เมื่อฟ้าเป็นใจ

เมื่อฟ้าเป็นใจ

BVMEOW

5.0
ความคิดเห็น
44.9K
ชม
52
บท

รักเกิด ณ บางแสน

บทที่ 1 ยามฟ้าหม่น (1)

เสียงร้องของเด็กทารกส่งเสียงดังไปทั่วบริเวณ มือที่เอื้อมไปยังหม้อหุงข้าวเพื่อหวังจะตักก็เป็นอันต้องชะงักด้วยความตกใจ สุดท้ายก็ต้องวางจานข้าวและทัพพีลงก่อนจะหันหลังแล้วสับเท้าไปยังห้องนอนเพื่อปลอบลูกน้อย ทั้ง ๆ ที่ก่อนจะผละออกมาก็มั่นใจว่าได้กล่อมให้หลับไปแล้ว หากเป็นแบบนี้เธอคงไม่ได้ทานมื้อเที่ยงแล้วกระมัง

เมื่อไปถึงก็เห็นว่าเด็กทารกที่นอนอยู่บนเตียงดิ้นไปดิ้นมาพร้อมกับส่งเสียงร้อง คนเป็นแม่เห็นดังนั้นแล้วก็ต้องพุ่งตัวไปหาอย่างไม่รอช้า จากนั้นก็ประคองเด็กน้อยมาอุ้มไว้แนบอกพร้อมกับส่งเสียงกล่อมเบา ๆ เพื่อสื่อให้รู้ว่าไม่ได้อยู่คนเดียว แต่แม่ก็อยู่เคียงข้างมิได้ทอดทิ้งไปไหน ไม่นานนักเสียงร้องก็เงียบลงไป เปลือกตาที่ปิดสนิทของคนในอ้อมกอดบอกให้รู้ว่าได้เข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่วางใจที่จะปล่อยให้นอนตามลำพัง จึงได้แต่อุ้มอยู่อย่างนั้นไปเรื่อย ๆ

สายตาก็ทอดมองไปด้านนอกผ่านกระจกหน้าต่าง แม้ว่าจะเพิ่งเข้าสู่ช่วงบ่ายทว่าฟ้ากลับตั้งเค้า จึงเดาได้ไม่ยากว่าอีกไม่นานฝนคงตกลงมาเป็นแน่แท้ เธอไม่ชอบฤดูฝน อันที่จริงไม่ชอบฤดูไหนทั้งนั้น เวลาฝนตกก็เฉอะแฉะ การออกไปทำธุระนอกบ้านก็ดูเป็นเรื่องยาก หากตากฝนก็เสี่ยงจะเป็นหวัด ฤดูร้อนก็ไม่ชอบพอเท่าไรนัก เพราะเธอไม่ใช่คนที่มีร่างกายแข็งแรง การตากแดดตากลมจึงอาจจะทำให้ป่วยเอาได้ ส่วนฤดูหนาวก็เหมือนจะดี ทว่ามันกลับส่งผลเสียต่อร่างกาย มันเป็นฤดูที่จะป่วยอย่างน้อยสองครั้ง

ผ่านไปได้แค่ครู่เดียวก็จำเป็นต้องวางลูกน้อยลงบนเตียงเหมือนดังเดิม ก่อนจะรีบจ้ำอ้าวไปยังชั้นล่างเพื่อเก็บผ้าอ้อมที่ตากไว้ก่อนที่ฝนจะกระหน่ำลงมา และมันก็เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด ในจังหวะที่จะเดินเข้าในบ้านพร้อมกับเสื้อผ้าเต็มสองมือ เม็ดฝนก็กระทบเข้ากับตัว เป็นเหตุให้ต้องเร่งฝีเท้าเพื่อที่จะได้ไม่เปียกไปมากกว่านี้

เมื่อเข้ามาถึงก็เจอเข้ากับแม่บ้านวัยกลางคนที่ยิ้มให้อย่างมีมารยาท แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้เข้ามาช่วยแต่อย่างใด ซึ่งเธอก็ไม่ชินสักเท่าไรที่ถูกปฏิบัติเช่นนี้แม้ว่าจะอาศัยใต้ชายคามาเป็นเวลามากกว่าหนึ่งปี แต่ในทุก ๆ วันก็ยังคงรู้สึกโดดเดี่ยว ได้อยู่ในบ้านหลังใหญ่แต่ในใจกลับว่างเปล่า บางทีก็ถูกปฏิบัติเหมือนกับเป็นแค่อากาศธาตุเท่านั้น มันช่างไร้ตัวตนจนรู้สึกตรมอยู่ในใจ มิหนำซ้ำยังไม่สามารถหาทางออกให้ตัวเองได้อีกด้วย

ร่างระหงก้าวเท้าเดินไปยังห้องนอนของตัวเองพร้อมกับเสื้อผ้าอาภรณ์จำนวนมากของลูก โดยระหว่างนั้นหางตาก็เห็นว่าประตูบ้านถูกเปิดออกด้วยแม่บ้านอีกคนหนึ่ง หลังบานประตูนั้นเป็นใครก็เดาได้ไม่ยาก จากนั้นเจ้าหล่อนก็ปรากฏตัวในชุดผ้าไหมราคาแพง เธอที่ตั้งใจจะเดินไปยังบันไดก็ต้องหยุดเท้าแล้วก้มหัวเพื่อทำความเคารพเมื่ออีกฝ่ายเดินผ่านหน้าไป โดยที่ไม่ได้ชายตามองเธอแต่อย่างใด

หลังจากหญิงวัยกลางคนเดินผ่านไปยังห้องโถงแล้ว เธอจึงหันกลับมาทางบันไดพลางก้าวเท้าเดินต่อ แม้จะอยู่ในตำแหน่งสะใภ้แต่ดูเหมือนว่าหล่อนจะไม่คิดเช่นนั้น แต่มันก็คงจะกล่าวโทษใครไม่ได้ เรื่องนั้นเธอรู้ดี

ไม่นานนักก็เดินมาถึงห้องนอนของตน จากนั้นก็จัดการพับผ้าให้เรียบร้อย ก่อนจะเดินลงไปชั้นล่างอีกรอบเพราะยังไม่ได้ทานมื้อเที่ยง

เมื่อไปถึงก็พบเข้ากับแม่บ้านจำนวนสองคนกำลังสาละวนอยู่หน้าเตา คนทั้งสามยิ้มทักทายตามมารยาทก่อนที่เธอจะแยกตัวออกมาเพื่อตักข้าว แล้วเดินไปนั่งยังโต๊ะที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากทั้งคู่นัก

“ลูกหลับไปแล้วเหรอคะ” ป้าแจ่มซึ่งเป็นแม่บ้านที่อยู่มานานเป็นคนเอ่ยขึ้นอย่างเป็นมิตร ไม่รู้แน่ชัดว่าหล่อนอยู่มาเป็นเวลาเท่าไร แต่น่าจะก่อนที่สามีของเธอจะเกิดด้วยซ้ำ เพราะอีกฝ่ายถือเป็นแม่นมของเขา แม้จะเป็นแม่บ้านทว่าก็ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจและนับถือจากเจ้าของบ้านมากพอสมควร

“สักพักใหญ่ ๆ แล้วค่ะ เลยถือโอกาสมาทานข้าวเที่ยงก่อน ไม่อย่างนั้นคงต้องรอมื้อเย็นทีเดียว” อันที่จริงมันก็เลยเวลามื้อเที่ยงมาเกือบสองชั่วโมงเห็นจะได้ เพราะมัวแต่กล่อมลูกให้หลับเลยไม่สามารถปลีกตัวมาได้

หลังจากเธอตอบตำถามของคู่สนทนาแล้ว อีกฝ่ายก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วคุณแม่ลูกหนึ่งจึงหันมาสนใจจานข้าวตรงหน้าอีกครั้ง

แม่บ้านที่นี่ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำ แต่ที่ไม่สามารถพูดคุยกับเธอได้เพราะถูกแม่ของสามีสั่งห้ามไว้ ทว่าเวลาอยู่นอกสายตาของหล่อน ป้าแจ่มก็มักจะพูดคุยกับเธอเหมือนปกติ แต่ก็ไม่ได้คุยอะไรมากนัก แค่ทำให้รู้ว่าไม่ได้โกรธเกลียดเธอเท่านั้นเอง ส่วนอีกคนนั้นอายุมากกว่ากันแค่ไม่กี่ปี เพิ่งมาใหม่ได้ไม่ถึงห้าปีจึงไม่กล้าทำอะไรนอกเหนือคำสั่งเจ้านาย รวมถึงการข้องแวะกับลูกสะใภ้แสนชังด้วย เพราะอย่างนั้นตอนที่เห็นว่าเธอหอบผ้ามาเต็มไม้เต็มมือถึงไม่อาสาเข้ามาช่วย และเธอก็เข้าใจได้ว่าอีกฝ่ายมีเหตุผลจึงไม่ได้รู้สึกโกรธเลยแม้แต่น้อย

หลังจากจัดการอาหารที่อยู่ในจานจนเสร็จเรียบร้อยก็เดินขึ้นไปชั้นบนอย่างเคย เพราะนอกจากสวนหย่อมกับห้องนอนของตัวเองแล้วก็ดูเหมือนว่าเธอจะไม่มีที่อื่นให้ไป ตอนนี้ฝนก็ตกด้วย จะไปที่นั่นก็คงเป็นไปไม่ได้ พอมาถึงก็พบว่าลูกสาวยังคงหลับใหลอยู่ นั่นแปลว่านี่คือเวลาว่างของคุณแม่ลูกอ่อน จึงพาตัวเองไปนั่งยังโต๊ะทำงาน ที่บนโต๊ะไม่มีอะไรนอกจากเครื่องเขียนไม่กี่ชิ้นกับหนังสือไว้อ่านยามว่างไม่กี่เล่ม แต่สิ่งที่เธอสนใจคือไดอารีที่อยู่ในลิ้นชัก

เพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่รู้สึกอยู่นั้นคืออะไร เหงา โดดเดี่ยว เดียวดาย อ้างว้าง ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ไม่มีทางออกให้ตัวเองได้เลย เหมือนว่าใจมันใหญ่เกินกว่าจะรับไหว และมันใหญ่มากกว่าเดิมเมื่อต้องอยู่อย่างตัวคนเดียว สิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกเหมือนหัวใจถูกห่อหุ้มก็ตอนที่บรรจงเขียนตัวอักษรลงไป มันถูกห่อหุ้มด้วยตัวของตนเอง

ไม่เคยมีเลยสักครั้งที่มือคู่นั้นจะยื่นมาหา ไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีความรักหรือความห่วงใย ซึ่งเธอก็ไม่สามารถตอบคำถามของตัวเองได้เลยสักครั้งว่าทำไมต้องรักเขาขนาดนั้น แม้จะเป็นในตอนที่เขาไม่รักก็ยังคงมอบหัวใจให้อย่างกับคนโง่ เธอบอกเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ผ่านตัวอักษร ทั้งยังเผลอตัดพ้อถึงรักข้างเดียวลงไปด้วย ก่อนจะปิดท้ายด้วยการลงวันที่ไว้ ‘๑๗ กันยายน ๒๕๔๖’ ที่เขียนไปทั้งหมดนั้นนอกจากให้มันได้เป็นเพื่อนตัวเองแล้ว ก็ยังหวังว่าใครสักคนจะได้อ่านมันและทำความเข้าใจในตัวเธอบ้าง

...สักนิดก็ยังดี

เขาจะได้อ่านไหมนะ?

เมื่อคิดเช่นนั้นก็เผลอหัวเราะออกมาราวกับเป็นเรื่องตลก อันที่จริงเธออยากให้เขาได้อ่าน ไม่สิ หากเขารักก็ไม่จำเป็นต้องอ่านเลย เพราะมันคงไม่มีไดอารีเล่มนี้อยู่ในโลก หากว่าชีวิตเป็นอย่างที่วาดฝันไว้ ได้แต่งงานกับคนที่รัก มีลูกน้อยและเลี้ยงดูเขาด้วยความรัก เธอก็คงไม่มีทางมาบอกเล่าเรื่องของตัวเองผ่านปลายปากกาเช่นนี้ แต่ที่ต้องทำเพราะทุกอย่างที่คาดหวังไว้มันพังไม่มีชิ้นดี

ตอนที่ยังเป็นเด็กเธอก็วาดฝันไว้ว่าตัวเองในวัยยี่สิบห้าคงโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ชีวิตความเป็นอยู่ก็คงจะมั่นคง และแน่นอนว่าคงไม่ลืมที่จะมีความสุขด้วย แต่ความเป็นจริงนั้นกลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิง

ผู้ใหญ่คนอื่นเขาร้องไห้กันไหมนะ เธอไม่รู้หรอก แต่เธอก็เป็นแบบนั้น ยังคงนอนร้องไห้บ้างในบางคืน ไม่ได้เข้มแข็งอย่างที่เคยคิด หรือว่าเธอจะเป็นผู้ใหญ่ที่อ่อนแอที่สุดในโลกกัน พอคิดอย่างนั้นแล้วก็รู้สึกแย่กับตัวเองนิดหน่อย แต่ก็คงต้องยอมรับ ใช่ เธอมันเป็นแค่คนอ่อนแอคนหนึ่งเท่านั้น เพราะโลกใบนี้มีบททดสอบที่ยากเกินกว่าจะเอาชนะได้หลายอย่างเหลือเกิน

เมื่อพูดถึงความมั่นคงแล้ว เด็ก ๆ ในยุคสมัยของเธอก็คงไม่พ้นโดนเสี้ยมสอนมาว่าโตไปต้องเป็นเจ้าคนนายคน จะได้อยู่อย่างสุขสบาย แต่ถ้าทั้งโลกเป็นเจ้านายหมด ใครกันจะเป็นลูกน้อง แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น พวกญาติผู้ใหญ่คงแค่อยากจะสื่อว่าให้ลูกหลานพยายามที่จะไต่ไปอยู่ในระดับที่สูงได้ แต่เพราะว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะทำได้ และเธอเป็นหนึ่งในนั้น สุดท้ายแล้วเธอก็ไม่ได้มีความมั่นคงอะไรในชีวิตเลยแม้ว่าจะได้แต่งงานและมีครอบครัวอย่างที่เคยหวังไว้

‘อายุยี่สิบห้าพวกเราคงโตเป็นสาว แต่งงาน มีลูก มีรถและมีบ้าน’

ถ้าจำไม่ผิดเธอพูดประโยคนี้กับเพื่อน ๆ ตอนเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย ต่างคุยกันว่าจะหาสามีแบบไหน จะเลี้ยงลูกอย่างไร เพราะส่วนมากแล้วสังคมก็คาดหวังให้ผู้หญิงเป็นแบบนั้น สังคมคาดหวังให้ผู้หญิงเป็นกุลสตรี รักนวลสงวนตัว เมื่อแต่งงานก็ต้องเป็นภรรยาที่ดีของสามี เป็นแม่ที่ดีของลูก และเป็นแม่บ้านที่ดีของครอบครัว เหมือนว่าสังคมจะไม่ให้โอกาสผู้หญิงได้เป็นตัวเองเลย แต่ช่างประไร ในเมื่อเธอได้ฉีกกฎนั้นมาแล้ว ตอนนี้เธอก็เหลือแค่ต้องเป็นแม่ที่ดีและไม่ลืมที่จะเป็นตัวเองก็เท่านั้น

เธอได้ยินประโยคนี้มาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ‘มีลูกสาวเหมือนมีส้วมอยู่หน้าบ้าน’ แม้แต่พ่อแม่ยังคิดแบบนั้นเลย พวกเขาคิดว่าเมื่อมีลูกสาวแล้วก็จำเป็นต้องดูแลเป็นพิเศษเพื่อไม่ให้ไปทำเรื่องที่ฉาวโฉ่ ไม่เช่นนั้นจะเป็นขี้ปากชาวบ้านได้ และแล้ววันหนึ่งคนที่ถูกด้อยค่าให้เป็นแค่ส้วมก็พังตัวเองจนมันส่งกลิ่นไปทั่ว ไม่ว่าไปทางไหนก็มีแต่คนติฉินนินทา เพราะเหตุนั้นแล้วต่อให้ที่นี่จะทำเหมือนว่าเธอเป็นแค่อากาศก็ยังดีกว่ากลับบ้านไปให้ครอบครัวมองเป็นส้วม

เธอยังคงจดจำได้ดีว่าพ่อแม่โกรธมากเพียงใดที่เธอท้องทั้ง ๆ ที่ไม่ได้แต่งงาน ไม่รู้ว่าทั้งคู่ลืมคำที่พูดกับเธอหรือยัง แต่เธอกลับจำมันได้ดีดั่งบทละครที่อ่านมาเป็นพัน ๆ รอบเพื่อทำการแสดง เพียงแต่นี่ไม่ใช่ละครที่แสดงอยู่บนเวที แต่มันคือละครชีวิตของคนคนหนึ่งที่ต้องรับคำด่าทอเหล่านั้นให้ได้

ในขณะที่นั่งรำลึกความหลังอันขมขื่นก็มีเสียงอ้อแอ้ของเด็กทารกดังเข้าโสตประสาท เธอวางปากกาลงไปบนโต๊ะก่อนจะเก็บไดอารีไว้ที่เดิม จากนั้นก็หันหน้าไปทางเตียงนอนแล้วตรงไปหาอย่างไม่รอช้า จะว่าไปแล้วเธอก็ไม่ได้ตัวคนเดียวสักหน่อย อย่างน้อยก็ยังมีคนคนหนึ่งให้ได้รักสุดหัวใจ รอยยิ้มฉายชัดอยู่บนใบหน้า หากถามว่าอะไรคือความสุขในชีวิตที่ล้มเหลวแบบนี้ คำตอบก็คงเป็นเด็กตัวเล็กที่อยู่ในอ้อมกอดกระมัง

“หิวแล้วเหรอ ถ้ายิ้มให้แม่แม่จะให้กิน” แน่นอนว่าลูกไม่ยิ้มให้เธอหรอก แต่แค่ส่งเสียงเรียกก็ถือว่าเติมเต็มช่องว่างในหัวใจไปได้มากแล้ว จึงยื่นมือไปจับชายเสื้อแล้วเลิกขึ้นเพื่อที่จะให้นมแก่บุตร

ทั้ง ๆ ที่ลูกของเธอน่ารักขนาดนี้ก็ยังมีคนที่ไม่รักไม่เอ็นดู เธอไม่รู้เหตุผลที่แน่ชัดว่ามันเป็นเพราะว่าเด็กคนนี้เป็นลูกของเธอหรือเพราะเกิดมาเป็นผู้หญิง เพราะแม่ของสามีเคยพูดว่าเธอไม่มีค่าอะไรหากไม่คลอดลูกชายให้กับสามี ช่างน่าเวทนานักที่เจ้าหล่อนเองก็เป็นผู้หญิงแต่กลับมองว่าการเกิดเป็นผู้หญิงนั้นไร้ค่า

ตามใจเถิดหนา จะไม่รักก็ไม่เป็นไร เพราะเธอจะรักลูกของเธออย่างสุดหัวใจเอง

เธอละสายตาจากลูกน้อยไปยังนอกหน้าต่างเมื่อไม่ได้ยินเสียงฝนกระทบพื้นดินแล้ว ก่อนจะต้องหันสายตามาทางประตูเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาใกล้ ๆ ให้หลังไม่กี่วินาทีประตูห้องก็ถูกเปิดออกพร้อมกับคนที่เธอแสนจะคิดถึง เขามองมาทางนี้แต่เพียงไม่นานก็เบือนหน้าไปทางอื่น คู่สามีภรรยาทั่ว ๆ ไปก็คงไม่มีอาการเขินอายกันแล้ว รวมถึงคู่ของเธอและเขาด้วย เขาไม่ได้หลบตาเพราะความรู้สึกแบบนั้น แต่เขาคงไม่อยากมองมากกว่า

“อีกสิบนาทีจะมาใหม่”

แล้วประตูก็ถูกปิดลงโดยบุคคลที่สาม เธอเผยยิ้มออกมาเมื่อคิดว่าอีกเดี๋ยวเขาจะมาใหม่ ถึงเจตนาจะมาหาลูก แต่ตัวคุณแม่มือใหม่ก็ได้รับผลพลอยได้ด้วย ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นส่วนหนึ่งที่เพิ่มความอ้างว้างในชีวิต แต่น่าแปลกที่ใจดวงนี้ยังคงเรียกร้องที่จะเห็นหน้าและได้พูดคุยกัน เธอรักเขามากเกินไปและคิดว่าเขาก็ต้องรักเธอไม่ต่างกัน แต่มันไม่ใช่ทุกเรื่องที่คนเราจะสมหวัง ยิ่งเธอทำเรื่องที่ผิดพลาดมาด้วยแล้วก็ยิ่งไปกันใหญ่

แต่ด้วยความสัตย์จริง เธอทำทุกอย่างเพราะความรักทั้งนั้น

เมื่อลูกกินอิ่มแล้วก็จัดแจงเสื้อผ้าของตัวเองให้เข้าที่เข้าทาง ไม่นานนักก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น เธอเผยยิ้มก่อนจะตอบออกไปว่าให้เขาเข้ามาได้เลย หลังจบประโยคก็เห็นว่าอีกฝ่ายเดินเข้ามาในชุดทำงานเหมือนเมื่อครู่ เขาตรงมาที่เตียงก่อนจะอุ้มลูกน้อยไว้แนบอก เธอจึงเอ่ยปากถามออกไปว่าระหว่างทางฝนตกหรือไม่ มันก็แค่ข้ออ้างที่จะได้คุยกันเท่านั้น จะเป็นเรื่องอะไรก็ได้ หากทำให้เธอสามารถพูดคุยกับสามีได้ ภรรยาคนนี้ก็เต็มใจจะหยิบยกมาเป็นประเด็น ทว่าเขาไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ทำเพียงเดินกลับไปทางเดิม

เธอมองภาพนั้นแล้วรู้สึกเหมือนใจกระตุก จะกี่ครั้งก็ไม่เคยชินที่ถูกปฏิบัติดเช่นนี้

เมื่อเขาเดินออกจากห้องไปแล้วก็จัดที่นอนให้เรียบร้อยก่อนจะเดินตามไป ภายในห้องโถงนั้นมีพ่อและแม่ของสามีนั่งอยู่ด้วย เธอก้มหัวให้เป็นเชิงทำความเคารพ พลางทิ้งตัวนั่งลงไปบนโซฟาตัวที่ยังว่างและห่างจากคนอื่นพอสมควร ภาพที่ปรากฏแก่สายตาทำให้ยิ้มได้เพราะรู้ว่าอย่างน้อยลูกสาวก็ได้รับความรักความเมตตาจากคนในบ้านนี้อยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะจากพ่อและปู่ ส่วนคนเป็นย่านั้นแทบจะไม่ชายตามอง ซึ่งเธอก็ไม่ได้คาดหวังอะไรเพราะรู้อยู่แล้วว่าหล่อนไม่ได้เอ็นดูเด็กคนนี้เลย

“เพิ่งตื่นใช่ไหมเนี่ย ตัวนวลเชียว” เธอตอบรับพ่อสามีด้วยคำพูดสั้น ๆ เพราะว่ามันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ หลังจากได้รับคำตอบแล้วอีกฝ่ายก็แค่หันมาส่งยิ้มบาง ๆ ให้ ก่อนจะหันไปฟัดกับหลานสาวตัวน้อย เสียงหัวเราะตามประสาเด็กทารกดังไปทั่วบริเวณ และมันสามารถเรียกรอยยิ้มจากคนที่อยู่ใกล้ชิดได้เป็นอย่างดี จะมีก็แต่ภรรยาของเจ้าของบ้านที่นั่งอยู่เงียบ ๆ พลางแสดงสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์นัก ทว่าก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

“ผมว่าวันนี้ลูกดูอารมณ์ดี”

“คงจะเป็นอย่างนั้นแหละ นับวันก็ยิ่งขี้เล่น เดี๋ยวพอโตนี่น่าจะซนน่าดู”

เธออมยิ้มให้บทสนทนาของพ่อลูกที่เข้าขากันเป็นอย่างดี แม้ว่าเขาจะไม่รักคนเป็นภรรยา ทว่าก็ไม่เคยคิดชิงชังสายเลือดของตัวเอง

ทั้ง ๆ ที่บรรยากาศกำลังดีอยู่แท้ ๆ แต่แม่สามีก็พูดขัดขึ้นมาทำให้ทุกคนเงียบเสียงลงไป “จะซนหรืออะไรก็ไม่ว่า แต่อย่าทำตัวเหมือนคนเป็นแม่ก็พอ”

“น่า อะไรที่มันผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปสักทีเถอะ” หลังจากตอบภรรยาของตนไปแบบนั้น เจ้าตัวก็หันมาสนใจหลานสาวที่อยู่ในอ้อมกอดอีกครั้ง

เธอหันไปมองเจ้าหล่อนด้วยความรู้สึกหลากหลายที่อัดแน่นอยู่ในใจ จะว่าโกรธมันก็ใช่ แต่ก็เข้าใจที่ทุกอย่างมันเป็นแบบนี้ ที่จริงเธอก็สับสนและรู้สึกผิด แต่คนเราไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขเรื่องราวในอดีตได้ ซึ่งหากย้อนไปได้เธอก็คงทำแบบเดิมแม้จะรู้ว่าอนาคตจะต้องเจ็บ เพราะการปล่อยให้คนที่รักไปเป็นของคนอื่นนั้นคงไม่ต่างอะไรกับการตายทั้งเป็น ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าผิดแต่ก็ยังทำ

ได้โปรดอภัยให้ลูกด้วย ลูกได้ทำผิดมหันต์ลงไป แต่ลูกก็เดินเข้ากองไฟด้วยใจที่เต็มไปด้วยความรัก

คนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีไม่ได้ขยับปากเพื่อพูดอะไรแม้แต่ประโยคเดียว ไม่ได้แสดงท่าทีว่าต้องการปกป้องกันแต่อย่างใด หากไม่มีพ่อสามีร่วมวงสนทนาอยู่ด้วยเธอคงรู้สึกว่าตัวเองแตกสลายกว่านี้ สุดท้ายเขาก็หันไปหาลูกสาวโดยปล่อยให้เธอในฐานะภรรยานั่งเป็นอากาศธาตุอยู่อย่างนั้น

ไม่นานนักก็ถึงเวลามื้ออาหาร แม่บ้านจึงรับหน้าที่ดูแลลูกเพราะเธอต้องไปทานมื้อเย็น บรรยากาศบนโต๊ะอาหารไม่ได้แตกต่างจากวันที่ผ่านมา นั่นคือมักจะมีบทสนทนาของพ่อแม่ลูก และเธอจะทำหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดีเท่านั้น จะมีบางทีที่พ่อสามีชวนคุยในเรื่องจิปาถะ ที่ส่วนมากก็เป็นเรื่องของหลานสาวของเจ้าตัว

ประเด็นในวันนี้เป็นเรื่องของกงสี นั่นคือร้านทองจำนวนสองสาขา และเธอรู้มาว่าภายในสองปีข้างหน้าจะทำการขยายเพิ่มอีกหนึ่งสาขา คนที่จะรับช่วงต่อก็คือสามีของเธอ แต่หลังจากนั้นก็คงต้องเป็นลูกสาวที่ย่าไม่ได้มองว่าเป็นหลานคนโปรด แต่จะให้เธอตั้งครรภ์อีกครั้งและคลอดลูกชายให้ครอบครัวนี้ก็ดูจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะหลังจากคืนนั้นทั้งเธอและเขาก็ไม่ต่างอะไรกับคนแปลกหน้า เป็นแค่สามีภรรยาในนาม ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมาย อย่างว่า คนอย่างเธอได้ขนาดนี้ก็บุญท่วมหัวแล้ว

หลังจากทานอาหารเสร็จเป็นที่เรียบร้อยต่างก็พากันแยกย้ายไปยังห้องของตัวเอง แต่ก่อนที่เธอจะได้กลับห้องก็ต้องเดินไปยังห้องโถงอีกรอบเพราะต้องไปรับลูกที่แม่บ้านเลี้ยงไว้ เธอไม่ลืมที่จะเอ่ยปากเพื่อบอกขอบคุณที่เป็นธุระให้ อีกฝ่ายก็ส่งยิ้มกลับมา จึงอุ้มลูกไว้แนบอกแล้วเดินขึ้นชั้นบนเพื่อตรงไปยังห้องของตน

ที่หน้าประตูห้องนอนมีผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ เขาคือสามีแสนรักนั่นเอง รู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่เห็นอีกฝ่ายมายืนรออยู่แบบนี้ ทั้ง ๆ ที่ปกติก็แทบจะไม่เห็นกันอยู่ในสายตาเลย แต่มันก็ทำให้เธอยิ้มได้ จึงเร่งฝีเท้าเพื่อไปให้ถึงที่หมายโดยเร็ว

“พี่มีธุระอะไรหรือเปล่า”

“เดี๋ยวคืนนี้จะขอนอนกับลูก”

“หมายถึง?” สาวเจ้าเอียงคอมองอย่างนึกสงสัย ตั้งแต่ที่รู้ตัวว่าท้องแล้วได้ก้าวมาอยู่ในบ้านหลังนี้ เขาไม่เคยเอ่ยปากพูดแบบนี้เลยสักครั้ง เนื่องจากสองสามีภรรยาแยกห้องกันนอน เธอจึงนอนคนเดียวมาตลอด เพิ่งจะเป็นช่วงห้าเดือนที่แล้วนี่เองที่ได้นอนสองคนกับลูก “พี่จะมานอนที่ห้องกับลูกเหรอ”

เธอถามออกไปพร้อมรอยยิ้ม ก่อนที่มันจะค่อย ๆ จางลงเมื่อได้รับคำตอบจากปากเขา “เปล่า เดี๋ยวค่ำ ๆ จะมารับลูกไปนอนด้วย”

“ถ้าอย่างนั้นสาก็ต้องนอนคนเดียวใช่ไหม” เขาไม่ตอบ และนั่นก็เป็นคำตอบที่เข้าใจได้แล้ว “แต่ลูกยังเด็ก ยังไงก็คงจะตื่นมากินนมตอนดึก ๆ”

“พอลูกตื่นเธอก็เดินมาสิ”

“แบบนั้นมันจะไม่ลำบากเหรอ ยังไงลูกก็ต้องนอนกับสา”

“เธอกำลังจะบอกว่าฉันไม่สามารถนอนกับลูกตัวเองได้อย่างนั้นเหรอ ทำไมล่ะ เขาเป็นลูกของเธอคนเดียวหรือไง”

“ไม่ได้หมายความแบบนั้นนะ พี่ก็นอนกับลูกได้ แต่ลูกก็ต้องนอนกับสาเพราะแกยังเด็ก มีทั้งหิวนม ตื่นกลางดึก เปลี่ยนผ้าอ้อม”

“สรุปคือถ้าอยากนอนกับลูกก็ต้องนอนกับเธอด้วยงั้นสิ” คนถูกถามพยักหน้ารับ เพราะมันควรจะเป็นแบบนั้นจริง ๆ หากว่าลูกโตกว่านี้มันก็คงไม่มีปัญหา “ได้ เตรียมที่นอนไว้ที่พื้นด้วย”

เธอเดินเข้าห้องนอนพร้อมรอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้า เมื่อเข้ามาแล้วก็อาบน้ำให้ลูกก่อนจะจัดแจงที่หลับที่นอนให้เรียบร้อย โดยไม่ลืมเตรียมฟูกไว้สำหรับปูที่พื้นอย่างที่เขาได้เอ่ยปากบอกไว้

ท้องฟ้ากลายเป็นสีดำแต่ลูกน้อยยังไม่หลับตาลง หากเป็นอย่างนั้นคนเป็นแม่ก็ปลีกตัวไปอาบน้ำไม่ได้ เนื่องจากไม่สามารถทิ้งลูกไว้โดยลำพัง จนกระทั่งมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนที่มันจะถูกเปิดออกโดยคนมาใหม่ เขาอยู่ในชุดนอนเรียบร้อยแล้ว จึงโพล่งออกไปว่าขอฝากลูกสักพัก ด้วยเธอต้องไปอาบน้ำ เขาไม่ได้ตอบเป็นคำพูดแต่เลือกที่จะเดินตรงมาหาลูกสาวที่เตียงนอน

เมื่อเป็นเช่นนั้นเธอจึงเดินไปยังห้องน้ำเพื่อจัดการธุระส่วนตัว ก่อนจะออกมาในเวลาไม่นานนัก ภาพที่เห็นทำให้รู้สึกอบอุ่นหัวใจ เพราะเขาก้มหน้าลงไปฟัดกับลูกสาวจนได้ยินเสียงของเด็กทารกหัวเราะร่าออกมาอย่างมีความสุข ร่างบางเดินไปนั่งบนเตียงแล้วเอื้อมมือไปลูบหัวแก้วตาดวงใจอย่างอ่อนโยน

“ทำไมจู่ ๆ ถึงอยากนอนกับลูกเหรอ”

“ไม่เกี่ยวกับเธอสักหน่อย”

หญิงสาวหัวเราะออกมาน้อย ๆ แม้ว่าจะไม่มีอะไรให้ขำเลยสักนิด “ในฐานะแม่ก็แค่อยากรู้”

“ในฐานะพ่อ ฉันไม่อยากบอก”

“พี่นี่ก็นะ ใจร้ายจริง ๆ”

“ไม่เท่าเธอหรอก อีกอย่าง คนอย่างเธอไม่ควรว่าใครแบบนั้นนะ”

สุดท้ายก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป จนในที่สุดก็ให้ลูกกินนมจนหลับ ในระหว่างนั้นเขาก็เดินไปยังระเบียงห้องเพื่อที่จะหลบสายตาจากเรื่องเหล่านี้ เมื่อลูกหลับแล้วก็เอ่ยปากเรียกเขาเพื่อให้กลับมานอนในห้อง ส่วนตัวเธอก็จัดแจงตัวเองก่อนจะล้มตัวลงนอน ทว่ากลับมีเสียงของเขาดังขึ้นเพื่อสื่อว่าตนจะนอนด้านบน เธอเลิกคิ้วมองอย่างไม่เข้าใจ หากเป็นอย่างนั้นจะให้เสียเวลาปูฟูกไว้ที่พื้นไปเพื่ออะไร

“เปลี่ยนใจไม่นอนพื้นแล้วเหรอ”

“ไม่เคยเปลี่ยน เพราะไม่คิดจะนอนตั้งแต่แรก” หลังจากได้รับคำตอบแล้วก็นิ่งไปทันทีเมื่อเริ่มจะเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ “เชิญ”

“แต่นี่มันห้องของสา”

“เหรอ แต่บ้านของฉัน”

ไม่ว่าอย่างไร เธอมันก็เป็นได้แค่ภรรยาแสนชัง

⋆ ˚。⋆୨୧˚ ˚୨୧⋆。˚ ⋆

อ่านต่อ

หนังสืออื่นๆ ของ BVMEOW

ข้อมูลเพิ่มเติม

หนังสือที่คุณอาจชอบ

ทะลุมิติมาเป็นบุตรสาวหญิงหม้าย

ทะลุมิติมาเป็นบุตรสาวหญิงหม้าย

l3oonm@
5.0

จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น

บุตรีอนุผู้ถูกทอดทิ้ง

บุตรีอนุผู้ถูกทอดทิ้ง

มาชาวีร์
4.8

หลี่เมิ่งเหยาย้อนเวลามาอยู่ในร่าง ของเด็กสาววัยสิบสองปี ในวันที่มารดาอนุผู้โง่เขลา ถูกขับไล่ออกจากจวน โชคยังดีที่ตอนตาย นางสวมกำไลหยกโลกันตร์เอาไว้ มันจึงติดตามนางมาที่นี่ด้วย +++ 1 : มารดาโง่ จนถูกไล่ออกจากตระกูล จวนตระกูลหลี่เจ้าเมืองถัง สตรีสองนางถูกสาวใช้จับคุกเข่าลง ตรงหน้าของหลี่หงซวนเจ้าเมืองถัง ทั้งยังเป็นพ่อสามีของทั้งคู่อีกด้วย ท่านกำลังสอบสวนเรื่องของสะใภ้ใหญ่ของบ้านสาม ถูกฮูหยินรองกับอนุรวมหัวกันลอบทำร้าย ด้วยการวางยาขับเลือดในถ้วยน้ำแกงบำรุงครรภ์ ทำให้นางต้องสูญเสียทารกในครรภ์ไป “ท่านพ่อข้าไม่รู้จริง ๆ ว่านั่นเป็นยาขับเลือด ฮูหยินรองบอกว่าเป็นน้ำแกงบำรุงครรภ์ ให้ข้าเป็นคนนำไปมอบให้ฮูหยินใหญ่ เป็นนางนั่นเอง นางหลอกข้า !” เฉาซูหลิ่งชี้นิ้วไปทางสตรีด้านข้าง ร้อนรนเอ่ยออกมาเหมือนคนไม่ได้รับความเป็นธรรม “อนุเฉาเจ้าอย่ามาใส่ร้ายข้านะ เจ้าทำคนเดียวทั้งนั้นไม่เกี่ยวกับข้าเลย” ฮูหยินรอง ถูซวงอี้ ชี้นิ้วใส่หน้าเฉาซูหลิ่งกลับคืน ต่างคนต่างโยนความผิดให้กัน ฮูหยินผู้เฒ่าหลิวเยี่ยนหนานโบกมือให้คนเข้ามา “ข้าให้โอกาสพวกเจ้าสองคนพูดความจริง แต่กลับไม่มีใครยอมรับความผิดแม้แต่คนเดียว มันน่าจับส่งทางการให้รู้แล้วรู้รอด” พ่อบ้านหลัวให้คนลากสาวใช้คนหนึ่งเข้ามา สภาพของนางถูกทรมานจนเนื้อตัวบวมช้ำไปหมด “เรียนนายท่านข้าให้คนไปค้นห้องสาวใช้ทุกคนในจวน พบเทียบยาซ่อนไว้ใต้หมอน จากห้องของสาวใช้คนนี้ขอรับ” ถูซวงอี้ถึงกับคุกเข่าต่อไปไม่ไหว ทิ้งตัวลงไปนั่งอยู่บนพื้น สาวใช้ที่ถูกทรมานจนสภาพน่าเวทนานั่น เป็นเสี่ยวอิงสาวใช้สินเดิมของนางเอง “ฮูหยินรอง ข้าขอโทษ ข้าทนต่อไปไม่ไหวจริง ๆ ข้าขอโทษ !” เสี่ยวอิงโขกศีรษะลงตรงหน้าของถูซวงอี้แรง ๆ น้ำตาไหลนองหน้าจน แทบไม่เป็นผู้เป็นคนอยู่แล้ว พ่อบ้านหลัวเอ่ย “ข้าให้คนไปถามที่หอโอสถแล้วขอรับนายท่าน เป็นเทียบยาขับเลือดจริง ๆ” หลี่หงซวนมองไปทางบุตรชายคนที่สามของตน พบว่าเขามีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก สตรีที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าคือฮูหยินรอง กับอนุภรรยาที่เขารักใคร่ไม่ต่างกัน เหตุใดถึงได้คิดร้ายต่อฮูหยินใหญ่ของเขาได้ เป็นเหตุให้เขาต้องสูญเสียลูกที่อยู่ในท้องของนางไป เดิมทีฮูหยินใหญ่ของเขาก็ตั้งท้องยากอยู่แล้ว เขารอมาตั้งนานกว่าจะมีวันนี้ได้ ไม่คิดมาก่อนว่าจะต้องสูญเสียไปเช่นนี้ “หย่วนเจ๋อนี่เป็นเรื่องในเรือนของเจ้า เจ้าอยากตัดสินเรื่องนี้ด้วยตัวเองหรือไม่” ผู้เป็นบิดาเอ่ยถามบุตรชาย “ไม่ ข้าไม่อยากเห็นหน้าพวกนางอีกต่อไป แล้วแต่ท่านพ่อเถอะขอรับ ข้าขอตัวไปดูฮูหยินใหญ่ก่อน” หลี่หย่วนเจ๋อคำนับบิดา สะบัดแขนเสื้อเดินจากไปในทันที หางตายังไม่แม้แต่จะมองสตรีทั้งสองนาง เฉาซูหลิ่งลนลานตามเขาไป “ท่านพี่ช่วยข้าด้วย ข้าไม่ผิดนะเจ้าคะ ท่านพี่ !” แต่ถูกบ่าวรับใช้ขวางทางเอาไว้ หลี่หงซวน “หยุดโวยวายได้แล้วอนุเฉา เจ้าเป็นคนถือถ้วยน้ำแกงใส่ยาขับเลือด ไปมอบให้ฮูหยินใหญ่ด้วยตัวเอง ยังคิดจะหนีความผิดนี้ไปได้อีกรึ” “ท่านพ่อขะข้าข้า...ไม่ผิด” เฉาซูหลิ่งทิ้งตัวไปด้านหลังอย่างหมดเรี่ยวแรง เดิมทีนางก็ไม่เป็นที่โปรดปรานของพ่อแม่สามีอยู่แล้ว เพราะไม่สามารถให้กำเนิดบุตรชายได้ ครั้นได้บุตรสาวก็นิสัยขี้ขลาดขี้กลัว ไหนเลยจะเชิดหน้าชูตาให้ตระกูลหลี่ได้ เฉาซูหลิ่งนั่งเหม่อลอย คล้ายคนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ขณะที่หลี่หงซวนกำลังประกาศโทษทัณฑ์ของพวกนาง ถูซวงอี้กับคนของนาง ถูกขายออกจากจวน ไปอยู่หอนางโลมอย่างเงียบ ๆ ชาตินี้อย่าได้ก้าวเท้า กลับมาเหยียบที่จวนตระกูลหลี่อีก ส่วนเฉาซูหลิ่งถูกขับไล่ออกจากจวน ไปพร้อมกับบุตรสาว ให้ไปอยู่เรือนร้างของตระกูลหลี่ที่เมืองฉาง ห้ามกลับมาที่ตระกูลหลี่อีกชั่วชีวิต “ท่านพ่อท่านขับไล่ข้าไป ข้ายังพอรับได้ เหตุใดต้องขับไล่เหยาเอ๋อร์ไปด้วย นางเพิ่งจะสิบสองปีเองนะเจ้าคะ” เฉาซูหลิ่งนึกถึงบุตรสาวร่างกายผ่ายผอม นอนซมเพราะพิษไข้อยู่ เกิดนึกสงสารนางขึ้นมาจับใจ ฮูหยินผู้เฒ่าหันไปมองสามีเล็กน้อย นางเห็นเด็กสาวคนนั้นมาตั้งแต่เกิด แม้ไม่ได้เอ็นดูแต่ก็นับว่าเป็นสายเลือดเดียวกัน “ฮูหยินเรื่องนี้ข้าตัดสินใจไปแล้ว ไม่อาจคืนคำได้” คำพูดของประมุขของตระกูล มีหรือใครจะกล้าขัด เฉาซูหลิ่งปล่อยเสียงร้องไห้โฮออกมาดัง ๆ นางโง่งมจนทำให้บุตรสาว ต้องมารับเคราะห์กรรมตามไปด้วย “ลากตัวอนุเฉาออกไป หารถม้าสักคันให้คนส่งนาง ไปที่เรือนร้างเมืองฉาง” คำสั่งของหลี่หงซวนเป็นคำขาด บ่าวไพร่รีบทำตามในทันที ครั้นได้อยู่ด้วยกันเพียงลำพังกับฮูหยินผู้เฒ่า หลี่หงซวนถึงได้บอกเหตุผล ที่ต้องตัดสินใจทำเช่นนี้ นั่นเพราะตระกูลจี้ได้ยื่นคำขาดมา ให้ขับไล่พวกเขาออกไปให้หมด อย่าให้เหลืออยู่แม้แต่ตนเดียว ไม่ต้องการให้คนที่ทำร้ายบุตรสาวของพวกเขา อยู่ระคายสายตาของจี้ชิวหรงอีกต่อไป ฮูหยินผู้เฒ่าแค่นออกมาหนึ่งคำ “อ้างเหตุผลข้าง ๆ คู ๆ ความจริงแล้วต้องการกำจัดอนุในเรือนบุตรสาวทิ้งให้หมด นี่กระทั่งเด็กคนหนึ่งก็ไม่เว้น แต่ก็เอาเถอะ เหยาเอ๋อร์อยู่ที่นี่ ก็ใช่จะมีประโยชน์อันใด นางไม่ได้อยู่ในสายตาของพวกเราด้วยซ้ำ ให้นางไปกับแม่ของนางนั่นแหละดีแล้ว” หลี่หงซวนนั้นเป็นเพียงเจ้าเมืองเล็ก ๆ มีตำแหน่งเป็นขุนนางขั้นที่ห้า ฝั่งตระกูลจี้บ้านเดิมของจี้ชิวหรงนั้น อยู่ในเมืองหลวงมีตำแหน่งใหญ่โตกว่าหนึ่งขั้น เรื่องนี้เขาจึงต้องขบคิด ถึงผลได้ผลเสียในอนาคตอีกด้วย การเสียสละอนุกับหลานสาวคนหนึ่ง เพื่อชดเชยให้แก่คนตระกูลจี้ นับว่าเป็นเรื่องสมควรทำแล้ว “ข้าก็คิดเช่นฮูหยินนั่นแหละ เพียงแต่สะใภ้สามแท้งคราวนี้ ไม่รู้จะยังสามารถตั้งท้องได้อีกหรือไม่ พวกเรารอดูไปก่อนดีกว่า หากนางไม่สามารถตั้งท้องได้จริง ๆ เราค่อยหาอนุมาให้หย่วนเจ๋อภายหลังก็ยังได้ ยามนั้นคนตระกูลจี้จะเอาอะไรมาง้างกับเราได้อีก” “จริงดังท่านว่าเจ้าค่ะ” ฝ่ายเฉาซูหลิ่งที่ถูกคนใช้ ลากตัวออกมาให้เก็บของในเรือน นางส่งเสียงเอะอะโวยวายตลอดทาง พร่ำบอกต้องการพบหลี่หย่วนเจ๋อให้ได้ แต่ถูกสาวใช้ขวางไว้ไม่ให้ไป นางจำใจกลับไปยังห้องนอนของตัวเอง รีบเก็บของสำคัญใส่ห่อผ้าเพื่อออกเดินทาง

คลับรัก รักนะครับที่รักของผม

คลับรัก รักนะครับที่รักของผม

bankpan
5.0

อาร์ม>>>นักศึกษาปี4 คณะวิศวะ สุดหล่อที่โคตรใจร้อนไม่เคยสนใจผู้หญิงคนไหนนอกจากน้องสาวอย่างแอมแปร์และเพื่อนรักอย่างน้ำฝน "เด็กแพทย์กูนึกว่ามีแต่คนเรียบร้อย แต่คนนี้กูว่ามาร้อยก็เรียบ" เมเบิ้ล>>>นักศึกษาปี4 คณะแพทย์ สาวสวยประจำคณะ เพื่อนสนิทของน้ำขิง สวยแรง เก่ง ฉลาด "เรียนแพทย์เขาใช้สมองนะ ไม่ใช่การแต่งตัว" ดีม>>>นักศึกษาป.โท คณะวิศวะ เพื่อนสนิทของอานนต์ เพลย์บอย เจ้าชู ไม่เคยจริงจังกับใคร "ก็พี่อยากรับผิดชอบหนูนี่คะ" แอมแปร์>>>นักศึกษาปี1 คณะบริหารสาวสวยที่พี่ชายโคตรหวง น่ารัก นิสัยดี แต่ดวงซวยเสียทีให้ผู้ชายในผับของพี่ตัวเอง "จะตามหนูเป็นเงาเลยรึไงคะ"

บท
อ่านเลย
ดาวน์โหลดหนังสือ
เมื่อฟ้าเป็นใจ
1

บทที่ 1 ยามฟ้าหม่น (1)

01/08/2024

2

บทที่ 2 ยามฟ้าหม่น (2)

01/08/2024

3

บทที่ 3 ฟ้าวันใหม่ (1)

13/08/2024

4

บทที่ 4 ฟ้าวันใหม่ (2)

13/08/2024

5

บทที่ 5 ฟ้าวันใหม่ (3)

13/08/2024

6

บทที่ 6 ฟ้าวันใหม่ (4)

13/08/2024

7

บทที่ 7 จังหวะจะรัก (1)

13/08/2024

8

บทที่ 8 จังหวะจะรัก (2)

13/08/2024

9

บทที่ 9 จังหวะจะรัก (3)

13/08/2024

10

บทที่ 10 จังหวะจะรัก (4)

13/08/2024

11

บทที่ 11 แม่แพะกับลูกแกะ (1)

13/08/2024

12

บทที่ 12 แม่แพะกับลูกแกะ (2)

13/08/2024

13

บทที่ 13 ให้รักนำทาง (1)

13/08/2024

14

บทที่ 14 ให้รักนำทาง (2)

13/08/2024

15

บทที่ 15 ให้รักนำทาง (3)

13/08/2024

16

บทที่ 16 ให้รักนำทาง (4)

13/08/2024

17

บทที่ 17 คงต้องเสี่ยง (1)

13/08/2024

18

บทที่ 18 คงต้องเสี่ยง (2)

13/08/2024

19

บทที่ 19 คงต้องเสี่ยง (3)

13/08/2024

20

บทที่ 20 บทบาทของคนแอบรัก (1)

13/08/2024

21

บทที่ 21 บทบาทของคนแอบรัก (2)

13/08/2024

22

บทที่ 22 บทบาทของคนแอบรัก (3)

13/08/2024

23

บทที่ 23 บทบาทของคนแอบรัก (4)

13/08/2024

24

บทที่ 24 วอนลมห่มรัก (1)

13/08/2024

25

บทที่ 25 วอนลมห่มรัก (2)

13/08/2024

26

บทที่ 26 วอนลมห่มรัก (3)

13/08/2024

27

บทที่ 27 วอนลมห่มรัก (4)

13/08/2024

28

บทที่ 28 รักเอยเตยหอม (1)

13/08/2024

29

บทที่ 29 รักเอยเตยหอม (2)

13/08/2024

30

บทที่ 30 รักเอยเตยหอม (3)

13/08/2024

31

บทที่ 31 ก่อนตัดใจร้างรา (1)

13/08/2024

32

บทที่ 32 ก่อนตัดใจร้างรา (2)

13/08/2024

33

บทที่ 33 ก่อนตัดใจร้างรา (3)

13/08/2024

34

บทที่ 34 ก่อนตัดใจร้างรา (4)

13/08/2024

35

บทที่ 35 ใจถึงพึ่งได้ (1)

13/08/2024

36

บทที่ 36 ใจถึงพึ่งได้ (2)

13/08/2024

37

บทที่ 37 ใจถึงพึ่งได้ (3)

13/08/2024

38

บทที่ 38 ใจถึงพึ่งได้ (4)

13/08/2024

39

บทที่ 39 ผ่านพบเพื่อผูกพัน (1)

13/08/2024

40

บทที่ 40 ผ่านพบเพื่อผูกพัน (2)

13/08/2024