จ้าวเยว่ สตรีเกียจคร้านของท่านแม่ทัพ

จ้าวเยว่ สตรีเกียจคร้านของท่านแม่ทัพ

นามปากกา sanvittayam

5.0
ความคิดเห็น
9.7K
ชม
64
บท

สตรีอย่างจ้าวเยว่ก็เสมือนคมในฝัก ภายนอกแม้จะดูเกียจคร้านจนผู้คนเบือนหน้าหนี ทว่าความสามารถที่มีนั้นไม่อาจดูแคลนได้ แต่เมื่อต้องปกป้องชายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีจึงไม่อาจปิดบังความสามารถได้อีกต่อไป

บทที่ 1 จ้าวเยว่

บทที่ 1

จ้าวเยว่

หมิงเวย เป็นชื่อของเมืองหลวงของแคว้นฉางอันที่แปลว่าเมืองแห่ง¬อำนาจรุ่งเรืองชั่วนิรันดร์นั้นเห็นจะเป็นเรื่องจริง เพราะว่าตั้งแต่ราชวงศ์ถังครองราชย์มาหลายสิบปี ก็ไม่เคยเกิดเหตุการณ์ที่เป็นการบ่อนทำลายจวนเมืองเลยแม้สักครั้งเดียว

ฮ่องเต้ทรงปกครองแคว้นโดยธรรม ส่วนเหล่าขุนนางต่างก็จงรักภักดีทำทุกสิ่งเพื่อชาติจวนเมือง

ส่วนขุนนางน้ำดีที่ไม่กล่าวถึงเลยไม่ได้นั้น มีอยู่ผู้หนึ่งนามว่า จ้าวฝู่ ดำรงตำแหน่งเจ้ากรมการคลัง จ้าวฝู่เป็นขุนนางที่กล่าวได้ว่าซื่อตรงและซื่อสัตย์ที่สุด

อีกทั้งยังได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้ ถึงแม้จะมียศเป็นขุน¬นางใหญ่โต ทว่าเขาไม่ได้ทำตัวอวดความร่ำรวยเลย หนำซ้ำยังคงใช้ชีวิตอย่างสมถะอยู่กับภรรยาและลูกทั้งสาม

จ้าวฝู่มีบุตรชายสองคน นามว่าจ้าวหลู่เจินกับจ้าวอวี้เฉิน และบุตรสาวคนสุดท้องนามว่าจ้าวเยว่

บุตรชายทั้งสองเติบโตมาได้อย่างองอาจ สง่างาม ยามนี้จ้าว¬หลู่เจินเป็นรองแม่ทัพคนสนิทของหวังโหว แม่ทัพใหญ่แห่งฉางอัน ส่วนจ้าวอวี้เฉินเองก็เป็นถึงหัวหน้าหน่วยพยัคฆ์ดำ หน่วยสืบราชการลับที่ขึ้นตรงต่อฮ่องเต้เพียงพระองค์เดียว

ส่วนจ้าวเยว่นั้น นางคือความปวดหัวของบิดามารดาโดยแท้จริง เนื่องจากนางเป็นบุคคลที่เกียจคร้านที่สุดในเมือง ไม่สิ ต้องกล่าวว่าทั่วแคว้นเลยก็ว่าได้ จ้าว¬ฮูหยินมักจะชอบกล่าวหาว่า ‘นางเป็นสตรีเกียจคร้าน’ ไม่มีผู้ใดอยากสู่ขอไปเป็นภรรยาอยู่เสมอ

ทว่าจ้าวเยว่หาได้สนใจไม่ ต่อให้ไม่มีผู้ใดมาสู่ขอนางเป็นภรรยาก็ช่างปะไร ขอเพียงนางได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเช่นนี้ก็พอใจแล้ว

ส่วนพี่ชายทั้งสองก็เอาใจนางยิ่งนัก แต่ใครให้นางเกิดเป็นน้องสาวคนสุดท้องกันล่ะ ในเมื่อเป็นน้องคนสุดท้องอีกทั้งยังเป็นน้องสาวเพียงคนเดียว พี่ชายทั้งสองย่อมต้องรักและทะนุถนอมมากเป็นธรรมดาอยู่แล้ว

ยามนี้บริเวณบ่อเลี้ยงปลาในสวนของจวน มีปลาสีสันสวยงามแหวกว่ายไปมา พวกมันทำตัวราวกันว่าชีวิตนี้ไม่จำเป็นต้องสนใจอะไร มีหน้าที่เพียงแค่ว่ายไปมาอย่างมีความสุข พร้อมกับกิน¬อาหารที่ผู้คนนำมาให้เท่านั้น จ้าวเยว่นั่งมองดูปลาพวกนี้ว่ายไป¬มาอย่างใจลอย มือหนึ่งถือกิ่งไม้ไว้ใช้ตีน้ำเล่น ก่อนจะเอ่ยกับสาวใช้คนสนิท ที่อยู่กันมาตั้งแต่วัยเยาว์

“ผิงผิง เจ้าคิดว่าข้ากับปลาพวกนี้ใครสบายกว่ากัน” แม้จะกล่าวกับผิงผิง แต่สายตาของนางยังคงมองปลาพวกนั้นไม่วางตา

สาวใช้นามว่าผิงผิงโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย เพื่อให้ผู้เป็นนายของตนได้ยินถนัด

“ก็ต้องเป็นคุณหนูอยู่แล้วเจ้าค่ะ จะมีผู้ใดในเมืองหมิงเว่ย ไม่สิเจ้าคะต้องเป็นทั่วแคว้นฉางอันจะสบายเท่าคุณหนูไม่มีอีกแล้ว”

จ้าวเยว่พยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับนิ่วหน้าครุ่นคิด “แต่ข้าคิดว่า เจ้าปลาพวกนี้สบายกว่าข้าตั้งเยอะ ตัวข้าเป็นสตรียังต้องอาบน้ำแต่งตัว ยามจะกินข้าวก็ต้องเดินไปกิน ยามจะเข้าห้องน้ำก็ต้องเดินไปนอน แต่เจ้าดูสิเจ้าปลาพวกนี้ไม่ต้องทำอะไรเลย เมื่อถึงเวลาก็มีคนมาโยนอาหารให้กินถึงปาก ข้าว่าอย่างไรเจ้าปลาพวกนี้ย่อมต้องสบายกว่าข้า”

“แล้วคุณหนูจะอิจฉาเจ้าปลาพวกนี้ไปด้วยเหตุใดกันล่ะเจ้าคะ ถึงอย่างไรพวกมันก็มิได้มีชีวิตที่ดีแบบคุณหนูนี่เจ้าคะ” ผิงผิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย นางไม่เข้าใจว่าทำไมคุณหนูถึงได้อิจฉาเจ้าปลาพวกนี้กันนะ

“ก็จริงของเจ้า” จ้าวเยว่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย ก่อนจะเมียงมองไปยังบ่อปลาอย่างเหม่อลอย

แต่แล้วจู่ ๆ ก็มีสาวใช้นางหนึ่งวิ่งมาหา พอมาถึงจุดหมายก็หยุดหอบหายใจครู่หนึ่ง ก่อนจะถ่ายทอดคำสั่งที่ได้รับมาให้ฟัง “คุณหนูเจ้าคะ ฮูหยินเรียกให้คุณหนูไปพบเจ้าค่ะ”

จ้าวเยว่ได้ยินก็ถึงกับถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย เพราะทุกครั้งที่ถูกมารดาเรียกไปพบ เรื่องส่วนใหญ่มักจะเป็นเรื่องที่นางไม่เต็มใจทำ

ไม่ว่าจะเป็นให้นางไปเรียนเขียนอักษร เรียนปักผ้า ไปถือศีลที่ศาลเจ้าแม่หวังหมู่ ไปฝึกทำอาหาร หรือแม้แต่ไปงานเลี้ยงใด ๆ นางล้วนไม่อยากทำทั้งนั้น และครั้งนี้ที่นางเชื่อว่ามารดาเรียกพบก็คงจะไม่พ้นเรื่องพวกนี้อีกตามเคย จึงได้คิดเตรียมคำกล่าวที่จะปฏิเสธขึ้นมา

“ให้ข้าไปพบที่ใดหรือ” จ้าวเยว่ถามกลับ ในใจนั้นพยายามหาข้ออ้างเพื่อที่จะปฏิเสธเรื่องที่มารดาเรียกหา

“ห้องโถงเจ้าค่ะ” สาวใช้นางนี้ก้มหน้าตอบ เพราะไม่ค่อยกล้าสู้หน้าคุณหนูสักเท่าไร เนื่องจากรู้ดีถึงจุดประสงค์ที่ฮูหยินเรียกคุณหนูไปพบ

“เจ้ากลับไปก่อนเถิด ประเดี๋ยวข้าจะตามไป” เมื่อรู้ว่ามารดาเรียกตนเองไปที่ใด จ้าวเยว่จึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงเฉื่อยชาท่าทางเกียจคร้านเหมือนที่ทำเป็นประจำ เมื่อได้รับคำตอบสาวใช้นางนี้จึงได้เดินกลับไปยังห้องโถงตามเดิม

ที่จริงแล้วระยะทางจากสวนแห่งนี้ไปยังห้องโถงนั้นไม่ได้ไกลเลย เดินไม่กี่ก้าวก็ถึงแล้ว เพียงแต่จ้าวเยว่ยังไม่อยากเดินไปถึงห้องโถงเร็วนัก จึงได้ถ่วงเวลาไว้ด้วยการชะลอฝีเท้าให้ช้าลง

“ผิงผิง เจ้าคิดว่าข้าควรปฏิเสธท่านแม่ว่าอย่างไรดี” จ้าวเยว่เอ่ยถามกับคน¬ข้างกายด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบ เมื่อพบว่าพวกตนเดินมาใกล้จะถึงห้องโถงแล้ว

ซึ่งตัวผิงผิงเองก็กระซิบกระซาบตอบกลับไปผู้เป็นนายเช่นกัน

“จะให้ตอบอย่างไรดีล่ะเจ้าคะ ก็คุณหนูเองไม่มีอะไรทำเป็น¬ชิ้นเป็นอัน ที่พอจะเป็นข้ออ้างให้ปฏิเสธได้เลย”

“หรือข้าจะบอกท่านแม่ไปว่าข้าจะท่องตำราดี เจ้าคิดว่าเหตุผลนี้ดีหรือไม่” คุณหนูเพียงหนึ่งเดียวของจวนพยายามคิดหาทางรอดอย่างสุดความสามารถ ทั้งที่ก็ยังไม่รู้ว่าผู้เป็นมารดาต้องการสิ่งใดจากนาง

“ถ้าเช่นนั้นคุณหนูจะตอบว่าอย่างไรเล่าเจ้าคะ ถ้าเกิดฮูหยินถามคุณหนูว่าท่านท่องตำราไปเพื่อสิ่งใดกัน” ผิงผิงเอ่ยถามกลับพร้อมกับส่ายหน้าคอแทบหลุด เพราะถ้าคุณหนูของนางบอกไปแบบนี้ฮูหยินคงไม่มีทางที่จะเชื่อแน่นอน

จ้าวเยว่ทำสายตาละห้อยส่งให้กับผิงผิง พลางพึมพำออกมาอย่างอับจนหนทาง

“นั่นน่ะสิ จะตอบว่าข้าเตรียมสอบบัณฑิตก็คงไม่ได้ แล้วข้าจะตอบท่านแม่ว่าอย่างไรดีเล่า เจ้าช่วยข้าคิดหน่อยสิ ผิงผิง”

ผิงผิงสูดลมหายใจหนึ่งครั้งก่อนที่นางจะคว้ามือทั้งสองข้างของผู้เป็นนายมากุมไว้ และกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“เอาอย่างนี้สิเจ้าคะ ถ้าฮูหยินให้คุณหนูทำสิ่งใด คุณหนูก็ทำไป¬เถอะเจ้าค่ะ อย่าได้ปฏิเสธเลย เชื่อผิงผิงนะเจ้าคะ”

“ผิงผิง นี่เจ้า... นอกจากจะไม่ช่วยข้าคิดแล้ว ยังจะอยู่ฝ่ายท่านแม่อีกหรือ”

จ้าวเยว่เอ่ยอย่างตัดพ้อ ก่อนจะก้าวเข้าไปในห้องโถงอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ

บรรยากาศภายในห้องโถงเต็มไปด้วยความอึดอัด ราวกับว่าจะมีการลงโทษผู้ใดอย่างไรอย่างนั้น จ้าวเยว่อดคิดไม่ได้ว่าถ้าหากจะมีการลงโทษกันเกิดขึ้นจริง ผู้ที่ถูกลงโทษก็น่าจะเป็นตนเอง

อีกทั้งเวลานี้ผิงผิงสาวใช้คนสนิทไม่ได้ตามเข้ามาด้วย นี่จึงทำให้นางหมดความมั่นใจไปอีก¬หลายส่วน

อีกด้านหนึ่งของห้องโถง จ้าวฮูหยินนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวกลางของเจ้าจวน นางสวมชุดผ้าไหมสีม่วงที่ตัดเย็บอย่างประณีต ท่วงท่าการนั่งที่สง่างามนั้น ทำให้นางดูราวกับนางพญาผีเสื้อตัวใหญ่ที่โดดเด่น

จ้าวเยว่ยืนมองมารดาด้วยสายตาที่เหมือนจะมีคำถาม จากนั้นจึงเป็นฝ่ายเปิดการสนทนาก่อน “ท่านแม่เรียกข้ามา มีอะไรหรือเจ้าคะ”

“นั่งลงก่อนเถอะ เยว์เอ๋อร์” ผู้เป็นมารดาสั่งความแต่เลือกที่จะยังไม่ตอบคำถามบุตรสาว

เมื่อได้รับคำอนุญาต จ้าวเยว่จึงเดินไปนั่งเก้าอี้ทางด้านซ้าย ซึ่งเป็นตำแหน่งประจำของนาง ทว่าสายตายังคงมองไปยังมารดาอย่างไม่วางใจ

เมื่อเห็นบุตรสาวนั่งลงแล้ว จ้าวฮูหยินก็เริ่มต้นการสนทนา

“ช่วงนี้เจ้าทำอะไรอยู่บ้าง”

แม้นี่เป็นคำถามง่าย ๆ ที่ผู้ใดก็สามารถตอบได้ แต่คนคนนั้นไม่ใช่จ้าว¬เยว่ เนื่องจากนางคือบุคคลที่ไม่มีอะไรทำอย่างแท้จริง ดังนั้นการถูกถามว่าทำอะไรอยู่นั้น จึงเป็นเรื่องใหญ่หลวงที่ไม่สามารถหา¬คำตอบที่น่าฟังมาตอบได้

จ้าวเยว่ทำตาละห้อยเป็นครั้งที่สอง ใบหน้าของนางในยามนี้ดูเจื่อนลงไปหลายส่วน ก่อนจะตอบมารดาของตน

“ช่วงนี้ข้าก็ไม่ได้ทำอะไรเจ้าค่ะ จะมีก็แต่...ให้อาหารปลา”

“สิ่งนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องทำ ข้าคิดว่านั้นไม่ใช่สิ่งที่สตรีในห้องหอต้องทำ เจ้าคิดเหมือนข้าหรือไม่”

จ้าวฮูหยินสวนทันควัน พลางจ้องมองบุตรสาวด้วยความเอือมระอา จากนั้นจึงกล่าวต่อด้วยเสียงอันเข้มงวด

“เย็นวันพรุ่งนี้จะมีงานเลี้ยงที่จวนท่านเซียวโหว งานเลี้ยงครั้งนี้สำคัญมาก ครอบครัวของเราจะต้องไปทุกคน เจ้าเองก็ต้องไปด้วย ดังนั้นเตรียมตัวให้พร้อม”

“ข้าไม่ไปไม่ได้หรือท่านแม่”

จ้าวเยว่ถามขึ้นมา เนื่องจากนางไม่ชอบงานเลี้ยงพวกนี้ ไม่ใช่เพราะนางเกียจคร้าน แต่เพราะนางไม่ชอบปั้นหน้าให้กับผู้ใดต่างหาก ดังนั้นหากให้เลือก นางขออยู่ในจวนอย่างเกียจคร้านดีกว่า

จ้าวฮูหยินหันมาทำสีหน้าจริงจังกับบุตรสาว แววตาของนางเปล่งประกายขึ้นราวกับมีดวงไฟลุกโชนอยู่ภายใน และทุกครั้งที่จ้าวเยว่เห็นเข้า นางก็รู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ ทุกครา

“ไม่ได้! งานเลี้ยงครั้งนี้สำคัญมาก อีกทั้งท่านโหวเองก็เป็นผู้¬มีพระคุณกับสกุลจ้าวของเรา ถ้าเจ้าไม่ไปก็ถือว่าไม่ให้เกียรติท่านโหว”

“แต่ข้าก็มิได้รู้จักกับท่านโหวเป็นการส่วนตัวนี่เจ้าคะ ท่าน-พ่อ ท่านแม่ กับท่านพี่ทั้งสองไปก็พอแล้วนี่เจ้าคะ” จ้าวเยว่เอ่ยขึ้นอย่างเนิบช้า พลางลอบสังเกตสีหน้าของมารดาไปด้วย

จ้าวฮูหยินฟังข้ออ้างของบุตรสาวแล้วก็ยิ่งบังเกิดโทสะ จึงใช้มือทุบโต๊ะคราหนึ่ง พร้อมกับลุกพรวดขึ้นยืน

“อย่างไรเจ้าก็ต้องไป คราวนี้ท่านโหวอยากให้บุตรชายของท่านได้พบกับเจ้า”

จ้าวเยว่ลุกขึ้นจากเก้าอีกทันทีเช่นกันก่อนจะกล่าวเสียงแข็งตอบกลับมารดา

“ถ้าอย่างนั้นข้ายิ่งไม่ไปเจ้าค่ะ ข้าไม่อยากพบกับบุตรชายท่าน¬โหวอะไรนั่น เขาสำคัญแค่ไหนกันเชียว”

กล่าวจบหญิงสาวก็เดินปัดก้นออกจากห้องโถงไป ปล่อยให้ผู้¬เป็นมารดายืนคับแค้นใจอยู่ฝ่ายเดียว จ้าวฮูหยินเองก็ไม่รู้จะทำ-อย่างไรกับบุตรสาวคนนี้ดี จึงได้แต่ปล่อยนางไป หวังว่าสักวันเมื่อ-นางเติบโตขึ้น จะเข้าใจสิ่งที่บิดามารดาสั่งสอนบ้าง

จ้าวเยว่เดินกลับห้องของตัวเองไปด้วยใบหน้าที่บูดบึ้ง นาง-ไม่ชอบไปงานเลี้ยง เพราะนางไม่อยากที่จะต้องปั้นหน้าปั้นตากล่าว¬ทักทายคนนั้นคนนี้ ปกติแล้วนางเองก็ไม่คบค้าสมาคมกับผู้ใด มีบุตรสาวขุนนางหลายคนพยายามจะมาเป็นสหายกับนาง ชวนนางไปนั่นไปนี่ ทว่านั่นกลับขัดกับความต้องการของนางอย่างสิ้นเชิง

หญิงสาวพวกนี้มักจะออกไปเดินตลาด เพื่อหาซื้อเสื้อผ้าและเครื่องประดับ หรือไม่ก็พวกเครื่องประทินโฉมเพื่อเสริมส่งความงามให้โดดเด่น

แต่ว่าหญิงสาวไม่เคยหาสนใจสิ่งของพวกนั้น เนื่องจากสิ่งที่นางสนใจก็คือการฝึกวรยุทธ์ต่างหาก

จ้าวเยว่มักจะไปฝึกกับพี่ชายที่สนามฝึกอยู่เสมอ ด้วยนางถือ¬ว่าเป็นหญิงสาวคนเดียวที่ได้เข้าไปใช้สนามฝึกของกองทัพ ตั้งแต่เล็กจนโต นางจึงฝึกมาหมดทั้งเพลงดาบ กระบี่ ทวน ธนู เพลงหมัด ขี่ม้า นางยังเคยขี่ม้าชนะทหารภายใต้บังคับบัญชาของพี่ชายนางมาแล้ว จนทหารนั้นต้องแพ้พนัน ด้วยการกินกระเทียมเป็นเข่ง¬¬ ๆ

หากถามว่านางมีใครเป็นสหายบ้าง หากจะให้ตอบคงจะพวกทหาร แล้วก็พวกหน่วยพยัคฆ์ดำของพี่ชายนั่นแหละ ส่วนสตรีในห้องหอหรือสตรีวัยเดียวกันนางนั้น แทบไม่มีเลย

ทันทีที่กลับถึงห้อง หญิงสาวก็ล้มตัวลงบนเตียงทันที นาง-กางแขนกางขาสองข้างออกทำท่าทางราวกับว่าเป็นบุรุษที่ตรากตรำงานมาอย่างเหน็ดเหนื่อย แล้วต้องการพักผ่อน

“คุณหนูจะทำอะไรดีเจ้าคะ” ผิงผิงถามในขณะที่มือทั้งสองข้างกำลังถอดรองเท้าให้ผู้เป็นนาย

จ้าวเยว่ส่ายหัวไปมาอย่างไม่รู้ว่าจะทำอะไร แต่หลังจากนิ่ง¬คิดไปครู่หนึ่ง จึงกล่าวออกมาอย่างเอื่อยเฉื่อย

“อืม...ทำอะไรดีนะ แช่น้ำดีหรือไม่”

“ถ้าอย่างนั้นผิงผิงจะไปเตรียมน้ำอุ่นให้นะเจ้าคะ” ผิงผิงเอ่ยอย่างนุ่มนวล

แต่ก่อนที่ผิงผิงจะเดินไปที่ถังอาบน้ำ ก็หันกลับมากล่าวกับจ้าวเยว่อย่างไม่ค่อยมั่นใจว่า

“คุณหนูจะไม่ไปงานเลี้ยงที่จวนท่านโหวจริงหรือเจ้าคะ ผิง¬ผิงว่าคุณหนูควรจะไปเสียหน่อย”

จ้าวเยว่ถึงกับต้องดีดตัวขึ้นจากเตียง

“ผิงผิง เจ้านี่อย่างไรกันนะ เจ้าเป็นคนของข้า หรือว่าเป็นคนของท่านแม่กันแน่ หรือว่าเจ้าถูกท่านแม่จ้างมา”

“ผิงผิงหวังดีกับคุณหนูนะเจ้าคะ” ผิงผิงตอบกลับเสียงซื่อ

“ถ้าเจ้าหวังดีกับข้า เจ้าก็ต้องอยู่ข้างข้าสิ”

จ้าวเยว่กล่าวจบก็เดินไปที่ถังอาบน้ำ นางปลดอาภรณ์ออกแล้วลงไปแช่น้ำอย่างสบายอารมณ์ ถึงแม้ว่าจ้าวเยว่จะไม่ค่อยสนใจเรื่องความสวยความงาม แต่นางกลับชอบแช่น้ำอุ่นมาก ปกติแล้วจะแช่ถึงวันละสองครั้ง เพราะการแช่น้ำอุ่น ๆ นั้น ทำให้ร่างกายได้ผ่อน¬คลาย

อีกทั้งกลิ่นของพวกดอกไม้กับเครื่องหอมต่าง ๆ ที่ผิงผิงหา-มาใส่ในอ่างอาบน้ำให้นั้น ทำให้หญิงสาวมีความสุขอย่างยิ่ง และทุกครั้งที่แช่น้ำ ผิงผิงก็จะเป็นคนนำผ้ามาขัดถูตามเนื้อตัวให้อยู่เสมอ

หลังจากชำระร่างกายและขึ้นจากน้ำแล้ว จ้าวเยว่มักจะชอบให้ผิงผิงทาน้ำมันแล้วนวดให้เสมอ การบีบนวดทำให้รู้สึกผ่อนคลาย และสบายกายยิ่งนัก

แล้วสิ่งนี้ก็คือสวรรค์สำหรับนางอย่างแท้จริง!!

อ่านต่อ

หนังสืออื่นๆ ของ นามปากกา sanvittayam

ข้อมูลเพิ่มเติม
การเกิดใหม่ของนางร้ายหลงยุค (ยุค80)

การเกิดใหม่ของนางร้ายหลงยุค (ยุค80)

โรแมนติก

5.0

เมื่อนางร้ายตัวแม่เกิดใหม่เข้ามาในสถานที่คล้ายๆ กับนิยายที่เคยอ่าน พระเอกเหรอไปไกลๆ จะให้เธอคอยตามพระเอกในเรื่องไม่มีทางเสียหรอก นางร้ายคนนี้ขอใช้ชีวิตแบบเริดๆ เชิดๆ ดีกว่าเป็นไหนๆ เอาสิร้ายมาร้ายกลับไม่โกง หลิงชิงเย่ว หญิงสาวที่น่าสงสาร สามีแต่งงานด้วยเพราะคำสัญญาและตอบแทนบุญคุณพ่อของเธอ แต่สำหรับหญิงสาวการแต่งงานครั้งนี้เกิดขึ้นจากความรัก หลังจากแต่งงานไม่นานแม่สามีกลับแต่งภรรยาให้อีกคนซึ่งเป็นหลานสาวของนาง แต่สิ่งที่น่าตกใจกว่าคือผู้หญิงคนนั้นเป็นคนรักของสามีเธอด้วยนี่สิ ยิ่งคิดลี่น่ายิ่งเครียดแทน ยังไงซะเธอไม่มีทางหนีชะตาพ้น ก็วิ่งชนสิคะจะกลัวอะไร ในเมื่อท่านยมจอมผิดพลาดส่งนางร้ายตัวแม่เช่นเธอเข้ามาแทน ก็อย่าฝันว่าเธอจะตามง้อผัวโง่ๆ นี่อีก พระเอกเหรอ หลบไป นางเอกเหรอ ไปไกลๆ นางร้ายตัวแม้คนนี้จะใช้ชีวิตเริดๆ เชิดๆ หลังจากหย่าให้อิจฉาตายไปเลย ที่สำคัญเธอมาพร้อมกับพรที่ขอกับท่านยมอีกสามข้อแบบจุกๆ อีกด้วย

หนังสือที่คุณอาจชอบ

คุณนาย ประธานมาขอคืนดีอีกแล้ว

คุณนาย ประธานมาขอคืนดีอีกแล้ว

Apogean Spark
5.0

【สาวน้อยผู้มีความรักในใจกลายเป็นหญิงสาวที่มีสติปัญญา vs ซีอีโอผู้ตามรักอย่างบ้าคลั่ง】 ในปีที่ห้าของการแต่งงานแบบลับๆ ของเธอ เสิ่นจาวหนิงเห็นสามีของไปเปิดห้องที่โรงแรมกับรักแรกของเขากับตาตนเอง จากนั้นเธอเพิ่งรู้ว่าลี่เยี่ยนซิวแต่งงานกับเธอเพราะเธอดูคล้ายกับรักแรกของเขา เสิ่นจาวหนิงตายใจและหลอกให้ลี่เยี่ยนซิวเซ็นสัญญาหย่า หนึ่งเดือนต่อมา เธอประกาศต่อหน้าผู้คนว่า “ลี่เยี่ยนซิว ฉันไม่ต้องการคุณอีกแล้ว อให้คุณกับรักแรกของคุณจะอยู่ด้วยกันตลอดไป” ลี่เยี่ยนซิวกอดเธอพร้อมน้ำตาคลอเบ้า “เสิ่นจาวหนิง คุณเป็นคนที่เข้ามาหาผมก่อน แล้วตอนนี้คุณจะทิ้งผมง่ายๆ ได้ยังไง?” ****** หลังจากที่เสิ่นจาวหนิงหย่า งานของเธอไปได้ดีขึ้นเรื่อยๆ บริษัทก็เตรียมที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ ในงานเลี้ยงฉลอง ลี่เยี่ยนซิวก็เข้าร่วมด้วย เขามองอดีตภรรยาที่จับมือผู้ชายอื่นด้วยความหึงหวงอย่างแรง ขณะที่เสิ่นจาวหนิงเตรียมเปลี่ยนชุด เขาก็ตรงเข้ามาหาเธอในห้องลองเสื้อ “ผู้ชายคนนั้นดีขนาดนั้นเลยเหรอ?” เสิ่นจาวหนิงถึงสังเกตเห็นว่าลี่เยี่ยนซิวร้องไห้แล้ว น้ำตาของเขาตกลงบนกระดูกไหปลาร้าของเธอและมันรู้สึกร้อนๆ “เสิ่นจาวหนิง ผมเสียใจแล้ว เราคืนดีกันได้ไหม?”

ฉันไม่มีทางยอมแพ้

ฉันไม่มีทางยอมแพ้

Tann Aronson
5.0

เมื่อเธออายุยี่สิบ ชิงฉือได้รู้ว่าตนเองไม่ใช่ลูกโดยกำเนิดของตระกูลต้วน เธอถูกลูกสาวที่แท้จริงของตระกูลต้วนล้อมกรอบ จนถูกพ่อแม่บุญธรรมไล่ออกจากบ้านและกลายเป็นตัวตลกในเมือง เมื่อเธอกลับไปหาพ่อแม่ชาวนา จากนั้นก็พบว่าบิดาผู้ให้กำเนิดของเธอเป็นคนที่รวยที่สุดในเมืองเจียงเฉิงส่วนพี่ชายของตนเองเป็นอัจฉริยะในแวดวงต่างๆ ทุกคนมองดูเด็กสาวตัวเล็กคนนี้ด้วยความเห็นใจและถือว่าเธอเป็นสมบัติล้ำค่า แต่ค่อยๆ พบว่า... ที่แท้ว่าน้องสาวเป็นคนมากความสามารถ? อดีตแฟนหนุ่มผู้น่ารังเกียจหัวเราะเยาะ "อย่ามาตามเซ้าซี้ไม่เลิก ฉันมีแต่เมียนเมียนอยู่ในใจ!" คนใหญ่แห่งเมืองหลวงปรากฏตัว "เมียฉันจะเห็นหัวนายเหรอ?"

บุตรีอนุผู้ถูกทอดทิ้ง

บุตรีอนุผู้ถูกทอดทิ้ง

มาชาวีร์
4.8

หลี่เมิ่งเหยาย้อนเวลามาอยู่ในร่าง ของเด็กสาววัยสิบสองปี ในวันที่มารดาอนุผู้โง่เขลา ถูกขับไล่ออกจากจวน โชคยังดีที่ตอนตาย นางสวมกำไลหยกโลกันตร์เอาไว้ มันจึงติดตามนางมาที่นี่ด้วย +++ 1 : มารดาโง่ จนถูกไล่ออกจากตระกูล จวนตระกูลหลี่เจ้าเมืองถัง สตรีสองนางถูกสาวใช้จับคุกเข่าลง ตรงหน้าของหลี่หงซวนเจ้าเมืองถัง ทั้งยังเป็นพ่อสามีของทั้งคู่อีกด้วย ท่านกำลังสอบสวนเรื่องของสะใภ้ใหญ่ของบ้านสาม ถูกฮูหยินรองกับอนุรวมหัวกันลอบทำร้าย ด้วยการวางยาขับเลือดในถ้วยน้ำแกงบำรุงครรภ์ ทำให้นางต้องสูญเสียทารกในครรภ์ไป “ท่านพ่อข้าไม่รู้จริง ๆ ว่านั่นเป็นยาขับเลือด ฮูหยินรองบอกว่าเป็นน้ำแกงบำรุงครรภ์ ให้ข้าเป็นคนนำไปมอบให้ฮูหยินใหญ่ เป็นนางนั่นเอง นางหลอกข้า !” เฉาซูหลิ่งชี้นิ้วไปทางสตรีด้านข้าง ร้อนรนเอ่ยออกมาเหมือนคนไม่ได้รับความเป็นธรรม “อนุเฉาเจ้าอย่ามาใส่ร้ายข้านะ เจ้าทำคนเดียวทั้งนั้นไม่เกี่ยวกับข้าเลย” ฮูหยินรอง ถูซวงอี้ ชี้นิ้วใส่หน้าเฉาซูหลิ่งกลับคืน ต่างคนต่างโยนความผิดให้กัน ฮูหยินผู้เฒ่าหลิวเยี่ยนหนานโบกมือให้คนเข้ามา “ข้าให้โอกาสพวกเจ้าสองคนพูดความจริง แต่กลับไม่มีใครยอมรับความผิดแม้แต่คนเดียว มันน่าจับส่งทางการให้รู้แล้วรู้รอด” พ่อบ้านหลัวให้คนลากสาวใช้คนหนึ่งเข้ามา สภาพของนางถูกทรมานจนเนื้อตัวบวมช้ำไปหมด “เรียนนายท่านข้าให้คนไปค้นห้องสาวใช้ทุกคนในจวน พบเทียบยาซ่อนไว้ใต้หมอน จากห้องของสาวใช้คนนี้ขอรับ” ถูซวงอี้ถึงกับคุกเข่าต่อไปไม่ไหว ทิ้งตัวลงไปนั่งอยู่บนพื้น สาวใช้ที่ถูกทรมานจนสภาพน่าเวทนานั่น เป็นเสี่ยวอิงสาวใช้สินเดิมของนางเอง “ฮูหยินรอง ข้าขอโทษ ข้าทนต่อไปไม่ไหวจริง ๆ ข้าขอโทษ !” เสี่ยวอิงโขกศีรษะลงตรงหน้าของถูซวงอี้แรง ๆ น้ำตาไหลนองหน้าจน แทบไม่เป็นผู้เป็นคนอยู่แล้ว พ่อบ้านหลัวเอ่ย “ข้าให้คนไปถามที่หอโอสถแล้วขอรับนายท่าน เป็นเทียบยาขับเลือดจริง ๆ” หลี่หงซวนมองไปทางบุตรชายคนที่สามของตน พบว่าเขามีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก สตรีที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าคือฮูหยินรอง กับอนุภรรยาที่เขารักใคร่ไม่ต่างกัน เหตุใดถึงได้คิดร้ายต่อฮูหยินใหญ่ของเขาได้ เป็นเหตุให้เขาต้องสูญเสียลูกที่อยู่ในท้องของนางไป เดิมทีฮูหยินใหญ่ของเขาก็ตั้งท้องยากอยู่แล้ว เขารอมาตั้งนานกว่าจะมีวันนี้ได้ ไม่คิดมาก่อนว่าจะต้องสูญเสียไปเช่นนี้ “หย่วนเจ๋อนี่เป็นเรื่องในเรือนของเจ้า เจ้าอยากตัดสินเรื่องนี้ด้วยตัวเองหรือไม่” ผู้เป็นบิดาเอ่ยถามบุตรชาย “ไม่ ข้าไม่อยากเห็นหน้าพวกนางอีกต่อไป แล้วแต่ท่านพ่อเถอะขอรับ ข้าขอตัวไปดูฮูหยินใหญ่ก่อน” หลี่หย่วนเจ๋อคำนับบิดา สะบัดแขนเสื้อเดินจากไปในทันที หางตายังไม่แม้แต่จะมองสตรีทั้งสองนาง เฉาซูหลิ่งลนลานตามเขาไป “ท่านพี่ช่วยข้าด้วย ข้าไม่ผิดนะเจ้าคะ ท่านพี่ !” แต่ถูกบ่าวรับใช้ขวางทางเอาไว้ หลี่หงซวน “หยุดโวยวายได้แล้วอนุเฉา เจ้าเป็นคนถือถ้วยน้ำแกงใส่ยาขับเลือด ไปมอบให้ฮูหยินใหญ่ด้วยตัวเอง ยังคิดจะหนีความผิดนี้ไปได้อีกรึ” “ท่านพ่อขะข้าข้า...ไม่ผิด” เฉาซูหลิ่งทิ้งตัวไปด้านหลังอย่างหมดเรี่ยวแรง เดิมทีนางก็ไม่เป็นที่โปรดปรานของพ่อแม่สามีอยู่แล้ว เพราะไม่สามารถให้กำเนิดบุตรชายได้ ครั้นได้บุตรสาวก็นิสัยขี้ขลาดขี้กลัว ไหนเลยจะเชิดหน้าชูตาให้ตระกูลหลี่ได้ เฉาซูหลิ่งนั่งเหม่อลอย คล้ายคนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ขณะที่หลี่หงซวนกำลังประกาศโทษทัณฑ์ของพวกนาง ถูซวงอี้กับคนของนาง ถูกขายออกจากจวน ไปอยู่หอนางโลมอย่างเงียบ ๆ ชาตินี้อย่าได้ก้าวเท้า กลับมาเหยียบที่จวนตระกูลหลี่อีก ส่วนเฉาซูหลิ่งถูกขับไล่ออกจากจวน ไปพร้อมกับบุตรสาว ให้ไปอยู่เรือนร้างของตระกูลหลี่ที่เมืองฉาง ห้ามกลับมาที่ตระกูลหลี่อีกชั่วชีวิต “ท่านพ่อท่านขับไล่ข้าไป ข้ายังพอรับได้ เหตุใดต้องขับไล่เหยาเอ๋อร์ไปด้วย นางเพิ่งจะสิบสองปีเองนะเจ้าคะ” เฉาซูหลิ่งนึกถึงบุตรสาวร่างกายผ่ายผอม นอนซมเพราะพิษไข้อยู่ เกิดนึกสงสารนางขึ้นมาจับใจ ฮูหยินผู้เฒ่าหันไปมองสามีเล็กน้อย นางเห็นเด็กสาวคนนั้นมาตั้งแต่เกิด แม้ไม่ได้เอ็นดูแต่ก็นับว่าเป็นสายเลือดเดียวกัน “ฮูหยินเรื่องนี้ข้าตัดสินใจไปแล้ว ไม่อาจคืนคำได้” คำพูดของประมุขของตระกูล มีหรือใครจะกล้าขัด เฉาซูหลิ่งปล่อยเสียงร้องไห้โฮออกมาดัง ๆ นางโง่งมจนทำให้บุตรสาว ต้องมารับเคราะห์กรรมตามไปด้วย “ลากตัวอนุเฉาออกไป หารถม้าสักคันให้คนส่งนาง ไปที่เรือนร้างเมืองฉาง” คำสั่งของหลี่หงซวนเป็นคำขาด บ่าวไพร่รีบทำตามในทันที ครั้นได้อยู่ด้วยกันเพียงลำพังกับฮูหยินผู้เฒ่า หลี่หงซวนถึงได้บอกเหตุผล ที่ต้องตัดสินใจทำเช่นนี้ นั่นเพราะตระกูลจี้ได้ยื่นคำขาดมา ให้ขับไล่พวกเขาออกไปให้หมด อย่าให้เหลืออยู่แม้แต่ตนเดียว ไม่ต้องการให้คนที่ทำร้ายบุตรสาวของพวกเขา อยู่ระคายสายตาของจี้ชิวหรงอีกต่อไป ฮูหยินผู้เฒ่าแค่นออกมาหนึ่งคำ “อ้างเหตุผลข้าง ๆ คู ๆ ความจริงแล้วต้องการกำจัดอนุในเรือนบุตรสาวทิ้งให้หมด นี่กระทั่งเด็กคนหนึ่งก็ไม่เว้น แต่ก็เอาเถอะ เหยาเอ๋อร์อยู่ที่นี่ ก็ใช่จะมีประโยชน์อันใด นางไม่ได้อยู่ในสายตาของพวกเราด้วยซ้ำ ให้นางไปกับแม่ของนางนั่นแหละดีแล้ว” หลี่หงซวนนั้นเป็นเพียงเจ้าเมืองเล็ก ๆ มีตำแหน่งเป็นขุนนางขั้นที่ห้า ฝั่งตระกูลจี้บ้านเดิมของจี้ชิวหรงนั้น อยู่ในเมืองหลวงมีตำแหน่งใหญ่โตกว่าหนึ่งขั้น เรื่องนี้เขาจึงต้องขบคิด ถึงผลได้ผลเสียในอนาคตอีกด้วย การเสียสละอนุกับหลานสาวคนหนึ่ง เพื่อชดเชยให้แก่คนตระกูลจี้ นับว่าเป็นเรื่องสมควรทำแล้ว “ข้าก็คิดเช่นฮูหยินนั่นแหละ เพียงแต่สะใภ้สามแท้งคราวนี้ ไม่รู้จะยังสามารถตั้งท้องได้อีกหรือไม่ พวกเรารอดูไปก่อนดีกว่า หากนางไม่สามารถตั้งท้องได้จริง ๆ เราค่อยหาอนุมาให้หย่วนเจ๋อภายหลังก็ยังได้ ยามนั้นคนตระกูลจี้จะเอาอะไรมาง้างกับเราได้อีก” “จริงดังท่านว่าเจ้าค่ะ” ฝ่ายเฉาซูหลิ่งที่ถูกคนใช้ ลากตัวออกมาให้เก็บของในเรือน นางส่งเสียงเอะอะโวยวายตลอดทาง พร่ำบอกต้องการพบหลี่หย่วนเจ๋อให้ได้ แต่ถูกสาวใช้ขวางไว้ไม่ให้ไป นางจำใจกลับไปยังห้องนอนของตัวเอง รีบเก็บของสำคัญใส่ห่อผ้าเพื่อออกเดินทาง

ข้าคือดาวมงคลน้อยหลินลู่ฉี

ข้าคือดาวมงคลน้อยหลินลู่ฉี

มาชาวีร์
4.4

เมื่อยมทูตหน้าใหม่ดึงวิญญาณมาผิดดวง เพื่อรักษาไว้ซึ่งสมดุลของโลกวิญญาณ หลินลู่ฉีผู้มีปราณมงคลในยุคปัจจุบัน จึงถูกส่งไปยังต่างโลก สวมร่างเด็กน้อยวัยสามขวบ ที่เพิ่งถูกงูกัดตายด้านหลังอารามเต๋า เจ้าอาวาสไม่อาจยอมรับวิญญาณสวมร่างได้ แต่เมื่อขับไล่วิญญาณร้ายออกจากร่างกายไม่ได้ จึงจำเป็นต้องขับไล่คน ออกจากอารามแทน ++++ "อนิจจาวาสนาเด็กน้อยได้ดับสิ้นลงแล้ว จี้คงเตรียมพิธีสวดส่งวิญญาณให้นางเถอะ" นักพรตเฒ่าสั่งการลูกศิษย์ตัวน้อย หันหลังหมายจะเดินกลับไปยังที่พักของตน "ขอรับท่านอาจารย์" จี้คงขานรับคำสั่ง หันไปเตรียมสิ่งของสำหรับทำพิธีสวดส่งวิญญาณผู้ตาย ทว่าผ่านไปเพียงอึดใจเดียว "อ๊ากกก ! มีผี !" เสียงกรีดร้องดังลั่น ร่างเล็ก ๆ ของเขาวิ่งไปหลบอยู่ด้านหลังผู้เป็นอาจารย์ "จี้คงมีอะไร" "นะนางลืมตาขอรับท่านอาจารย์" เด็กน้อยชี้นิ้วสั่น ๆ ไปที่ศพบนพื้น "ว่าอย่างไรนะ" นักพรตเฒ่ารีบตรงไปคุกเข่าอยู่ด้านข้างศพ เห็นเปลือกตาของนางขยับไปมา ก่อนจะปรือลืมขึ้นอย่างลำบากยากเย็น "นี่มัน...เป็นไปไม่ได้" รีบคว้าข้อมือของเด็กน้อยมาจับชีพจรดู ดวงตาของนักพรตเฒ่ามืดมนลงในทันที แตะนิ้วทำนายชะตา นี่มันคือการสลับร่างเปลี่ยนวิญญาณ ดึงตัวลูกศิษย์ถอยหลังไปสามก้าว "ผีร้ายตนไหนกล้ามาสวมร่างคนตาย จงออกไปเสีย !" ผีร้ายที่ว่ากำลังมึนงงกับเหตุการณ์ตรงหน้า จำได้ว่าเธอกำลังขับรถกลับบ้าน ใช่แล้ว เกิดอุบัติเหตุขึ้น มีรถบรรทุกเสียหลัก พุ่งมาชนรถของเธอ จากนั้นทุกอย่างก็ดับวูบไป ท่าทางเหม่อลอยไร้สติของนางทำนักพรตเฒ่าหวาดระแวงในทันที เตรียมหยิบยันต์ป้องกันภูตผีออกมา ขณะที่เด็กน้อยยกฝ่ามือของตัวเองขึ้นเพ่งมองอย่างประหลาดใจ ดวงตาคู่กลมน้อยกลอกกลิ้งไปมาอย่างสับสน นิ้วมือสั้น ๆ นี่มันอะไร ขยับปลายเท้าเข้าหากัน ขาก็สั้น พลิกฝ่ามือตัวเองไปมา สีหน้าคล้ายคนอยากร้องไห้ นี่มันโลกถล่มใส่หัวของเธอหรืออย่างไรกัน เปรี๊ยะ ! ยันต์ขับไล่ภูตผีถูกปาใส่นางสุดแรง ก่อนที่มันจะปลิวร่อนลงไปกองอยู่บนพื้น ยันต์ไม่เกิดการเผาไหม้ ผีร้ายยังคงอยู่ในร่างกายของเด็กน้อย "เจ้า ๆ ๆ ออกไปจากร่างของนางเดี๋ยวนี้ !" นักพรตเฒ่าชี้นิ้วพร้อมดึงยันต์สายฟ้าฟาดออกมาอีกแผ่น นี่นับเป็นยันต์ที่ทรงพลังที่สุดของเขาแล้ว รีบปาใส่เด็กน้อยสุดแรง เปรี๊ยะ ! ทว่าไร้ผลอยู่ดี... ตาเฒ่านี่เล่นตลกอะไรกัน... [นิยาย3เล่มจบ 252ตอน]

บท
อ่านเลย
ดาวน์โหลดหนังสือ
จ้าวเยว่ สตรีเกียจคร้านของท่านแม่ทัพ
1

บทที่ 1 จ้าวเยว่

30/12/2024

2

บทที่ 2 ชื่อเสียงที่ไม่ดี

30/12/2024

3

บทที่ 3 ทำตัวเกียจคร้าน

30/12/2024

4

บทที่ 4 งานเลี้ยงน้ำชา

01/01/2025

5

บทที่ 5 เรื่องของข้าไปหนักหัวคนอื่นหรือไร

01/01/2025

6

บทที่ 6 โต้กลับอย่างเจ็บแสบ

25/01/2025

7

บทที่ 7 ศึกทางทิศเหนือจบลง

25/01/2025

8

บทที่ 8 สมรสพระราชทาน

25/01/2025

9

บทที่ 9 ข่าวกระจายแพร่ออกไป

25/01/2025

10

บทที่ 10 ไม่สามารถขัดขืนได้

25/01/2025

11

บทที่ 11 นางเป็นสตรีที่แปลกยิ่งนัก

25/01/2025

12

บทที่ 12 เสวี่ยช่างเจิ้น

25/01/2025

13

บทที่ 13 ภัยกำลังมาเยือน

25/01/2025

14

บทที่ 14 ข้าไม่อยากทำอันใด

25/01/2025

15

บทที่ 15 ถูกกักบริเวณ

25/01/2025

16

บทที่ 16 มาลานฝึกยุทธ์

29/01/2025

17

บทที่ 17 พบหน้าแม่สามี

29/01/2025

18

บทที่ 18 เตรียมตัวแต่งงาน

29/01/2025

19

บทที่ 19 อย่าให้ใครดูหมิ่นเจ้าได้

29/01/2025

20

บทที่ 20 สมศักดิ์ศรีฮูหยินท่านแม่ทัพ

29/01/2025

21

บทที่ 21 งานเลี้ยงมงคล

29/01/2025

22

บทที่ 22 ข้าเคยเห็นนางแล้ว

29/01/2025

23

บทที่ 23 ข้อตกลงการอยู่ร่วมกัน

29/01/2025

24

บทที่ 24 คารวะแม่สามี

29/01/2025

25

บทที่ 25 เป็นที่รักใคร่

29/01/2025

26

บทที่ 26 ปรนนิบัติสามี

29/01/2025

27

บทที่ 27 ตอบแทนด้วยการพาไปเที่ยว

29/01/2025

28

บทที่ 28 จ้าวเยว่ตกน้ำ

29/01/2025

29

บทที่ 29 ความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น

29/01/2025

30

บทที่ 30 ราชโองการปราบโจร

29/01/2025

31

บทที่ 31 โดนดูหมิ่น

29/01/2025

32

บทที่ 32 ไม่ไว้หน้า

29/01/2025

33

บทที่ 33 อย่ามายุ่งกับข้า

29/01/2025

34

บทที่ 34 ได้รับความไว้วางใจ

29/01/2025

35

บทที่ 35 จับผิดพ่อบ้าน

29/01/2025

36

บทที่ 36 ปราบโจร

29/01/2025

37

บทที่ 37 พลาดท่า

29/01/2025

38

บทที่ 38 บาดเจ็บสาหัส

29/01/2025

39

บทที่ 39 ข่าวการบาดเจ็บของสามี

29/01/2025

40

บทที่ 40 คำยืนยันจากพี่ชาย

29/01/2025