ซีเหว่ที่ต้องตายอย่างอนาถในปัจจุบันเพราะความผิดพลาดในการเลือกทางผิดของตัวเอง เลยทำให้เธอต้องตายด้วยโรคร้ายเพียงลำพัง เมื่อสวรรค์ยังมีเมตตาให้เธอกลับไปอีกครั้ง และคราวนี้เธอจะสร้างความร่ำรวยให้เธอไม่ยอมให้แม่และน้องสาวต้องตายอีกแล้ว
ปัจจุบัน
ค.ศ. 2025
ชุมชนแออัดที่รัฐบาลจัดสรรให้คนยากไร้ มณฑลอวิ๋นหนาน (ยูนนาน)
ซีเยว่ในวัยเก้าสิบปีนอนติดอยู่กับฟูกสกปรกบนพื้นบ้านดินแดงอัดแข็งราวผักที่กำลังเน่าสลาย เธอไม่มีเรี่ยวแรงที่จะพยุงตัวลุกขึ้นนั่งได้อีกแล้ว ลมหนาวที่รอดมาตามรูไม้ฝาผุ ๆ ไม่ต่างจากมีดที่ตัดถึงขั้วกระดูกบาดเส้นเอ็น ผ้าห่มที่มีก็ไม่ต่างจากเศษผ้าขี้ริ้ว มันชุ่มไปด้วยของเสียทั้งหนักเบาส่งกลิ่นตลบอบอวล เรียกหนูและแมลงวันให้มาดมตอมแผลที่เหวอะหวะเริ่มเน่าตรงน่องขวาเพราะโดนเศษขยะบาดเมื่อนานมาแล้วแต่ไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและรักษาความสะอาดที่ดีพอ
เดิมทีซีเยว่ในวัยชรามีอาชีพเก็บของเก่าขายแลกผักผลไม้ หรือหมั่นโถวเย็น ๆ สักลูกเพื่อประทังชีวิต
ดวงตาที่เริ่มฝ้าฟางเหม่อมองเพดานที่เต็มไปด้วยหยากไย่ ไม่คิดเลยว่าชีวิตของหญิงสาวที่เคยสดสวยดั่งดอกเหมยแรกแย้มจะมีจุดจบเลวร้ายยิ่งกว่าหมาขี้เรื้อน
ไม่น่าเชื่อเลยว่าเมื่อก่อนซีเยว่จะได้ชื่อว่าเป็นสาวงามประจำหมู่บ้านที่ใคร ๆ ต่างก็หมายปอง
ว่ากันว่าคนใกล้ตายจะเห็นอดีตไหลผ่านราวภาพยนตร์...ณ. ขณะนี้คงใกล้ถึงเวลาที่เธอจะได้ไปสบายเสียทีเพราะภาพเมื่อครั้งเธอยังเป็นสาวแรกแย้มฉายกลับมาให้เห็นในสมองอย่างชัดเจน
เจ็ดสิบหกปีก่อน...สมัยยุค 80
ยามนั้นซีเย่วมีอายุเพียงสิบสี่ปี กระนั้นความงามเกินอายุของเธอก็เป็นที่เลื่องลือจนทำให้เด็กสาวได้รับสมญานามว่าเป็นดอกเหมยงามประจำหมู่บ้าน ใคร ๆ ก็ต่างรุมเอาอกเอาใจ ไม่พอยังเริ่มมีแม่สื่อติดต่อมาให้ไปดูตัวจึงกลายเป็นที่เชิดหน้าชูตาของมารดาของเด็กสาว ด้วยหวังว่าซีเยว่จะได้แต่งออกไปกับผู้ชายที่ดีและกลับมาช่วยเหลือจุนเจือนางกับน้องสาวคนเล็กได้
และด้วยความที่มีแต่คนคอยพะนอเอาใจนี้เองที่ทำให้ซีเย่วกลายเป็นเด็กสาวเอาแต่ใจ ยึดความต้องการของตัวเองเป็นสูญกลาง และใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายแม้ครอบครัวจะไม่ได้มีเงินมากนักก็ตามเพราะมารดาผู้เป็นเสาหลักของบ้านมีอาชีพรับจ้างทั่วไป และเก็บผักไปขายที่ตลาดเมื่อถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยว
“อาเยว่ วันนี้ที่ตลาดมีงานโคมไฟ แกพาน้องเอาผักที่แม่เก็บมาเมื่อเช้าไปขายที” ผู่หนิง มารดาของซีเยว่สั่งลูกสาวคนโตที่กำลังนั่งหวีผมอยู่หน้ากระจกทองเหลืองบานเก่าที่นางก็ไม่รู้ว่าลูกไปหามาได้อย่างไร
ซีเยว่ชักสีหน้าทันทีที่ได้ยิน “วันนี้ฉันไม่ว่าง จะไปเดินเที่ยวกับเพื่อนสาว ๆ ในเมือง ทำไมแม่ไม่ไปขายเองล่ะ”
“ฉันต้องไปรับจ้างหาบผักดอง”
“ผักดองอีกละ กลับมาก็มีกลิ่นเหม็นติดเสื้อผ้ามาอีก ช่างไม่อายชาวบ้านชาวช่องบ้าง ไปไหนใครก็รังเกียจ แล้วอย่างนี้จะมีผู้ชายดี ๆ บ้านไหนส่งแม่สื่อมาทาบทามฉัน” ทุกสิ่งที่ซีเยว่คิดทำล้วนนึกถึงแต่ตัวเองทั้งสิ้น
บ้านหลังเล็กพอกด้วยดินเหนียวที่สามีของผู่หนิงทิ้งเอาไว้ให้เป็นมรดกหลังไม่ได้ใหญ่มากนักจึงมีเพียงห้องนอนเดียวที่สามคนแม่ลูกต้องนอนเบียดกันบนฟูก ดังนั้นหากมารดาตัวเหม็น ตัวของซีเยว่ก็ต้องเหม็นไปด้วยซึ่งเธอไม่ชอบเลย
“เอาล่ะ ๆ แม่จะถอดเสื้อผ้าที่ใส่ไปทำงานวันนี้ทิ้งไว้ข้างนอกดีไหม แบบนั้นก็ไม่มีปัญหาแล้ว” งานนี้ได้เงินมากดังนั้นเธอจะไม่ทำก็ไม่ได้ ใกล้สิ้นเดือนค่าเช่าบ้านยังไม่ครบ เงินที่นางเก็บหอมรอมริบเอาไว้ในกล่องเหล็กข้างเตียงยังขาดอีกหลายหยวน หากวันนี้ได้เงินจากค่าจ้างหาบผัก บวกกับถ้าวันนี้ขายผักที่งานโคมไฟได้ดีเงินก็จะครบสำหรับค่าใช้จ่ายสิ้นเดือนนี้พอดี แล้วเดือนหน้าค่อยว่ากันใหม่
“อาเยว่ วันนี้พาน้องไปขายผักหน่อยเถอะ ได้เงินแล้วแม่จะซื้อเครื่องแต่งตัวชิ้นใหม่ให้ดีไหม ไหนบอกว่าอยากได้กำไลหยก ถ้าขายผักได้หมดแม่สัญญาว่าเดือนหน้าจะซื้อให้วงหนึ่ง”
ผู่หนิงรู้จุดอ่อนลูกสาวคนโตดี ซีเยว่เป็นคนรักสวยรักงาม ผิดกับลี่หนิง ลูกสาวคนเล็กของนางที่ยังเล็กนักอายุเพียงห้าขวบเท่านั้น ใช่ว่าคนเป็นแม่จะรักลูกไม่เท่ากัน แต่ด้วยเงินที่มีจำกัดผู่หนิงจึงคิดว่าอีกไม่กี่ปีซีเยว่ก็จะแต่งออกไปตามธรรมเนียม มีสามีดี ๆ หลังจากนั้นนางค่อยชดเชยให้ลูกสาวคนเล็กก็ยังไม่สาย
ถ้าสามีที่ตายไปทิ้งมรดกให้มากกว่าบ้านเก่า ๆ หลังนี้ก็ยังดี แต่นี้เขากลับไม่มีสมบัติอะไรทิ้งไว้ให้พวกนางสามคนแม่ลูกเลย
ซีเยว่เห็นอาการทอดถอนใจของมารดา ประกอบกับคำสัญญาว่าจะให้กำไลวงใหม่ก็ใจอ่อน ยอมรับปากจะพาน้องไปนั่งขายผักให้ในที่สุด
ด้วยความที่ซีเยว่มีใบหน้าอันงดงาม ไม่พอยังช่างเจรจาฉอเลาะพูดจาเอาอกเอาใจลูกค้า เพียงไม่นานผักบนแผงก็เหลือเพียงไม่กี่กำก็จะหมด
ซีเยว่หยิบเงินไปจำนวนหนึ่งแล้วยัดกระปุกที่เหลือเงินไม่มากใส่มือลี่หนิง “พี่จะไปซื้อขนมถังหูลู่ที่น้องชอบมาให้ดีไหม”
“ดี ๆ หนูชอบกิน” ลี่หนิงยิ้มกว้างตบมือดีใจอย่างไร้เดียงสา ด้วยความที่แม่ต้องไปทำงานจึงทิ้งหนูน้อยให้พี่สาวเลี้ยงดูเป็นประจำทั้งคู่จึงสนิทกันมาก ถึงซีเยว่จะเห็นแก่ตัวอย่างไรแต่นางก็รักน้องสาวคนเดียว...ถึงจะน้อยกว่ารักตัวเองก็ตามทีเถอะ
“น้าจ๊ะ” เด็กสาวหันไปประจบน้าสาวข้างร้านเสียงหวาน “ฉันกับน้องยังไม่ได้กินอะไรกันเลยตั้งแต่เช้า ตอนนี้ผักใกล้ขายหมดแล้วฉันขอฝากน้องสักเดี๋ยวได้ไหมจ๊ะ ฉันจะไปซื้อขนมให้น้องกินรองท้อง เสร็จแล้วจะรีบกลับมาจ้ะ”
“ได้สิแม่หนู ช่างเป็นเด็กที่กตัญญูจริง ๆ ไปเถอะ ๆ เดี๋ยวป้าช่วยดูให้”
“ขอบคุณมากจ้ะ”
เมื่อฝากฝังน้องสาวเรียบร้อยแล้วซีเยว่ก็ลุกแล่นไปเที่ยวงานโคมไฟอย่างสบายใจโดยไม่ลืมที่จะซื้อขนมให้ลี่หนิงตามที่รับปากไว้ก่อนไม้หนึ่ง จากนั้นก็ไปเดินดูร้านค้าต่าง ๆ ด้วยดวงตาวาววาม
ไม่ว่าเครื่องประดับชิ้นไหน ๆ ต่างก็สวยงาม เครื่องสำอางหรือก็มีสีสันงดงาม ซีเยว่ล้วนอยากได้ทั้งสิ้น แต่เงินที่มีอยู่ในมือกลับไม่สามารถซื้ออะไรได้เลยสักชิ้น
“เมื่อไหร่จะร่ำรวยเงินทองเหมือนคนอื่นเขาบ้างก็ไม่รู้”
ซีเยว่มองเปรียบเทียบชุดของตัวเองกับสาว ๆ คนอื่น ๆ ในท้องถนนก็นึกอิจฉา นี่เป็นชุดที่ดีที่สุดที่เธอมีแต่ก็ยังดูเก่ามากเพราะซื้อเมื่อสองปีที่แล้ว ชายกระโปรงก็สั้นลงเพราะความสูงของเธอที่เพิ่มขึ้นจนเห็นตาตุ่ม...
เธอมีใบหน้าที่งดงามเกินใครแล้วอย่างไร ใครต่างก็ว่า ‘คนพึ่งเสื้อผ้า ม้าพึ่งอาน’[ หมายความว่าคนจะดูดีต้องอาศัยเสื้อผ้าที่สวมใส่ ส่วนม้าจะดูสง่าต้องอาศัยอานม้าที่สวยงาม ตรงกับสำนวนไทยที่ว่า “ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง”] ถ้าไม่มีเสื้อผ้าเครื่องประดับมาคอยส่งเสริมก็ยากที่ชายหนุ่มดี ๆ ในสังคมชั้นสูงจะมามองเห็นหญิงชาวบ้านธรรมดา ๆ อย่างเธอ
“อยากได้เหรอ?” เสียงทุ้มของชายคนหนึ่งดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง
ทีแรกซีเยว่ถอยห่างจากชายแปลกหน้าไปหลายก้าวตามสัญชาตญาณป้องกันตัว แต่เมื่อเห็นว่าชายวัยกลางคนคนนั้นท่าทางใจดี แถมยังแต่งกายด้วยชุดสูทราคาแพง แถมยังผูกเนคไทเหมือนพวกนักธุรกิจที่เธอเคยเห็นตามหน้าหนังสือพิมพ์ ก็เริ่มปล่อยวางความหวาดระแวงลง
“คุณคงไม่ใช่คนในเมืองนี้ใช่ไหมคะ?” ซีเยว่ถามเขิน ๆ
ท่าทางเอียงอายแต่ก็ไม่หลบสายตาของสาวน้อยเรียกความสนใจจากจางกังได้ทันที เขาเป็นนายหน้าหาผู้หญิงไปส่งให้ซ่องในเมืองหลวง หน้าที่ของเขาคือการเที่ยวตามหาเด็กสาวหน้าตาดีจากชนบทที่ยังไร้เดียงสา รู้ไม่เท่าทันกลโกงของมนุษย์ไปขายโดยไม่ต้องจ่ายค่าตัวให้พ่อแม่เด็ก ธุรกิจของเขาในแต่ละปีจึงทำกำไรเป็นกอบเป็นกำจนทำให้เขาสามารถวางท่าเหมือนเศรษฐีใจกว้างหลอกล่อผู้หญิงคนใหม่ต่อไปได้เรื่อย ๆ เหมือนทุกวันนี้
“ฉันเป็นแมวมอง หนูรู้จักไหม?”
“แมวมองเหรอคะ!”
ซีเยว่มองชายตรงหน้าด้วยสายตาเป็นประกายวาววามเต็มไปด้วยความหวัง ทำไมเธอจะไม่รู้จักแมวมอง เคยได้ยินว่าเมื่อสองปีก่อนรุ่นพี่ในโรงเรียนถูกแมวมองมาทาบทามให้ไปเป็นดาราในเมือง เธอไม่รู้ว่าพี่คนนั้นโด่งดังแค่ไหน รู้แค่ว่ามีเงินส่งกลับมาให้พ่อแม่ที่บ้านนอกใช้ทุกเดือนไม่เคยขัดสน...เธอก็อยากมีโชคเช่นนั้นบ้างเหมือนกัน
“ใช่ หนูอยากไปเป็นดาราที่เมืองหลวงไหมล่ะ ฉันกำลังมองหาเด็กสาวไปเล่นเป็นตัวประกอบในภาพยนตร์เรื่องใหม่ของผู้กำกับหวังพอดี...อ้อ ฉันชื่อจางกังนะ เป็นแมวมองค้นหาดาราหน้าใหม่” ชายหนุ่มพร่ำพูดไปเรื่อย ในแต่ละเมืองที่เขาไปแซ่ของผู้กำกับแทบไม่เคยซ้ำกันเลยสักครั้ง
จางกังส่งนามบัตรที่เป็นกระดาษแข็งกลิ่นหอม ตัวอักษรชื่อของเขาพิมพ์ด้วยตัวอักษรหวัดสีทองสวยงามยิ่งส่งเสริมความน่าเชื่อถือเข้าไปใหญ่
ซีเยว่รับไว้ด้วยความยินดี ไม่ได้เอะใจสักนิดว่าตัวเองกำลังเดินเข้าปากเสือร้าย
“ฉันชื่อซีเยว่ค่ะ ปีนี้อายุสิบสี่ปีแล้ว เด็กไปไหมคะที่จะไปทำงานเป็นดารา” เด็กสาวถามซื่อ ๆ แทบเก็บความดีใจเอาไว้ไม่ไหว
“เด็กเกินไปที่จะเป็นนางเอก แต่ไม่เด็กเกินไปที่จะแสดงในบทสมทบ แต่ในวงการบันเทิงเธอค่อย ๆ ไต่เต้าได้ ยิ่งมีใบหน้าสวย ๆ อย่างหนูซีเยว่ด้วยแล้ว ฉันเชื่อว่าผู้กำกับจะต้องผลักดันเธอเป็นแน่”
ซีเยว่ดีใจจนเนื้อเต้นที่ได้ยินเช่นนั้น เธอแทบจะอดใจไม่ไหวที่จะได้ไปเป็นดารา...จะได้แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสวย ๆ ใส่เครื่องประดับวับวาวสะท้อนแสงไฟ กลายเป็นดาวเด่นโด่งดังที่มีแต่คนรักและสนใจเธอ
“ฉันสนใจค่ะ แต่คงต้องไปขอค่าเดินทางจากแม่เพราะฉันไม่มีเงินเลย”
“ถ้าบอกแม่แล้วแม่ของหนูจะให้ไปไหม”
“ไม่รู้สิคะ ฉันคงต้องไปถามดูก่อน แต่ถ้าบอกแม่ว่าคุณจะพาไปเป็นดาราในเมือง จะสามารถหาเงินได้มากมาย แม่คงยอม”
แม้ภายนอกจะดูหัวรั้นเพียงใดแต่ซีเยว่ก็ยังเป็นเพียงเด็กสาวอายุสิบสี่ การตัดสินใจใด ๆ ก็ยังหวังถามความคิดเห็นจากมารดาอยู่ดี
และนั่นเป็นสิ่งที่จางกังไม่ต้องการ
“แต่ฉันกลัวแม่เธอจะไม่ยอมน่ะสิ มีเด็กสาวหลายคนที่พลาดโอกาสโด่งดังเพราะแม่ของพวกเธอใจแคบ ไม่ยอมให้ไป ฉันจึงจำต้องปล่อยมืออย่างน่าเสียดาย...มีโอกาสจะเป็นดาราแล้วแท้ ๆ”
พอซีเย่วคิดตามก็เริ่มกลัวว่าแม่จะไม่ให้ไปจริง ๆ...ถ้าแม่ไม่ยอมเธอจะทำอย่างไรดี
“เอาเป็นว่าฉันต้องรีบเดินทางกลับไปรายงานผลกับผู้กำกับที่เมืองหลวง ดังนั้นจึงจำต้องออกจากที่นี่ในวันพรุ่งนี้ตั้งแต่เช้ามืด ไม่มีเวลารอคำตอบจากเธอนานนัก...ถ้าเธออยากเป็นดาราก็มาพบฉันที่สถานีรถไฟตอนตีห้า ฉันจะซื้อตั๋วให้ แต่ถ้าเธอไม่มาก็ถือเสียว่าเธอไม่มีวาสนาได้ออกจากเมืองนี้ก็แล้วกัน”
บทที่ 1 No.1
19/02/2025
บทที่ 2 No.2
19/02/2025
บทที่ 3 No.3
19/02/2025
บทที่ 4 No.4
19/02/2025
บทที่ 5 No.5
19/02/2025
บทที่ 6 No.6
19/02/2025
บทที่ 7 No.7
19/02/2025
บทที่ 8 No.8
19/02/2025
บทที่ 9 No.9
19/02/2025
บทที่ 10 No.10
19/02/2025
บทที่ 11 No.11
19/02/2025
บทที่ 12 No.12
19/02/2025
บทที่ 13 No.13
19/02/2025
บทที่ 14 No.14
19/02/2025
บทที่ 15 ตอนอวสาน
19/02/2025
หนังสืออื่นๆ ของ จิรัฐติกาล
ข้อมูลเพิ่มเติม