Login to MeghaBook
icon 0
icon เติมเงิน
rightIcon
icon ประวัติการอ่าน
rightIcon
icon ออกจากระบบ
rightIcon
icon ดาวน์โหลดแอป
rightIcon
MY BOY ผู้ชายข้าใครอย่าแตะ

MY BOY ผู้ชายข้าใครอย่าแตะ

JAMBENZ

5.0
ความคิดเห็น
340
ชม
51
บท

"มาโรงพยาบาลวันนี้ป่วยเป็นอะไรอีกล่ะคะ" "พอดีกินข้าวไม่ค่อยได้น่ะครับ" "หืม? มีอาการอาเจียนด้วยหรือเปล่าคะ หรือว่ายังไง" "เปล่าครับ แค่ไม่มีตังค์" "..." "ถ้าคุณพยาบาลไม่รังเกียจ ผมขอฝากท้องไว้สักมื้อนะครับ" "คุณท้องเหรอคะ?" ........................................................................ "ถ้านายทำร้ายฉัน ฉันจะโทรไปฟ้องพี่" ฉันรู้ว่าคำขู่ของตัวเองมันอาจจะไม่ได้ผล เพราะเขาเป็นผู้ชายที่หน้าด้านหน้าทนยิ่งกว่าปูนซีเมนต์ หมายถึงทนมือทนตีนน่ะนะ "ฟ้องมากๆ ระวังโดนตบด้วยปากและกระชากด้วยลิ้นนะ" นอกจากจะเป็นผู้ชายที่กวนตีนแล้ว ความหื่นของเขาก็มีมากเช่นกัน หมดเรี่ยวแรงไปเท่าไหร่แล้วกับผู้ชายพันธ์นี้...โปรดอยู่ให้ห่างแล้วชีวิตจะปลอดภัย

บทที่ 1 .

ชีวิตของฉันเริ่มต้นเข้าสู่ความไม่สงบสุข ก็ในวันที่มีผู้ชายคนหนึ่งมาวนเวียนอยู่ใกล้ตัว...

“ให้พี่ไปส่งมั้ยน้องสาว” ร่างสูงที่กำลังนั่งคร่อมอยู่บนมอเตอร์ไซค์เอี้ยวหน้าหันมามอง ขณะที่ฝ่ามือหนากำลังจับแฮนด์รถเพื่อบังคับยานพาหนะให้ขับเคลื่อนตัวออกไปเรื่อยๆ อย่างเชื่องช้า

เท่าที่จำได้ฉันไม่ได้มีพี่ชายหน้าตาแบบนี้สักหน่อย ถึงแม้ว่าเครื่องหน้าของเขาจะดูดีไร้ที่ติ แต่ก็แฝงเร้นไปด้วยอะไรบางอย่าง ที่สัญชาตญาณของฉันกำลังร้องเตือนว่าอย่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้เป็นอันขาด

“อย่ามาวุ่นวายกับฉันได้มั้ย” คิ้วเล็กขมวดมุ่นแทบจะผูกเป็นปมกลางหน้าผากมน ขณะเอื้อนเอ่ยประโยคนั้นออกไป

อากาศร้อนก็ร้อน ยังจะต้องมาถูกกวนประสาทแบบนี้อีก ไม่หงุดหงิดสิแปลก ฉันไม่ใช่เทเลทับบี้นะที่จะได้แฮปปี้กับดวงอาทิตย์

อีกอย่างอากาศของประเทศไทยก็เปรียบเสมือนนรกจำลองเพื่อให้เทสก่อนใช้งานจริง คิดเอาแล้วกันว่ามันหนักหนาสาหัสขนาดไหน

“จีบมาปีกว่าแล้วเนี่ย ไม่ใจอ่อนหน่อยเหรอ” ดวงตาคมดุดันที่จ้องมองมา แปรเปลี่ยนเป็นแววตาแห่งความเศร้าสร้อยชั่วคราว

ที่เขาพูดมันก็ถูก ‘พี่แบล็ค’ น่ะตามจีบฉันมาได้ปีกว่าแล้ว ทว่าความรู้สึกของฉันก็ยังคงเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป

วันแรกที่เขาจีบฉันรู้สึกยังไง วันนี้ก็ยังเป็นเฉกเช่นเดิม อาจจะเพราะฉันเรียนหนักด้วยล่ะมั้ง ชีวิตมันเลยวุ่นวายจนไม่สามารถโฟกัสอย่างอื่นได้นอกจากเรียน และเรียนอย่างเดียว

ใครที่เรียนพยาบาลหรือมีคนรู้จักทำงานด้านนี้อยู่ก็คงจะเข้าใจว่ามันเป็นยังไง แล้วยิ่งพ่อฉันเป็นหมอด้วยแล้ว แน่นอนว่าต้องได้รับความกดดันแบบจัดหนักจัดเต็ม ดีแค่ไหนที่พ่อไม่ให้ฉันเป็นหมอเหมือนกับท่าน เพราะแค่นี้ก็แทบจะไม่ไหวอยู่แล้ว

“ถ้าพี่ว่างมากก็กลับไปทำงานไป” ฉันตอกกลับอย่างไม่สบอารมณ์

อันที่จริงพี่แบล็คเป็นช่างสัก เปิดร้านอยู่ซอยถัดไป ฉันเคยไปเหยียบที่นั่นครั้งหนึ่งในตอนที่พาพ้อยท์เพื่อนสนิทของฉันไปสัก ซึ่งมันก็นานแล้วแหละ ตั้งแต่ช่วงแรกๆ ที่พี่แบล็คตามจีบฉันเลย

แต่ก่อนพี่แบล็ครุกแรงมาก จนฉันหวาดระแวงเขาไปหมด แต่พอนานวันเข้าเขาคงรู้ตัวล่ะมั้งว่าทำให้ฉันกลัว ก็เลยเพลาๆ ลงบ้างแล้ว

ทว่ายังไงซะฉันก็กลัวเขาอยู่ดี พี่แบล็คน่ะเจ้าเล่ห์จะตาย สาวงี้ติดตรึม เพราะความเฟรนลี่ขี้เล่นของเขา

ผู้ชายแบบนี้แหละน่ากลัว ดังนั้นฉันเลยคิดว่าควรอยู่ห่างๆ เขาดีกว่า

“ก็เพราะว่าว่างไง ถึงได้ตามมาคอยดูแลคนแถวนี้”

“...” ถ้าถามว่าฉันต้องการไหม? ก็ไม่

“เร็วขึ้นรถ พี่จะพาไปส่งเนี่ย” พี่แบล็คพยักพเยิดไปทางเบาะรถมอเตอร์ไซค์ เพื่อบอกเป็นนัยว่าให้ฉันกระโดดขึ้นซ้อนท้ายและแง้นไปกับเขาซะ

แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่า

“เดินอีกห้าก้าวก็จะถึงโรงพยาบาลแล้วปะ อะไรของพี่เนี่ย” ตดยังไม่ทันหายเหม็นด้วยซ้ำ ประตูทางเข้าโรงพยาบาลอยู่แค่เอื้อมมือเท่านั้น

“มันจะไม่ดีกว่าเหรอถ้าให้พี่ไปส่ง เดี๋ยวจะพาขับเข้าไปข้างในเลยนะ”

อันนี้ก็เล่นใหญ่เกินเบอร์มาก ขืนทำแบบนั้นคงได้ถูกรปภ.ไล่ตะเพิดออกมาทั้งคู่

ฉันถอนหายใจพรืด เท้าทั้งสองข้างที่อยู่ภายใต้รองเท้าสีขาวรีบขยับเดินเร็วๆ เพื่อหนีเขาให้พ้น โดยไม่ฟังเสียงเรียกที่ดังไล่หลังตามมา

พอเข้ามาในโรงพยาบาลได้ ฉันก็เดินไปนั่งประจำที่ของตัวเอง ซึ่งหน้าที่ของฉันนั้นก็คือการซักประวัติคนไข้

โรงพยาบาลแห่งนี้เป็นโรงพยาบาลขนาดกลาง ทว่าก็มีคนมาใช้บริการมากมายเนื่องจากเป็นโรงพยาบาลรัฐฯ

“หน้าบึ้งมาเชียวนะข้าวหอม ไปกินรังแตนที่ไหนมาจ๊ะ” ก้นแตะเบาะเก้าอี้ได้ไม่ทันไร เสียงทักทายจาก ‘พี่อุ้ม’ ที่เป็นพยาบาลรุ่นพี่ก็ดังขึ้นมา

“คนเดิมนั่นแหละค่ะพี่อุ้ม”

“แบล็คน่ะเหรอ เขาก็ตามจีบตั้งนานแล้วนะ ไม่ใจอ่อนหรือไง เป็นพี่นะถ้าตามส่งข้าวส่งน้ำดึกๆ ดื่นๆ เนี่ยพี่ยอมไปแล้ว”

คนบางคนก็มีความคิดไม่เหมือนกันหรอก อะไรที่คนอื่นชอบ บางทีฉันอาจจะไม่ชอบก็ได้

“ก็ข้าวไม่ได้ชอบเขา” และนี่ก็เป็นประโยคที่ฉันมักจะนำมาใช้แทบทุกครั้งในเวลาที่ตัวเองกำลังถูกชง

“เอาน่า~ ถ้าจีบนานๆ แล้วไม่ติดเดี๋ยวเขาก็ไปเองแหละ และอย่ามานั่งเสียใจทีหลังนะ” พี่อุ้มพูดติดตลก พลางเอื้อมมือมาตบไหล่ฉันเบาๆ

บอกเลยว่าคงไม่มีวันนั้นหรอก

“ช่างเขาเถอะค่ะ ข้าวทำงานดีกว่า” ฉันบอกปัดอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะขยับตัวนั่งดีๆ เพื่อกลับเข้าสู่โหมดการทำงาน

ปีนี้เป็นปีสุดท้ายแล้วสำหรับนักศึกษาพยาบาลอย่างฉัน เพราะงั้นการฝึกงานในครั้งนี้ต้องทำให้เต็มที่มากกว่าทุกปีที่ผ่านมา จะได้ไม่มีใครมาพูดเอาได้ว่าฉันเป็นเด็กเส้น ถึงได้ทำหน้าที่ไม่เยอะ ทั้งที่ตลอดมาฉันก็วิ่งวุ่นทำทุกอย่างที่รุ่นพี่พยาบาลเรียกใช้ ทว่าคนที่ปากมากกลับไม่เห็นในตอนที่ฉันทำต่างหากล่ะ

ฉันยอมรับนะว่าพ่อของฉันสนิทกับเจ้าของโรงพยาบาลนี้ แต่มันก็ไม่จำเป็นที่ฉันจะต้องทำตัวเป็นคุณหนู เดินโฉบไปโฉบมาไม่ทำอะไร

ฉันมาฝึกงาน ดังนั้นสิ่งที่ฉันต้องการที่สุดคือประสบการณ์ไม่ใช่ความสุขสบาย

แล้วที่สำคัญ ฉันก็ไม่ได้ทำหน้าที่ซักประวัติแทบทุกวันสักหน่อย บางวันฉันก็ไปฝึกอย่างอื่นด้วย เพื่อให้ทำเป็นหลายๆ อย่าง แบบนี้น่ะเหรอเรียกว่าสบาย?

คนนินทานี่น่าตีปากจริงๆ เลยเชียว...

พี่อุ้มไม่ได้พูดอะไรอีก แต่เดินแยกไปนั่งที่ของตัวเอง ไม่นานคนไข้และญาติก็เข้ามาติดต่อไม่ขาดสาย...

ตลอดทั้งวันฉันรับมือกับคนไข้และญาติที่มาในทุกรูปแบบ จนกระทั่งถึงเวลาพักฉันก็ต้องพบกับบุคคลที่รับมือยากมากที่สุด เรียกได้ว่าแทบจะยื่นมือไปหยิบยาแก้ปวดหัวมากินดักไว้เลยดีกว่า

“ขาประจำมาหาอีกแล้วนะ” พี่อุ้มหันมาแซวพร้อมรอยยิ้ม ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับตอนที่เขาเดินมาหยุดยืนตรงหน้าฉันพอดี

“มาโรงพยาบาลวันนี้ป่วยเป็นอะไรอีกล่ะคะ” ฉันไม่เคยเสียมารยาทกับคนไข้คนไหน แต่เขาคือคนแรก

ที่ต้องเอ่ยคำถามนั้นออกไป ก็เป็นเพราะว่าเขามาบ่อยและถี่เกินกว่าคนปกติจะมา ที่สำคัญคือ ทุกครั้งที่มาเขาไม่ได้ป่วย

“พอดีกินข้าวไม่ค่อยได้น่ะครับ” ใบหน้าหล่อสลดลง

หรือว่าวันนี้เขาจะไม่สบายจริงๆ แต่เมื่อเช้าเขาก็ยังปกติอยู่เลยนะ

“หืม? มีอาการอาเจียนด้วยหรือเปล่าคะ หรือว่ายังไง” คิ้วเรียวเล็กเลิกขึ้นสูง พร้อมด้วยสีหน้าแปลกใจ ขณะที่นิ้วก็กำลังเตรียมจดอาการป่วยของเขาไปด้วย

“เปล่าครับ แค่ไม่มีตังค์” พูดจบเขาก็ฉีกยิ้มกว้างโชว์ฟันขาวที่เรียงตัวสวย

กึก...

“...” ฉันถึงกับพูดอะไรไม่ออก หูได้ยินเสียงปากกาที่ถืออยู่ในมือกดลงบนกระดาษ และทะลุไปข้างหลังจนเป็นรูโบ๋

“ถ้าคุณพยาบาลไม่รังเกียจ ผมขอฝากท้องไว้สักมื้อนะครับ”

“คุณท้องเหรอคะ?” ฉันเงยหน้าขึ้นสบตากับพี่แบล็ค ก็เขาบอกเองว่าขอ ‘ฝากท้อง’ เพราะงั้นฉันไม่ผิดนะที่สวนกลับแบบนั้น

กวนมาฉันก็กวนกลับไง แฟร์ๆ ดี

“เดี๋ยวนี้พัฒนานะเนี่ย” รอยยิ้มขี้เล่นเผยกว้างเต็มไปหน้าของเขา จนพานทำให้หญิงสาวที่ยืนอยู่บริเวณรอบๆ หันมามองเขาตาเยิ้ม “พักแล้วใช่มั้ย ไปกินข้าวกันพี่เลี้ยง”

“ไม่ต้องการ” ฉันปฏิเสธทันควันอย่างไร้เยื่อใย “พี่อุ้ม ข้าวไปพักก่อนนะคะ เอาอะไรหรือเปล่า” ฉันปรับน้ำเสียงให้กลับมาอยู่ในโทนปกติ ก่อนจะหันไปถามพี่อุ้มที่ยังคงทำหน้าที่อยู่

“ไม่จ้า ตามสบายเลย”

เมื่อได้ยินดังนั้นฉันก็คว้ากระเป๋าสะพายข้างขนาดเล็กขึ้นมาพาดไหล่ ก่อนจะขยับเท้าก้าวเดินเร็วๆ ผ่านหน้าเขา ทว่าก็ไม่มีประโยชน์อะไร ยังไงซะพี่แบล็คก็เดินตามขึ้นมาเคียงข้างฉันอยู่ดี

เรียกได้ว่า หนีให้ตายยังไงก็ไม่พ้น

“เดินเร็วยังไงพี่ก็ตามทันอยู่ดีนั่นแหละ” เขาคงสังเกตท่าทางของฉันมานานแล้วถึงได้พูดแบบนั้น นึกอิจฉาผู้ชายก็ตรงที่มีเรียวขายาวกว่าผู้หญิงนี่แหละ เผลอๆ บางคนยังขาสวยเกินหน้าเกินตาอีกด้วย

“งั้นก็ไม่ต้องตามมาสิ ฉันจะได้เดินปกติ” ถึงบอกออกไปแบบนั้นเขาก็ไม่ฟังอยู่ดี เดินยิ้มหน้าระรื่นราวกับไม่รับรู้ใดๆ ทั้งสิ้น

เหอะ! ช่างน่าหมั่นไส้...

“อย่าเย็นชานักเลยน่าข้าวหอม พี่ก็แค่อยากกินข้าวด้วย ไม่ได้ทำให้ลำบากเลยสักนิด” พี่แบล็คปรายตามองฉันที่กำลังถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย “อีกอย่างพี่เลี้ยงนะ ไม่ได้จะขอกินฟรีอย่างที่พูดตอนแรก”

ฉันรู้ รู้ดีเลยแหละว่าเขาน่ะสายเปย์ โดยเฉพาะของกินนี่เปย์หนักจัดเต็มราวกับจะขุนให้ฉันอ้วนเป็นหมู ตลอดเวลาที่ผ่านมาก็มีแต่เขานี่แหละที่คอยขนเสบียงมาให้ในตอนที่ฉันเข้าเวรดึกๆ ดื่นๆ

“ฉันไม่ชอบให้ใครมานินทาเพราะเรื่องของพี่” เป็นอีกเหตุผลหลักที่ฉันไม่อยากจะวุ่นวายกับพี่แบล็คสักเท่าไหร่ เพราะตัวขี้นินทานางชอบเอาเรื่องที่พี่แบล็คมาหาฉันไปเม้าท์มอยกับชาวบ้านชาวช่อง จนเรื่องนี้ถึงหูพ่อของฉัน แน่นอนว่าก็โดนดุไปตามระเบียบ

พ่อเองก็รู้จักพี่แบล็คดี และท่านก็ไม่ชอบพี่แบล็คอย่างแรงเพราะอาชีพที่พี่แบล็คทำอยู่ ฉันไม่อยากมีเรื่องทะเลาะกับพ่อให้เสียบรรยากาศภายในบ้านก็เลยคิดว่าต้องอยู่ห่างๆ พี่แบล็คเอาไว้ แต่เขาก็ไม่วายตามมาวนเวียนทุกวี่ทุกวัน

“ใคร? เดี๋ยวพี่ไปจัดการให้”

“พี่จะไปตบเขาหรือไงล่ะ” ฉันเอ่ยถามอย่างประชดประชัน ขณะที่ก้าวเข้าไปในศูนย์อาหารของทางโรงพยาบาล ทันทีที่ปลายเท้าก้าวพ้นขอบประตูสายตาทุกคู่ก็ตวัดขวับมองมาที่พี่แบล็คและฉันเป็นตาเดียว และหนึ่งในนั้นก็มีสายตาของแก๊งชะนีขาเม้าท์ประจำโรงพยาบาลอยู่ด้วย

ซวย...ซวยจริงๆ

“กินข้าวไปสิครับ มองทำไม” เสียงของพี่แบล็คที่ดังขึ้นมามันสะท้อนกึกก้องไปทั่วทั้งศูนย์อาหาร ดวงตาคมคู่นั้นจดจ้องไปที่โต๊ะของแก๊งขาเม้าท์ ราวกับพี่แบล็คจะรู้อยู่แล้วว่าใครเป็นตัวต้นเหตุข่าวซุบซิบที่ถูกเติมแต่งให้เสียหาย

ฉันเลิกสนใจสิ่งรอบกายแล้วเดินไปหาที่นั่ง ซึ่งโต๊ะที่ฉันเลือกนั้นก็อยู่ห่างจากพวกเธอไม่มากนัก พี่แบล็คเดินตามหลังฉันมา ก่อนจะทรุดนั่งลงตรงข้ามกัน

สุดท้ายแล้วฉันก็ต้องยอมให้เขานั่งทานข้าวด้วยสินะ...

“ไหนบอกว่าแค่นั่งกินข้าวไม่ทำให้ลำบากยังไงล่ะ” ฉันปรายตาไปมองยังโต๊ะถัดไป หางตาของฉันสังเกตเห็นนะ ว่าผู้หญิงพวกนั้นหันไปซุบซิบนินทากันแล้ว

“เราก็ไม่ได้ทำอะไรเสียหายสักหน่อย แคร์ทำไม” ดวงตาคมมองสบเข้ามาในดวงตากลมโตของฉัน

“ต้องแคร์สิ ถ้าข่าวมั่วๆ ไปถึงหูพ่อเมื่อไหร่เดี๋ยวก็โดนดุอีก” ฉันไม่พร้อมที่จะรับมือกับเรื่องน่าปวดหัวอะไรอีกแล้ว อยากอยู่แบบสงบๆ บ้างก็เท่านั้น

“พี่ไปคุยกับพ่อให้เอามั้ย” พี่แบล็คพูดออกมาด้วยท่าทีสบายๆ แต่เป็นฉันเองที่ตื่นตกใจกับประโยคนั้นของเขา

“แค่พี่เดินเฉียดผ่านหน้าบ้าน พ่อก็แทบจะหยิบปืนมาเล็งแล้วมั้ง” ฉันไม่ได้เว่อร์ พ่อของฉันเป็นคนแบบนั้นจริงๆ ท่านพร่ำบอกเสมอว่าถ้าฉันจะแต่งงานหรือคบหากับใคร ผู้ชายคนนั้นจะต้องเป็นคนที่พ่อหามาให้ อะไรที่พ่อคิดว่าดี มันก็คงจะดีสำหรับลูกอะไรแบบนั้น

แต่ฉันหาได้ต้องการไม่? ถ้าต้องใช้ชีวิตร่วมกับคนที่ไม่ได้รัก ฉันยอมขึ้นคานดีกว่า

“แล้วนี่จะกินอะไร เดี๋ยวพี่เดินไปซื้อมาให้” เมื่อบทสนทนาของเราเริ่มตึงเครียด พี่แบล็คจึงเปลี่ยนเรื่อง

“ก๋วยเตี๋ยวหมูน้ำตกเส้นเล็ก” ไหนๆ เขาก็อาสาแล้ว ถ้างั้นฉันก็จะไม่เกรงใจล่ะนะ

“กินแต่ก๋วยเตี๋ยวไม่เบื่อบ้างหรือไง”

“แล้วที่พี่ตามฉันแบบนี้ไม่เบื่อบ้างเหรอ” ฉันย้อนถามกลับทันควัน ก็มันเป็นเมนูโปรดและสิ้นคิดของฉันนี่นา

“ไม่เบื่อ”

“ทำไม?” ในเมื่อเขาตั้งคำถามกับฉันได้ เพราะงั้นฉันก็จะถามเขาเยอะๆ กลับไปเฉกเช่นเดียวกัน

“เพราะข้าวหอมน่ากินมั้ง” รอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏที่มุมปากหนา ก่อนที่ร่างสูงจะผุดลุกขึ้นยืนแล้วเดินปลีกตัวออกไปอย่างอารมณ์ดี

คนนะไม่ใช่ขนมครก หยอดกันอยู่ได้...

หลังจากที่ทานข้าวเสร็จ พี่แบล็คก็แยกกลับไปทำงานส่วนฉันเองก็กลับไปทำหน้าที่ของตัวเอง โดยสองมือก็เต็มไปด้วยถุงของกินเล่นต่างๆ ที่พี่แบล็คซื้อให้

“เลี้ยงดีจังเลยนะเนี่ย” คนที่เอ่ยปากแซวขึ้นมาคนแรกก็คือพี่อุ้มเจ้าเดิม

“แบ่งกันค่ะ” ฉันลงมือจัดการแจกจ่ายของกินให้กับทุกคนที่นั่งอยู่บริเวณนั้น เพราะยังไงฉันก็คงทานคนเดียวไม่หมดหรอก

แบ่งปันคนอื่นบ้าง เผื่อผลบุญมันจะส่งให้ฉันหลุดพ้นจากคำนินทาว่าร้าย…

อ่านต่อ

หนังสือที่คุณอาจชอบ

หนังสืออื่นๆ ของ JAMBENZ

ข้อมูลเพิ่มเติม
บท
อ่านเลย
ดาวน์โหลดหนังสือ