออยู่
“คุณพ่อของน้องเรย์ไปทำงาน ระหว่างนี้ก็อยู่กับอาก่อนนะ” ผมย่อตัวลงเพื่อช้อนร่างเล็กขึ้นมาอุ้ม จากนั้นจึงทรุดนั่งลงที่ขอบเตียงโดยมีเด็กน้อยนั่งทับอยู่บนตักแกร่ง “แค่สัปดาห์เดียวเอง เดี๋ยวคุณพ่อก็จะมารับกลับแล้ว”
“แต่หนูฝันว่าคุณพ่อจะไม่กลับมาหาอีกแล้ว คุณพ่อกำลังจะทิ้งหนูไป” ดวงตากลมโตใสซื่อที่รื้นไปด้วยหยดน้ำตาเงยขึ้นมอง นี่สินะที่ทำให้น้องเรย์ละเมอแล้วร้องไห้ออกมา
“ก็แค่ความฝัน ไม่มีใครกล้าทิ้งน้องเรย์ได้ลงหรอก” นิ้วเรียวยาวเอื้อมไปเกลี่ยหยดน้ำตาที่เปรอะเปื้อนบนพวงแก้มออกให้คนตัวเล็ก
ทว่าน้ำตาหยดแล้วหยดเล่าก็ยังคงไหลรินออกมาจากดวงตาคู่สวยสีน้ำตาลเรื่อยๆ อย่างไม่มีท่าทีว่าจะหยุด
ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้น้องเรย์ฝันร้ายแบบนั้น แล้วดันประจวบเหมาะกับการที่พี่ลมต้องไปต่างประเทศพอดี ผมเองก็ไม่อยากจะคิดมากอะไร หากว่าเมื่อครั้งที่พ่อกับแม่ประสบอุบัติเหตุ...ผมไม่ฝันแบบนั้นเหมือนกัน
“...”
“ป้าพิณลงไปทำอะไรให้น้องเรย์ทานหน่อยสิครับ เดี๋ยวตามลงไป” พอเห็นว่าเด็กน้อยนั่งเงียบ ผมจึงหันไปพูดกับป้าพิณที่ยังยืนอยู่
“ค่ะคุณเจย์”
คล้อยหลังคนสูงวัย ผมก็หลุบตามองน้องเรย์อีกครั้ง
“ไม่ต้องร้อง เป็นหลานอาเจย์ต้องเข้มแข็งนะรู้มั้ย” ผมกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น พลางจับใบหน้าเล็กให้ซุกซบลงมาที่อกแกร่ง “เดี๋ยวพ่อลมก็กลับมา”
ทว่าประโยคที่ผมบอกน้องเรย์ออกไปกลับกลายเป็นคำโกหกโดยที่ผมเองก็อาจไม่รู้ตัว และไม่คาดคิดว่ามันจะเป็นอย่างนั้น
การรอคอยของน้องเรย์เริ่มต้นจากหนึ่งสัปดาห์ แล้วล่วงเลยกลายมาเป็นเดือน จนกระทั่งเนิ่นนานเป็นปี และไม่รู้ว่าการรอคอยนี้มันจะสิ้นสุดลงเมื่อใด
ผมพยายามที่จะติดต่อหาพี่ลมหรือคนใกล้ชิดของเขาทุกวิถีทาง อีกทั้งยังจ้างนักสืบฝีมือดีให้ช่วยตามหา ทว่าก็ไร้วี่แวว ข่าวคราวของพี่ลมเงียบหายไปพร้อมกับตัวเขาและภรรยา
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ผมต้องกลายมาเป็นคุณพ่อให้น้องเรย์จวบจนถึงปัจจุบัน…
บทที่ 1 .
29/07/2023
บทที่ 2 แด๊ดดี้ไม่ชอบเด็กโกหก (1)
29/07/2023
บทที่ 3 แด๊ดดี้ไม่ชอบเด็กโกหก (2)
29/07/2023
บทที่ 4 เสี่ยหวงเด็ก (1)
29/07/2023
บทที่ 5 เสี่ยหวงเด็ก (2)
29/07/2023
บทที่ 6 ช่วยหนูด้วย (1)
29/07/2023
บทที่ 7 ช่วยหนูด้วย (2)
29/07/2023
บทที่ 8 เด็กขี้อ้อน (1)
29/07/2023
บทที่ 9 เด็กขี้อ้อน (2)
29/07/2023
บทที่ 10 หนูหวงแด๊ดดี้ (1)
29/07/2023
บทที่ 11 หนูหวงแด๊ดดี้ (2)
29/07/2023
บทที่ 12 แด๊ดดี้อย่าดุหนู (1)
29/07/2023
บทที่ 13 แด๊ดดี้อย่าดุหนู (2)
29/07/2023
บทที่ 14 ร่วมเตียง (1)
29/07/2023
บทที่ 15 ร่วมเตียง (2)
29/07/2023
บทที่ 16 บรรยากาศอึมครึม (1)
29/07/2023
บทที่ 17 บรรยากาศอึมครึม (2)
29/07/2023
บทที่ 18 ถลำลึก (1)
29/07/2023
บทที่ 19 ถลำลึก (2)
29/07/2023
บทที่ 20 แล้วพบกันใหม่ (1)
03/09/2023
บทที่ 21 แล้วพบกันใหม่ (2)
03/09/2023
บทที่ 22 เติบโต (1)
03/09/2023
บทที่ 23 เติบโต (2)
03/09/2023
บทที่ 24 เพื่อนใหม่ (1)
03/09/2023
บทที่ 25 เพื่อนใหม่ (2)
03/09/2023
บทที่ 26 จูบแรก (1)
03/09/2023
บทที่ 27 จูบแรก (2)
03/09/2023
บทที่ 28 จัดการ (1)
03/09/2023
บทที่ 29 จัดการ (2)
03/09/2023
บทที่ 30 เข้มแข็ง (1)
03/09/2023
บทที่ 31 เข้มแข็ง (2)
03/09/2023
บทที่ 32 จำแม่ได้หรือเปล่า (1)
03/09/2023
บทที่ 33 จำแม่ได้หรือเปล่า (2)
03/09/2023
บทที่ 34 ฉันชอบแด๊ดดี้ (1)
03/09/2023
บทที่ 35 ฉันชอบแด๊ดดี้ (2)
03/09/2023
บทที่ 36 ตัดขาด (1)
03/09/2023
บทที่ 37 ตัดขาด (2)
03/09/2023
บทที่ 38 คนที่คาดไม่ถึง (1)
03/09/2023
บทที่ 39 คนที่คาดไม่ถึง (2)
03/09/2023
บทที่ 40 ตามมาดูแล (1)
03/09/2023
หนังสืออื่นๆ ของ JAMBENZ
ข้อมูลเพิ่มเติม