อาภรณ์พิษ ทรราชหลงรัก
เจ็บแต่ไม่ยอมปล่อยมือ
ลิขิตรักภรรยาตัวร้าย
ที่แท้เป็นคุณหนูตัวจริง
เมียผมน่ารักจัง
เป็นสุดที่รักของผู้เผด็จการ
โชคชะตาของพระชายา
ผู้บัญชาการรักซ้อนแค้น
รักใหม่พันล้าน
คุณท่าน คุณนายมาหาอีกแล้ว
วันแรกของเดือนกุมภาพันธ์ วันสุดท้ายที่อรัณย์จะมีบิดาร่วมหายใจอยู่บนโลกใบนี้
ข่าวการเสียชีวิตของผู้เป็นพ่อที่จากไปอย่างสงบ ทำให้บุตรชายคนโตของสิริพัฒนาเคว้งคว้างเหลือคณา เกือบห้านาทีเห็นจะได้ที่เขาค้างเติ่งอยู่ที่เดิม น่าแปลกที่น้ำตามิได้หลั่งไหลเพื่อสนองแก่ความเสียใจ แต่ความโศกที่ก่อตัวขึ้นกลับอัดแน่นอยู่ในตัวชายหนุ่มจนเกิดความอึดอัด
คล้ายว่าเบื้องหน้าไร้แสงสว่างไปชั่วขณะ อนธการได้ปกคลุมไปทั่วบริเวณทั้งๆ ที่เพิ่งเป็นเวลาเก้าโมงเช้า
อาจจะด้วยความเป็นลูกชายหรืออะไรก็มิทราบ แต่เขาไม่มีความสนิทชิดเชื้อกับผู้เป็นพ่อมากนัก ทว่าสายใยแห่งความรักก็มีอยู่จริง และการจากไปของบิดาราวพรากจิตวิญญาณของเขาไปจนเหลือเพียงกายหยาบ
อรัณย์ทรุดตัวลงนั่งบนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง ลมหายใจติดขัดคล้ายมีก้อนบางอย่างจุกอยู่ที่ลำคอ
ภาพของพ่อที่คอยถามไถ่ พูดคุย และคอยทำงานหนักเอาเบาสู้เพื่อเลี้ยงครอบครัว รอยยิ้มยามได้บ้านหลังใหม่จากน้ำพักน้ำแรงของลูกชายอย่างเขา รถคันใหม่ที่เขาซื้อให้แทนรถบุโรทั่งที่เป็นมรดกตกทอดตั้งแต่รุ่นปู่ ทุกๆ อย่างต่างไหลเข้ามาในหัวอย่างกับถูกโปรแกรมตั้งไว้
เขาไม่สนิทกับพ่อ ไม่ได้หมายความว่าไม่รัก แต่เหมือนเขาจะลืมไปเลยว่าชีวิตนั้นสั้นเหมือนหนึ่งฟูมฟองของหยดน้ำ ที่หยดลงไปบนใบบัวบอน ใช้เวลาอยู่บนนั้นจนชีวิตสุกงอม สุดท้ายก็ล่วงหล่นกลับคืนสู่พื้นดิน เขาลืมไปเสียสนิทว่าชีวิตเป็นเช่นนั้น เวลาที่มีมากมายจึงไม่ได้บอกกับพ่อไปว่ารัก
คำสั้นๆ คำเดียว เขากลับใช้เวลาทั้งชีวิตของพ่อที่จะเอ่ย และทั้งๆ ที่มีเวลามากขนาดนั้น เขากลับไม่ได้พูดออกไป มาเสียดายเอาก็ตอนที่ท่านไม่อยู่เพื่อรอฟังอีกแล้ว
ภายในบ้านเช่าคล้ายมีมวลอากาศแสนน่าอึดอัดแทรกตัวอยู่ทุกพื้นที่ เขาหายใจถี่ๆ ก่อนพยายามตั้งสติ ในเมื่อความสูญเสียได้เกิดขึ้นแล้ว เขามีเพียงต้องยอมรับ เพราะคงไม่มีใครเอาชนะความตายได้ พ่อเขาเองก็เช่นกัน
อรัณย์โตขึ้นแล้ว ยอมรับความสูญเสียได้ดีขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่เสียใจยามต้องประสบพบเจอกับเรื่องราวเช่นนั้น เขาไม่ฟูมฟาย ไม่ตีอกชมลมและปฏิเสธความจริงว่าพ่อยังอยู่ แต่เลือกที่จะยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยใจที่แสนกำสรด
อรัณย์ต่อสายหาเจ้านายเพื่อแจ้งข่าวให้ทราบ เขาจำต้องเดินทางกลับไปยังอำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ซึ่งเป็นบ้านเกิดเมืองนอนเพื่อไปให้ทันรดน้ำศพผู้เป็นบิดา หลังปราชญาธิปทราบข่าวการจากไปของคนสำคัญในชีวิตลูกน้อง เขาก็ตั้งใจจะไปร่วมงานด้วยอย่างไม่ลังเล
รวมถึงอัสมา ภรรยาแสนรักของเจ้านาย ด้านพี่ๆ น้องๆ ในกลุ่มการทำงานทั้งสามก็ไม่ต่าง พี่ใหญ่อย่างชยางกูรเพิ่งหายขาดจากอาการแพ้ท้องแทนเมียมาหมาดๆ ทว่าพอรู้ข่าวก็พาภรรยาท้องอ่อนมาปักหลักรอที่บ้านเจ้านาย ดิฐากรขอปิดร่ำเมรัยเพื่อไปร่วมงาน เจ้าของอย่างวรัสยาก็ยินดี เพราะตัวเธอกับสามีและลูกๆ ก็ตั้งใจที่จะไปร่วมไว้อาลัยกับผู้เสียชีวิต ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญของคนสนิทชิดเชื้ออย่างอรัณย์
แม้แต่นักการเมืองหนุ่มอย่างธนบดีและภริยาก็ยังสละเวลาเพื่อไปกับทุกคน
ทุกชีวิตรวมตัวกันอยู่ที่บ้านของปราชญาธิป เพื่อเตรียมตัวออกเดินทางให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้
เพื่อความสะดวกเนื่องด้วยมีคนจำนานมาก จึงเลือกที่จะเดินทางด้วยรถใครรถมัน เว้นก็แต่ดิฐากรและอรัณย์ที่เลือกใช้รถคันเดียวกันเพราะเป็นหนุ่มโสด ไม่มีครอบครัวเหมือนใครอื่นเขา
ขบวนรถขนาดย่อมออกเดินทางจากนครนายกในช่วงสายของวัน รถคันแรกเป็นของอรัณย์ ซึ่งจำเป็นต้องนำทางให้คันอื่นๆ ได้ไปยังบ้านของเจ้าตัว
ดิฐากรที่นั่งอยู่ข้างคนขับเอ่ยขึ้นหลังจากเงียบอยู่นาน “มึงไหวไหม กูขับให้ก็ได้นะ”
“ไหว”
“ไม่ต้องฝืนก็ได้”
“ไม่ได้ฝืน กูขับไหวจริงๆ”
ความเงียบเข้ามามีบทบาท แต่แล้วผู้จัดการร่ำเมรัยก็ทำลายมันลง
“ถ้าไม่ไหวก็บอก กับทุกเรื่องเลยน่ะ”
สารถีเพียงแค่ให้ความเงียบได้ทำงาน แล้วจึงตอบออกไปสั้นๆ “ขอบใจ”
สองหนุ่มจึงไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีก คนหนึ่งจมอยู่กับความคิดของตัวเอง อีกคนคอยอยู่ข้างๆ ไม่ห่างไปไหน เพียงเท่านั้นคนที่สูญเสียบุคคลสำคัญก็พอได้อุ่นใจที่ยังมีมิตรภาพดีๆ ไม่ใช่แค่กับเพื่อนสนิทคนนี้ แต่ทุกๆ คนทำให้เขารู้สึกว่าเขาไม่ได้โดดเดี่ยว โลกนี้ยังมีคนที่เป็นครอบครัวต่างสายเลือดอยู่อีกหลายคน
คนที่ไม่ได้เป็นญาติ ไม่ได้เกี่ยวพันทางสายเลือด แต่รักและเคารพกันเหมือนคนในครอบครัว ก็คงไม่พ้นคนเหล่านี้ที่สละทุกอย่างตรงหน้าเพื่อมากับเขา
นัยน์ตาหวานจดจ้องไปยังร่างของชายหนุ่มที่แต่งกายด้วยชุดสีดำ ซึ่งเป็นเช่นนี้มาสามวันแล้ว
เสียงใสเอ่ยขึ้น “เมื่อคืนพี่ไปงานศพมาเหรอ”
เธอก็ได้ข่าวมาบ้างว่าพ่อของเพื่อนสมัยเด็กของคนตรงหน้าเสียชีวิต ‘เพื่อน’ ของเขาคนนั้นเธอก็พอจะรู้จัก ในอดีตเคยเห็นหน้าค่าตามาบ้าง รู้จักชื่อเพราะได้ยินคนอื่นๆ เรียกขาน แต่ไม่ได้รู้จักกัน ทั้งเขาและเธอจึงไม่ถูกนับเป็นคนรู้จักกันไปโดยปริยาย ด้วยเหตุนั้นงานศพพ่อของเขา เธอถึงไม่ได้ไปร่วมไว้อาลัย ต่างกับพี่ชายคนนี้ที่ไปตั้งแต่คืนแรก และคงจะไปจนถึงวันฌาปนกิจด้วยซ้ำ
ที่สำคัญเธอคร้านจะออกไปพบปะผู้คน รู้อยู่แก่ใจว่าหากเจอหน้าเธอแล้ว ชาวบ้านจะพูดอะไร
เรื่องแสลงหูพรรค์นั้นเธอไม่อยากจะได้ยินเลยจริงๆ
คนเพิ่งตื่นพยักหน้ารับส่งๆ “ฝากร้านหน่อยนะ บ่ายครึ่งลูกค้ามา ค่อยเข้าไปปลุก”
“อื้อ” ในขณะที่ ‘พี่ชายคนสนิท’ ทั้งยังพ่วงตำแหน่ง ‘เจ้านาย’ ตั้งท่าจะเดินเข้าห้องนอนที่อยู่ด้านใน โดยที่ด้านนอกถูกปรับให้เป็นร้านสัก เธอก็เอ่ยรั้งเขาไว้เสียก่อน “แล้ววันนี้จะกินข้าวอะไร”
“ผัดพริก”
“ไข่ดาวไม่สุก?”
“เก่ง” ว่าพร้อมยกนิ้วโป้งให้น้องสาวที่ตนเอ็นดู ด้านคนเก่งนึกฉงน ก็ไม่ว่าจะทานอะไร เขาจะต้องสั่งไข่ดาวไม่สุกทุกครั้ง ถ้าเธอไม่รู้ก็แปลก “น้ำแดงขวดหนึ่งด้วย งั้นเข้ามาปลุกพี่สักบ่ายสิบห้าแล้วกัน จะได้กินข้าวก่อนสัก”
รับคำเสร็จสรรพ เจ้าของร้านสักนามว่าถิรมันก็เดินกลับเข้าไปในส่วนของที่พัก ภายในร้านจึงเหลือเพียงลูกจ้างอย่างเธอ ลูกค้าส่วนมากไม่ค่อยมาแบบวอล์คอิน แต่เป็นการนัดแนะผ่านช่องทางออนไลน์ นัดวันกันเรียบร้อยถึงจะมา โดยส่วนมากเป็นเช่นนั้น และส่วนน้อยที่เดินดุ่มๆ มาสักก็หวังให้เจ้าของร้านลงเข็มให้
เธอมั่นใจว่าตัวเองก็ทำได้ไม่แย่ แต่เหมือนจะไม่เป็นที่ยอมรับจากคนอื่นๆ เท่าที่ควร วันๆ จึงมีหน้าที่ดูแลร้านให้ถิรมัน ออกแบบลายสักเพื่อเป็นทางเลือกให้กับลูกค้า จะได้ลงมือสักเองก็นานทีปีหน ส่วนมากเป็นพวกเด็กวัยรุ่นที่อยากลองสัก ถิรมันจึงใช้พวกนั้นเป็นหนูทดลองให้แก่ลูกจ้างคนนี้
มันก็ออกมาดี แต่ให้ดีเท่าถิรมันเป็นคนทำคงเป็นไปได้ยาก เธอเข้าใจ รอยสักอยู่ติดตัวไปทั้งชีวิต ใครๆ ก็อยากให้มันออกมาสวยถูกใจ เพราะเธอเองก็มีรอยสักอยู่ตามเนื้อตามตัวไม่ใช่น้อย
เนินอก ข้อมือ แขน ต้นคอ กกหู แผ่นหลัง หน้าท้อง สีข้าง ข้อเท้า และอีกสารพัดจุดที่สามารถสักได้ เธอไม่เคยลังเลที่จะวาดลวดลายลงบนผิวหนัง เรื่องนี้นับเป็นความชื่นชอบเดียวที่เธอมีก็ว่าได้
เพราะนอกจากการสัก ชีวิตนี้ก็ไม่เหลืออะไรให้รู้สึกชอบอีกแล้ว