1
บ้านอัครธนากุลวันนี้ไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมเลยแม้แต่น้อย แต่ที่เปลี่ยนคงจะเป็นผู้ถือครองสิทธิ์ ซึ่งบัดนี้หาได้เป็นของสองหนุ่มพี่น้องตระกูลอัครธนากุลไม่ รัฐกฤตญ์กับณิชาภรรยาสุดที่รักมีครอบครัวที่อบอุ่น ใช้ชีวิตบั้นปลายที่เหลืออย่างมีความสุขอยู่ที่ร้านอาหารริมทะเลพัทยา รัฐศาสตร์กับกัญติญาใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ที่ญี่ปุ่น เนื่องจากรัฐศาสตร์ต้องดูแลพรรคพยัคฆ์มังกรสืบทอดต่อจากอิเซตังผู้ล่วงลับ อลันและประดับดาวใช้ชีวิตอยู่ที่อิตาลีมีลูกด้วยกันสามคนเป็นชายสองหญิงหนึ่ง กิจการทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นของรัฐกฤตญ์กับรัฐศาสตร์ จึงอยู่ในความดูแลของรัฐภาคย์ชายหนุ่มวัยสามสิบสี่ปี ทายาทคนเดียวของรัฐศาสตร์
ร่างสูงใหญ่ที่นอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง ใบหน้าเปียกชุ่มไปด้วยเม็ดเหงื่อ มือทั้งสองข้างไขว่คว้ากลางอากาศ ปากหนาพึมพำอะไรบางอย่าง...บางอย่างที่อัดแน่นอยู่ในหัวใจของเขา
“อย่าไป...อย่าไป...นีน่า”
ในความฝันเขาเห็นหญิงสาวที่เขารักและกำลังจะแต่งงานด้วย จูงมือชายคนหนึ่งแล้ววิ่งจากเขาไปอย่างสิ้นเยื่อใย เธอหันมาส่งยิ้มบางๆ ให้กับเขา มือนุ่มกระชับแน่นอยู่ในฝ่ามือใหญ่ของชายอีกคน...ผู้ชายที่เขาไว้ใจมากคนหนึ่ง เพื่อนสนิทของเขา...ศวิชญ์ ร่างของทั้งคู่วิ่งออกห่างไปอย่างเชื่องช้า ทั้งสองหันมายิ้มให้เขาอย่างไม่รู้สึกผิดกับการกระทำของตน เขาเจ็บหนึบที่หัวใจ มือหนาพยายามคว้าร่างของนิรมล ทว่าเธออยู่ไกลเกินเอื้อมมือถึง
“นีน่า...”
เขาสะดุ้งสุดตัวดีดตัวลุกขึ้นนั่ง ฝันอีกแล้ว...เมื่อไหร่ฝันร้ายนี้จะหมดสิ้นไปเสียที หรือว่าเขาจะต้องจมอยู่กับฝันร้ายนี้ไปตลอดชีวิต ความเสียใจที่อัดแน่นถูกขับออกมาเป็นความเคียดแค้น เมื่อนึกถึงต้นตอของเรื่องทั้งหมด ศวิชญ์คนที่เขาอยากฆ่ามากที่สุดในชีวิต แต่เขาไม่มีทางเจ็บฝ่ายเดียวแน่ ในเมื่อทำอะไรต้นตอไม่ได้ เขาก็ยังมีตัวตายตัวแทนอยู่ในกำมือ
ภายในรอบรั้วอาณาเขตของบ้านอัครธนากุล บ้านหลังเล็กที่มีเนื้อที่เพียงยี่สิบตารางวา เป็นที่พักอาศัยของครอบครัวรัตนากาลมากว่าสองปี จากเดิมที่เคยอยู่บ้านหลังใหญ่มีเนื้อที่กว่าสี่ไร่ แต่พอหลังจากวันนั้น...วันที่ทายาทคนโตของรัตนากาล นำพาความเจ็บช้ำและแค้นเคืองมาสู่หัวใจของรัฐภาคย์ ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ ครอบครัวที่เคยมั่งคั่งมีเงินทองใช้สอยไม่ขาด ต้องพังครืนลงมาในเวลาไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ กลายมาอยู่บ้านเท่ารูหนู เงินทองขัดสน และความเจ็บปวดและเสียใจจึงบังเกิดขึ้นในตระกูลรัตนากาลตั้งแต่นั้นมา
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในห้องนอนห้องเล็กๆ ที่เบียดเสียดกันนอนถึงสามคนดังขึ้นหลายครั้ง ลลิลหญิงสาววัยยี่สิบสามปีลุกขึ้นอย่างงัวเงีย เอื้อมมือไปรับโทรศัพท์ที่แผดเสียงดังไม่หยุด มีคนเดียวเท่านั้นที่โทรศัพท์มาในยามวิกาลเช่นนี้
“มาหาฉันเดี๋ยวนี้”
เสียงก้องตวาดลั่นกระทบกับโสตประสาทหูของหญิงสาวอย่างจัง เธอรับคำเสียงเบา ร้อนผ่าวที่ขอบตาขึ้นมาทันทีทันใด เมื่อไหร่หนอที่เขาจะรู้จักคำว่าให้อภัยเสียที ลลิลลุกขึ้นอย่างแผ่วเบา เพื่อไม่ให้อีกสองชีวิตตื่นขึ้นมากลางดึก เดินไปหยิบเสื้อคลุมสีชมพูที่มีรอยฉีกขาด ทว่าถูกเย็บซ่อนอย่างปราณีตนำขึ้นมาสวมทับชุดนอนที่มีร่องรอยของการเย็บอยู่หลายแห่งเช่นกัน มือเล็กเปิดและปิดประตูบ้านหลังเล็กที่เป็นที่พักพิงอย่างเบามือ ก่อนจะเดินไปยังตึกใหญ่ สถานที่จองจำร่างกายและหัวใจของเธอ
“ชักช้าอยู่ได้...ฉันเรียกเธอตั้งนานแล้วนะ?”