ท่านประธานอย่ารักฉันมากนักเลย
ผู้เขียน:จิรโชติ ทองม่วง
หมวดหมู่โรแมนติก
ท่านประธานอย่ารักฉันมากนักเลย
เสี่ยเหมียนไม่รู้ตัวมาก่อนเลยว่ามีเบอร์โทรศัพท์ของเขาบันทึกไว้ในโทรศัพท์ของเธอ แล้วเธอก็กด‘โทร’ เธอรอสายด้วยความทรมาณราวกับการรอคอยที่ไม่มีวันสิ้นสุดก่อนที่จะมีคนรับสาย
“ฮัลโหล”
ถิงเจว๋ทักทายด้วยน้ำเสียงทุ้มราวกับเสียงเครื่องดนตรีบาริโทนที่ฟังแล้วช่างไพเราะชวนให้น่าหลงไหล
เสียงของถิงเจว๋เป็นดั่งแสงไฟที่ส่องผ่านความมืดมิดมายังเสี่ยเหมียน ทำให้เธอโล่งใจและเหมือนรับชีวิตและความหวังครั้งใหม่อีกครั้ง ด้วยความหวาดกลัวที่เกินจะควบคุมเอาไว้ได้ เสี่ยเหมียนร้องไห้ออกมาทันที “ถิง ถิงเจว๋ใช่ไหมคะ ? มันมืดมากและฉันกลัวเหลือเกิน”
ถิงเจว๋ดีใจที่เห็นชื่อของเธอบนโทรศัพท์ของเขา แต่พอเขารับสายแล้วได้ยินเธอร้องไห้ รอยยิ้มบนหน้าของถิงเจว๋ก็หายไป เหลือแต่แววตาที่เต็มไปด้วยความวิตกกังกล
“คุณอยู่ไหนตอนนี้”
“ฉันออกไม่ได้ ฉันอยู่ใน”
เสี่ยเหมียนยังพูดไม่ทันจบ แบตเตอรี่โทรศัพท์ก็หมดไปเสียก่อน ทำให้สายโดนตัดไป
ซึ่งมันทำให้ถิงเจว๋ยิ่งกังวลใจมากยิ่งขึ้นจนเขาต้องกัดริมฝีปากตัวเองเอาไว้ ถิงเจว๋รีบวิ่งออกไปที่ประตู ทั้งที่ยังไม่ได้เปลี่ยนชุดด้วยซ้ำ ถิงเจว๋เดินไปที่โรงจอดรถพร้อมกับกำกุญแจรถไว้ในมือ ในขณะที่เขาสตาร์ทรถเขาพยายามคิดตลอดเวลาว่าเสี่ยเหมียนจะอยู่ที่ไหนได้บ้าง ท้ายที่สุด ถิงเจว๋ก็ตัดสินใจขับรถไปดูที่บริษัทหงไท่
ในห้องทำงาน เสี่ยเหมียนได้แต่จ้องโทรศัพท์ของเธออย่างว่างเปล่า โทรศัพท์ของเธอคือแสงสว่างเดียว แต่กลับดับลง มันยิ่งทำให้เธอยิ่งวิตกกังวลและหวาดกลัวกับความมืดมากขึ้น
“มันมืดอะไรอย่างนี้ มันมืดเหลือเกิน...” เสี่ยเหมียนกอดขาของเธอเอาไว้ก้มหน้าลงซบหัวเข่า แล้วเริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างสิ้นหวัง
ในขณะที่เสี่ยเหมียนรู้สึกสิ้นหวังนั้นเอง เธอนึกขึ้นได้ว่า กู้หนานรู้เรื่องราวของเธอในวัยเด็กและไม่เคยทิ้งเธอให้ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ และในตอนนี้ เสี่ยเหมียนกำลังจมดิ่งลงในห้วงของความมืดมิด เขากลับกำลังหลับนอนอยู่กับผู้หญิงคนอื่น
ความหวาดกลัวความมืดของเสี่ยเหมียนมันเพิ่มขึ้นทีละน้อยในทุกขณะในทุกวินาที มันเป็นครั้งแรกที่เสี่ยเหมียนรู้สึกอยากจะออกจากห้องทำงานใจจะขาด แทบจะทนอยู่ในความมืดสงัดต่อไปอีกไม่ไหวแม้สักวินาทีเดียว
เธอเอาแต่คิดถึงถิงเจว๋ว่า เขาจะมาหาเธอหรือเปล่า
‘คงไม่มาหรอก’ เธอคิด นี่มันก็ดึกมากแล้ว และอีกอย่างพวกเขาทั้งสองคนก็ไม่ได้สนิทกัน ก็แค่เคยนอนด้วยกันคืนเดียว
การที่เสี่ยเหมียนได้อยู่กับถิงเจว๋ในคืนนั้น มันชวนให้เธอคิดไปว่าคนอย่างกู้หนานหรือถิงเจว๋คงจะมีผู้หญิงหลายคน และไม่เคยจะต้องเป็นเดือดเป็นร้อนอะไรกับผลที่จะตามมา พวกเขาสามารถลืมเรื่องบนเตียงของพวกเขากับใครต่อใครได้ไม่ยาก ซึ่งมันต่างกับเธอมาก
เสี่ยเหมียนจมดิ่งไปในความคิดของเธอเองอย่างช้าๆ จนกระทั่งลืมความรู้สึกกลัวความมืดไปเสียสนิท เธอไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนจนกระทั่งเธอได้ยินใครบางคนเรียกชื่อเธอ “เสี่ยเหมียน”
“ฉันอยู่ตรงนี้ค่ะ” เสี่ยเหมียนตอบกลับอย่างกล้าๆ กลัวๆเธอคิดว่าเธอหูแว่ว
ทันใดนั้นเสี่ยเหมียนก็ได้ยินเสียงดังปังเหมือนมีใครบางคนถีบประตูห้องทำงานจากด้านนอกเข้ามา เสี่ยเหมียนเงยหน้าขึ้นดูด้วยความสงสัย และเอามือขยี้ตาที่พร่ามัวของเธอราวกับเพิ่งตื่นขึ้นมาจากความฝัน ก่อนจะมองเห็นว่ามีผู้ชายคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ที่ประตู
มันมืดเกินกว่าจะบอกได้ว่าผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงนั้นเป็นใคร เขาเป็นคนตัวสูงท่าทางของเขาดูจริงจังเย็นชา และไม่กล้าที่จะเข้าใกล้
“เสี่ยเหมียน”
เสียงนุ่มทุ้มคุ้นๆเหมือนเสียงที่เพิ่งได้ยินจากโทรศัพท์เมื่อกี้นี่เอง
แล้วเสี่ยเหมียนก็อึ้งไป ดวงตาของเธอเบิกกว้างทันทีที่เห็นเขา เพราะไม่คิดไม่ฝันว่าถิงเจว๋จะมาช่วยเธอจริง ๆ
เสี่ยเหมียนไม่รู้ว่าจะขอบคุณถิงเจว๋อย่างไรดี เธอควบคุมตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ เธอวิ่งตรงไปหาถิงเจว๋ด้วยความดีใจ ระหว่างที่วิ่งไปเสี่ยเหมียนสะดุด และล้มตัวลงในอ้อมแขนของถิงเจว๋
“ขอบคุณ ขอบคุณมากๆนะคะ”
เสี่ยเหมียนร้องไห้สะอึกสะอื้นและเสียงสั่นเครือ เธอกอดถิงเจว๋ไว้แน่น และไม่รู้สึกตัวเลยว่าเธอกับเขาใกล้ชิดกันขนาดไหนในวินาทีนั้น
หลังจากที่เธอยืนยันว่าเธอไม่เป็นอะไร ความกังวลใจของถิงเจว๋ก็จางหายไป เขาโอบกอดตัวเธอเอาไว้ และลูบหลังเธอเบาๆ ราวกับแม่ที่กำลังปลอบลูกน้อยของตัวเองที่กำลังร้องไห้
“ไม่เป็นไรแล้วนะ ไม่เป็นไรแล้ว...”
เสียงทุ้มต่ำเหมือนบาริโทนของเขา ช่วยปลอบโยนเสี่ยเหมียนให้สงบลงได้อย่างน่าอัศจรรย์
ไม่นานพวกเขาก็เดินลงมาถึงชั้นล่าง เมื่อเสี่ยเหมียนเพิ่งรู้ตัวว่าเธอบีบมือถิงเจว๋แน่นเกินไปมาตลอดทาง เธอจึงคลายมือออก เสี่ยเหมียนคิดว่าเธอคงจะทำตัวเป็นภาระให้กับถิงเจว๋ ทำให้เธอรู้สึกละอายแล้วพูดขึ้นว่า “ขอโทษด้วยนะ ฉัน ฉันนั้นทำตัวอ่อนไหวมากจนเกินเหตุ”
‘บางทีเขาอาจจะคิดว่าฉันเป็นคนไม่จริงจังชอบทำตัวเหลาะแหละก็เป็นได้’ เสี่ยเหมียนคิดในใจ
“คุณกลัวความมืดใช่หรือเปล่า?” ถิงเจว๋มองตาเสี่ยเหมียน และแววตาที่เขาจ้องเธอนั้นมันยากจะอธิบายหรือเข้าใจได้
“ใช่ค่ะ โดยเฉพาะถ้าฉันต้องอยู่คนเดียว... ต้องขอบคุณมากนะคะ คุณ กู้” แสงจันทร์เผยให้เสี่ยเหมียนเห็นชุดลำลองของถิงเจว๋ ในตอนนั้นเองเสี่ยเหมียนก็ฉุดคิดขึ้นได้ว่า ที่ถิงเจว๋แต่งตัวแบบนี้คงเพราะเขารีบร้อนออกมาจากบ้าน เพื่อออกมาตามหาเธอให้พบ
ความกล้าหาญของถิงเจว๋ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นและซาบซึ้งอยู่ลึก ๆ ในใจ
“ขึ้นรถกันเถอะ” แววตาของเธอเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกขอบคุณ เธอมองเขาราวกับเป็นชายมีอายุที่คอยให้การอุปถัมป์ช่วยเหลือเธอ และแม้ว่าถิงเจว๋จะอายุมากกว่ากู้หนาน เขาก็คิดว่าเสี่ยเหมียนควรจะมองเขาอย่างเท่าเทียมกันในเรื่องความรัก ไม่จำเป็นต้องมองเขาเป็นคนที่อาวุโสกว่าเธอ
เสี่ยเหมียนรู้สึกได้ว่าเขาไม่พอใจอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่กล้าที่จะถามว่าทำไม เพราะเธอกลัวจะยิ่งถามยิ่งทำให้ถิงเจว๋ไม่พอใจมากไปกว่าเดิม เธอจึงขึ้นรถไปตามที่เขาบอก เธออายหน้าแดงขึ้นมาทันที เมื่อเธอนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับเขาบนรถในคืนนั้น
ในความทรงจำของเธอ รถคันนี้แหละเป็นรถคันเดียวกับที่เธอยั่วถิงเจว๋ในสภาพที่เธอกำลังมึนเมา มันน่าอายจริง ๆ! เธอด่าทอตัวเองในใจกับสิ่งที่เธอได้ทำไป เธอพยายามคิดทบทวนว่าเธอสติหลุดไปได้ยังไงในคืนนั้น
เสี่ยเหมียนรู้สึกอึดอัดเวลานั่งอยู่ในรถของถิงเจว๋ หลังจากเกิดเรื่องในคืนนั้น จะให้เธอนั่งอย่างสบายใจได้อย่างไง? เมื่อเธอกำลังจะลงจากรถ ถิงเจว๋ก็เขยิบมานั่งติดกับเธอในทันที
“คุณ กู้...” เสี่ยเหมียนไม่กล้าสบตาถิงเจว๋ตรงๆ
ถิงเจว๋อมยิ้มและจ้องไปที่เธอ น้ำเสียงของเขาฟังแล้วดูอันตรายอย่างไงบอกไม่ถูก “เสี่ยเหมียน เราน่าจะใช้โอกาสนี้คุยกันให้ชัดเจนว่าเราควรจะคิดยังไงต่อกัน? ”
เขาบันทึกเบอร์โทรศัพท์ของเขาลงในโทรศัท์ของเธอก็เพราะเหตุนี้ แต่เสี่ยเหมียนนั้นเธอไม่มีคิดที่จะโทรหาเขาเลย บางทีเธออาจจะพยายามหลีกหนีการที่ต้องมาเผชิญหน้ากับเขาก็เป็นได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นเขาไม่สามารถยอมรับได้
เสี่ยเหมียนหน้าแดงหลังจากที่ได้ฟังในสิ่งที่ถิงเจว๋พูด เธอพยายามที่จะหลบสายตาของถิงเจว๋ แล้วเธอก็พูดตะกุกตะกักออกมาว่า “เรื่องในคืนนั้น... คือฉัน... ฉันเมามากตอนนั้น มันเป็นแค่สิ่งที่เราไม่ได้คาดคิดเอาไว้ก่อน
“แล้วไงต่อ?” ถิงเจว๋ขยับเข้าใกล้เธอช้าๆ และมองเธอด้วยแววตาที่สงบแต่ดูจริงจัง
แล้วถ้าคนที่เธอได้เจอในคืนนั้นเป็นผู้ชายคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเขาหล่ะ... แม้ภายนอกเขาอาจจะดูเหมือนสงบ แต่ภายในใจของเขานั้นโกรธจนเลือดในกายเดือดพล่านแล้ว
เสี่ยเหมียนสังหรณ์ใจบางอย่าง และเริ่มเขยิบตัวถอยหนี แต่แค่ครู่เดียวเธอก็รู้ตัวว่าไม่มีที่ให้หนีอีกต่อไปเพราะหลังเธอได้ชนกับประตูรถแล้ว เมื่อไม่มีพื้นที่ให้เขยิบหนีไปได้อีกแล้ว เธอจึงรวบรวมความกล้าแล้วพูดขึ้นว่า “ฉันรู้ว่าฉันเป็นคนที่ควรถูกตำหนิในคืนนั้น แต่ว่าคุณ...”
“ไม่หรอก ผมตำหนิคุณไม่ได้ และผมก็ไม่ว่าอะไรคุณด้วยถ้าคุณจะทำผิดซ้ำอีก”
เสี่ยเหมียนไม่เข้าใจเธอตามไม่ทันสิ่งที่เขาพูด ก่อนที่ถิงเจว๋จะกอดเธอในทันทีเขาเริ่มกอดเธอแน่นแล้วก็จูบเธอ
ถิงเจว๋บรรเทาความกังวลของเสี่ยเหมียนโดยการจูบที่ลึกซึ้งและยาวนาน และเขาก็ได้ลิ้มรสจูบที่แสนหวานจากริมฝีปากของเสี่ยเหมียนอีกครั้ง เขาทนไม่ไหวและควบคุมตัวเองไม่ได้ ความปรารถนานั้นลุกโชนและท่วมท้นตัวเขา แต่โชคไม่ดีที่เสี่ยเหมียนดันหายใจไม่ออกก่อน
“อะไรเนี่ย คุณนี่ไม่เป็นอะไรเลยนะ! ถึงกับหายใจไม่ทันเลยเหรอ?”
แต่แทนที่ถิงเจว๋จะโกรธ เขากลับยิ่งเร่าร้อนด้วยการถูกกระตุ้นจากความเงอะงะทำอะไรไม่ถูกของเธอ เขายิ้มให้เธอครู่นึงและเริ่มจะขยับตัวจูบเธอต่อ เสี่ยเหมียนก็ได้ผลักตัวเขาออก
“นี่คุณ กู้ อย่าเลยนะคะ...” เสี่ยเหมียนร้องไห้น้ำตาไหลออกมา หายใจเร็วพร้อมกับพูดว่า “นี่มันไม่ถูกต้อง เราไม่ควรทำอย่างนี้!”
เขาไม่พอใจอย่างแรงจนเห็นได้ชัดจากสีหน้าของเขา ถิงเจว๋จับคางของเธอแล้วคว้าตัวเธอมาใกล้ๆและพูดว่า “เสี่ยเหมียนคุณอย่าลืมนะว่าคุณเป็นคนเริ่มยั่วยวนผมก่อน!”